“ว่าไงคะ คำถามที่น้ำค้างถามไป” เจ้าของบ้านเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อพาแขกเข้ามาพักในบ้านเรียบร้อยแล้ว
“พี่ได้จากปู่สมหมายมา” เขาตอบเพียงเท่านี้เธอก็รู้แล้วว่าต้องแลกกับอะไรถึงได้ที่อยู่ของเธอ
“เท่าไหร่ค่ะพี่ชินเสียเงินไปเท่าไหร่ ถึงได้ที่อยู่ของน้ำค้างมา”
“ห้าร้อย” ราคานี้ไม่สูงไม่ต่ำจริงๆ
“น้ำค้างไม่เข้าใจเลยนะคะ ที่ดินที่น้ำค้างแบ่งไปให้ พวกปู่กับย่าทั้งหลายก็เอาไปขายได้เงินมาคนละหลายล้าน แต่ทำไมยังงกกับลูกกับหลานอยู่ได้ แค่บอกที่อยู่ของน้ำค้างแค่นี้ พี่ชินต้องเสียเงินตั้งห้าร้อย” หญิงสาวบ่นด้วยความไม่เข้าใจ เหตุใดพี่น้องของปู่สมปองถึงได้หน้าเงินอย่างนี้ นิสัยไม่เหมือนปู่สมปองเลยสักคน
“นี่ยังน้อยนะ รู้หรือเปล่าพวกนายหน้าค้าที่ดินที่จะมาขอซื้อที่ของน้ำค้างน่ะ ถูกเรียกเงินคนละตั้งสองหมื่น เพื่อแลกกับที่อยู่ในกรุงเทพฯ ของน้ำค้าง”
“ตอนแรกน้ำค้างก็ไม่แน่ใจว่าพวกนายทุนหน้าเลือดรู้ได้ยังไงว่าน้ำค้างอยู่ที่นี่ มารู้อีกทีก็นายหน้าคนที่สามที่มาหานี่แหละหลุดปากพูดออกมา น้ำค้างเสียใจจริงๆ ที่ปู่กับย่าเป็นแบบนี้ อยากจะขายที่ให้หมด แล้วทีนี้น้ำค้างจะหนีไปอยู่บนดอยอ่างขางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย” อันที่จริงเธอเองก็เบื่อกับสภาพนี้เต็มทน หญิงสาวมีความรู้สึกว่าการที่ตัวเองนั้นได้รับมรดกจากปู่สมปอง ไม่ได้นำพาความสุขมาให้เธอเลย ตรงกันข้ามนำพาความทุกข์ให้เธอต่างหาก ไหนจะต้องรบรากับญาติพี่น้องของฝ่ายปู่ที่หิวเงิน ยังต้องมาต่อกรกับพวกนายหน้าค้าที่ดินที่แวะเวียนมาติดต่อซื้อที่นับสิบราย
“ทำไมต้องดอยอ่างขางด้วยล่ะ ดอยอื่นไม่ได้เหรอ” เตชินพูดแหย่
“ก็มันสวยนี่พี่ชิน อีกอย่างมันเป็นความใฝ่ฝันของน้ำค้างมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าสักวันน้ำค้างจะต้องเดินทางไปที่นั่นให้ได้” หยาดน้ำค้างไม่ได้เกิดมามีฐานะที่ร่ำรวย บิดาและมารดามีอาชีพทำไร่ทำนาและเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุได้เจ็ดเดือนเท่านั้น ทิ้งให้เธออยู่กับปู่ตามลำพัง ไม่ผิดที่ปู่สมปองจะรักหญิงสาวมากเป็นพิเศษ และยกมรดกให้ทุกอย่างที่เขามี
“เอาน่าทำงานเก็บเงินก็ไปเที่ยวได้ ไม่ต้องรอขายที่ได้หรอก เก็บเอาไว้ให้ลูกให้หลานดีกว่า ขายไปได้เงินมาเดี๋ยวก็ใช้หมด ดูอย่างปู่ย่าของพวกเราสิ ยามมีเงินลูกหลานมาเพียบ คนโน้นคนนี้ตอดนิดตอดหน่อย ซื้อของใช้ฟุ่มเฟือยไม่รู้จักเก็บ แล้วเป็นไง ต้องมาตามตื๊อน้ำค้างให้แบ่งที่ให้อีก” เขาพูดอย่างเซ็งๆ ในพฤติกรรมของญาติที่นับวันยิ่งสร้างความระอามากขึ้น
“ช่างมันเถอะพี่ ว่าแต่พี่ชินนึกยังไงล่ะ ถึงมาหาน้ำค้างที่นี่” เธอเปลี่ยนเรื่องพูด เพราะไม่อยากให้เครียดไปมากกว่านี้
“พี่มาหาแฟนพี่ แล้วก็จะมาหางานทำด้วย พอดีบริษัทที่พี่ทำอยู่เค้าปิดตัวลง จะหางานทำที่โน่นเห็นทีจะไม่ไหว เลยลองเสี่ยงมาที่นี่ดู อีกอย่างพี่ได้เงินจากบริษัทเก่ามาด้วย กะว่าจะมาขอพักกับน้ำค้างสักสองสามวัน รอให้พี่หาห้องเช่าได้ก่อน แล้วพี่จะย้ายออกไป”
“พักอยู่ที่นี่ก็ได้พี่ น้ำค้างอยู่ที่นี่คนเดียว มีห้องเหลืออีกห้องพอดีเลย ไม่ต้องเสียเงินหาที่พักด้วย จะได้อยู่เป็นเพื่อนน้ำค้างไง”
“จะดีเหรอพี่ว่าพี่หาห้องพักถูกๆ อยู่ก็ได้ พี่เกรงใจ” เขาคิดอย่างที่พูดจริงๆ
“เราเป็นพี่เป็นน้องกันนะพี่ ทำไมต้องเห็นเป็นคนอื่นคนไกลด้วย เอาอย่างนี้ก็ได้ พี่ชินก็ช่วยออกค่าน้ำค่าไฟก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นจะยากเลย” บ้านหลังนี้เป็นบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้ขนาดพอเหมาะ มีสองห้องนอน เนื้อที่ของบ้านเพียงห้าสิบตารางวาเท่านั้น เธอนำเงินที่ได้จากมรดกของปู่มาซื้อไว้ในราคาสี่แสนบาท ส่วนที่เหลืออีกสามหมื่นเก็บเอาไว้ทำทุน
“ถ้าน้ำค้างอยากให้พี่อยู่ พี่ก็จะอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นน้ำค้างจะพาพี่ไปที่ห้องพักนะ ห้องนี้น้ำค้างทำความสะอาดทุกอาทิตย์ แต่ที่หลับที่นอนพี่ชินต้องไปซื้อใหม่ คืนนี้ก็นอนเสื่อผืนหมอนใบไปก่อนนะ ส่วนพัดลมมีอยู่ในห้องแล้ว” หญิงสาวเจ้าของบ้านพูดขณะที่พาพี่ชายเดินขึ้นไปที่ชั้นบน
“พี่นอนได้ นอนกลางดินยังเคยนอนมาแล้วเลย แค่คืนเดียวจะเป็นอะไรไป”
“ห้องนี้แหละพี่ ห้องน้ำมีทั้งข้างล่างและข้างบนนะพี่ จะอาบน้ำที่ไหนก็ได้ พี่ชินพักผ่อนเถอะค่ะมาเหนื่อยๆ น้ำค้างเองก็จะไปนอนเหมือนกัน พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่นะคะ”
“จ้ะพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน” เตชินเอ่ยบอก ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตน ส่วนหยาดน้ำค้างหาได้เดินกลับเข้าไปในห้องไม่ เธอเดินไปที่ระเบียงแหงนมองพระจันทร์ที่วันนี้ส่องแสงสว่างเรืองรองมากกว่าทุกวัน ปล่อยใจล่องลอยคิดถึงชายที่ตนรักสุดหัวใจ
เหมันต์เดินทางออกจากบ้านตามเวลาปกติ หน้าที่ของเขาที่ทำมาทุกวันตลอดหนึ่งเดือนคือ ไปรับ หยาดน้ำค้างที่บ้าน เพื่อจะไปส่งที่ทำงาน ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่าเมื่อคืนตัวเองเฝ้าแต่คิดถึงหยาดน้ำค้าง ทั้งๆ ที่ไม่สมควรจะเป็น เนื่องจากที่เขาพาตัวเองมาใกล้ชิดเธอนั้น ไม่ได้มีจิตพิศวาสแต่อย่างใด ที่เข้ามาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เพียงแค่ไม่ได้เจอเธอในตอนเย็น ไม่ได้ไปรับประทานอาหารด้วยกัน ไม่ได้ไปส่งที่บ้านเหมือนเช่นทุกครั้ง มันจะทำให้เขาเป็นเอามากขนาดนี้ หรือว่ามันเป็นความเคยชินก็ไม่รู้
“ขับรถให้มันเร็วๆ หน่อยไม่ได้เหรอทูน” เขาเปิดที่กั้นกลางระหว่างรถลีมูซีน เร่งสารถีนามว่าทูนที่ขับรถ ไม่ทันใจเขาเอาเสียเลย ทูนจึงเร่งความเร็วมากขึ้นไปอีก แต่ทว่ากว่าจะฝ่าด่านการจราจรจากในเมืองหลวง ไปยังแถบชานเมืองก็ต้องใช้เวลานานนับสี่สิบนาที
ประตูรถยนต์ที่เปิดด้วยไฟฟ้าไม่ทันใจชายหนุ่มเลือดร้อนเอาเสียเลย เขาไม่รอให้มันเปิดออกจนสุดก็รีบก้าวออกมาจากรถยนต์ เนื่องจากสายตาของเขามองเห็นชายคนหนึ่งเดินอยู่ในรั้วบ้านของหยาดน้ำค้าง อาการพุ่งปรี๊ดบางอย่างแล่นเข้าแล่นออกในใจทันทีหึง