บทที่ 1
แม้วิวไร่องุ่นสองร้อยกว่าไร่เบื้องหน้าจะงดงามเพียงใด แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้ญาดามินทร์ลบลืมความเจ็บปวดที่ตัวเองวิ่งหนีมาจากอีกซีกโลกหนึ่งได้เลยสักนิด หล่อนยังคงร้าวราน ยังคงชอกช้ำและก็ยังคงคิดถึงผู้ชายใจมัจจุราชอย่างเจอรัลด์ ซาโกร่า กาซิยาส ไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะหนี จะพยายามแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่มีทางหนีความรักที่มีให้กับเขาได้พ้น ตราบใดที่หยุดรักไม่ได้ ตราบนั้น หล่อนก็คงไม่สามารถคลายความเจ็บปวดในดวงหทัยได้เช่นกัน
มือบางยกขึ้นป้ายหยาดน้ำตาจากแก้มนวล หัวใจยังคงกลัดหนองเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แม้จะกี่วันกี่คืนที่ลอยข้ามผ่านพ้นไป แต่ความโหยหาก็ยังฝังแน่นอยู่ในหัวใจไม่เสื่อมคลาย รักเขา รักมาก และก็รักมากขึ้นทุกวันคืน ในขณะที่เขาไม่เคยเหลือบแลลงมามองก้อนกรวดเยี่ยงหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้หญิงที่เขารัก ผู้หญิงที่ครอบครองหัวใจมัจจุราชของเขามีเพียงมินรญาพี่สาวของหล่อนคนเดียวเท่านั้น ในขณะที่หล่อนเป็นได้แค่เพียงทางผ่านแห่งความเกลียดชังเท่านั้นเอง
ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ทรมาน จนไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก ความเสียใจกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาซ้ำอีกครั้ง และไหลทะลักอาบแก้มนวลอย่างสุดจะกลั้น หล่อนสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บช้ำ ขณะเดินเข้าไปหยุดข้างรั้วไม้สีขาวที่กั้นอาณาเขตของสองไร่องุ่นที่ติดกันเอาไว้โดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงของ หัสบรรณดังขึ้นด้านหลังนั่นแหละ
“ไม่ยักกะรู้ว่าบรรยากาศสวยๆ จะทำให้คนร้องไห้ออกมาได้ด้วย”
มือบางรีบยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงรูปงาม
“พี่หัสบรรณ”
“คนสวยของพี่ร้องไห้ทำไมหรือครับ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวล แสนสุภาพของผู้ชายผิวสีแทน ตัวสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อลากดินอย่าง หัสบรรณทำให้หัวใจของญาดามินทร์ยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น เพราะแท้จริงแล้วหล่อนอยากให้ผู้ชายตรงหน้าคือเจอรัลด์ ชายที่หล่อนรักหมดหัวใจ แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ป่านนี้คนใจมัจจุราชอย่างเจอรัลด์คงจะกำลังมีความสุขในเส้นทางชีวิตที่แสนจะเลิศหรูของตัวเอง ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ ชีวิตที่เต็มไปด้วยอำนาจวาสนา ในขณะที่หล่อนเป็นได้เพียงแค่เศษฝุ่นเศษผงที่เขาไม่เคยคิดจะจดจำเท่านั้น
“ปละ เปล่าหรอกค่ะพี่หัสบรรณ ญาดาก็แค่...”
“ฝุ่นเข้าตา”
หญิงสาวที่กำลังเช็ดน้ำตาจากแก้มอยู่ชะงัก และช้อนนัยน์ตาฉ่ำน้ำขึ้นมองคนพูดอย่างประหลาดใจ
หัสบรรณยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
“ข้อแก้ตัวของผู้หญิงก็มีแค่นี้แหละครับ”
ญาดามินทร์ก้มหน้าหลบสายตาคมกริบของผู้ชายผิวคร้ามแดดตรงหน้าอย่างอดสู แม้แต่หัสบรรณยังรู้ทันเลยว่าหล่อนทุกข์ใจแค่ไหน
หัสบรรณหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอ็นดู ก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยสวยนั้นแผ่วเบา และพูดให้กำลังใจ
“พี่ไม่รู้และไม่อยากจะรู้หรอกนะว่าญาดากำลังคิดถึงใครอยู่ แต่ขอให้รู้เอาไว้ว่าถ้าญาดาร้องไห้ พี่ หัสบรรณคนนี้จะเช็ดน้ำตาให้ญาดาเอง”
“ขอบคุณค่ะพี่หัสบรรณ”
หญิงสาวช้อนสายตาของมองคู่สนทนา มองเขาอย่างขอบคุณ
หัสบรรณระบายยิ้มกว้าง กำลังจะพูดต่อ แต่เสียงแหลมเล็กที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของเด็กสาวคนหนึ่งก็ขัดขึ้นเสียก่อน และนั่นก็ทำให้ดวงตาทุกคู่ต้องหันไปจับจ้องทันควัน
“พลอดรักกันกลางวันแสกๆ ไม่อายผีสางเทวดาบ้างหรือไง”
“ตันหยง”
เจ้าของชื่อยิ้มเยาะ และกระโดดก้าวข้ามรั้วสีขาวเข้ามาภายในไร่องุ่นของหัสบรรณ เดินมาหยุดตรงหน้าของคนทั้งสองคน
“ฉันเอง ทำไม? อายหรือไงที่มีคนเห็นพฤติกรรมต่ำๆ ของตัวเองน่ะ”
เด็กสาวใส่ไม่ยั้ง ขณะตวัดตามองญาดามินทร์อย่างเป็นอริชัดเจน
“หุบปากเสียๆ ของเธอไปเลยตันหยง และไสหัวกลับไร่ของตัวเองไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ต้อนรับเธอ ไปสิ ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!”
หัสบรรณขับไล่ไม่ไว้หน้า และนั่นก็ทำให้ตันหยงยิ่งขุ่นเคือง หล่อนเกลียดผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้หัสบรรณ และก็ยิ่งเกลียดมากเมื่อเห็นหัสบรรณกางปีกปกป้องญาดามินทร์มากมายขนาดนี้ เด็กสาวคิดอย่างเจ็บแค้น กำมือแน่น
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“แต่เธอต้องออกไปจากไร่ของฉันเดี๋ยวนี้ ไปสิ ยายเด็กน่ารำคาญ”
หัวใจของตันหยงเจ็บปวดราวกับถูกกรีดด้วยมีดโกนคมๆ
“คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก แล้วแม่นี่ไม่เด็กหรือไง”
เด็กสาวชี้นิ้วไปที่ญาดามินทร์ มองอย่างเอาเรื่อง
หัสบรรณกระแทกลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย จากนั้นก็รีบดึงร่างของญาดามินทร์มาไว้ด้านหลังของตนเองอย่างต้องการปกป้อง และภาพนั้นทำให้ตันหยงเต็มไปด้วยความรวดร้าวยิ่งนัก เพราะมันบอกให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้เลยว่าผู้ชายที่หล่อนแอบรักนั้นห่วงใยยายผู้หญิงหน้าหวานคนนั้นมากมายแค่ไหน
“อย่ามาทำตัวนักเลงในไร่ของฉัน ไปให้พ้น ไปสิ!”
แม้จะหน้าชาดิก แต่หญิงสาวก็ยังกัดฟันยืนอยู่ตรงนั้นต่อไป
“ฉันจะไปจากที่นี่ เมื่อนายตอบคำถามฉันก่อน”
ชายหนุ่มมองดวงหน้ารูปไข่ของตันหยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่แยแส
“งั้นก็รีบๆ ถามมา เธอจะได้รีบๆ กลับไปเสียที”
ทำไมเขาถึงมองไม่เห็นความภักดีที่หล่อนมีต่อเขาเลยนะ ทำไมถึงมองไม่เห็นเลย ก็เพราะเขาเกลียดหล่อนยังไงล่ะ มีแต่หล่อนนั่นแหละที่ยังบ้า ลุ่มหลงเขาไม่เลิกแบบนี้
“นายกับ... แม่คนนี้เป็นอะไรกัน”
ญาดามินทร์หันไปมองหน้าหัสบรรณ และกำลังจะตอบความจริงออกไป แต่หัสบรรณชิงตอบเสียก่อน และตอบไม่เป็นความจริงเสียด้วย
“ญาดาเป็นคนรักของฉัน และเรากำลังจะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้”
“ว่าไงนะ...?”
ตันหยงถามออกไปเสียงเบาหวิว หัวใจเหมือนถูกเชือดให้หล่นลงมากองกับพื้นอย่างอำมหิต หล่อนมองหน้าของหัสบรรณที่เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มสะใจสลับกับดวงหน้างดงามของผู้หญิงที่หล่อนเพิ่งรู้ว่าชื่อ ‘ญาดา’ ด้วยความเจ็บปวดที่เก็บไม่มิด
“หูเธอไม่ได้ฝาดไปหรอกน่า ฉันกับญาดาเป็นคู่รักกัน และกำลังจะแต่งงานกัน”
“พี่หัสบรรณ...”
ญาดามินทร์ปรามอย่างไม่เห็นด้วย แต่หล่อนก็ไม่มีโอกาสได้แก้ไขความเข้าใจผิดนั้นออกไปได้เลย เพราะหัสบรรณยังคงพูดต่อไปอีกเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้หญิงจากอีกไร่หนึ่งกำลังยืนนิ่งคล้ายกับกำลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นที่สุด
“ได้คำตอบแล้วก็รีบกลับไปสิ จะมายืนทำหน้าเหมือนกินยาขมอยู่ทำไมล่ะ”
ตันหยงช้อนนัยน์ตากลมโตที่มีหยาดน้ำตาขึ้นจ้องหน้าหัสบรรณ กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ความเจ็บปวดเต้นระริกอยู่ในแววตาคู่งามมหาศาล แต่ หัสบรรณไม่มีทางสนใจ ใช่ เขาจะไปใส่ใจกับลูกสาวของศัตรูทำไมกัน แม้ว่าเจ้าหล่อนจะน่ารักน่าเอ็นดูมากก็ตาม
“ฉันไม่กลับ”
“งั้นฉันก็จะโยนเธอออกไปเอง”
ว่าแล้วหัสบรรณก็ก้าวเข้าไปหาตันหยง มือหนาคว้าร่างอรชรจับขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็ก้าวไปหยุดที่รั้วกั้นอาณาเขต ไม่นาน ร่างที่ดิ้นอยู่บนบ่ากำยำก็ร่วงลงกับกองกับพื้นดิน เจ้าหล่อนครางด้วยความเจ็บและจุก คนกระทำหาได้ใส่ใจไม่
“ถ้ากล้าข้ามมาวุ่นวายในไร่ของฉันอีกละก็ เธอเจอหนักกว่านี้แน่”
หัสบรรณคำรามใส่ตันหยงอย่างเหี้ยมโหด ก่อนจะกระชากมือของญาดามินทร์ให้เดินไปจากตรงนั้น ทิ้งให้ตันหยงนั่งร้องไห้น้ำตาท่วมดวงหน้าอยู่เพียงลำพังด้วยความทุกข์ทรมานใจ
“คนบ้า!! ทำไมฉันถึงหยุดรักนายไม่ได้สักทีนะ ทำไมกัน”
หญิงสาวถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่พบคำตอบ ทำได้แค่เพียงพยุงร่างอ่อนแรงบอบช้ำกลับไปยังบ้านของตัวเองเท่านั้น
ญาดามินทร์ช้อนตาขึ้นมองเสี้ยวหน้าของผู้ชายที่เดินอยู่ข้างกายด้วยความไม่เข้าใจ
“พี่หัสบรรณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าตาบึ้งตึงแบบนี้ล่ะ”
เจ้าของชื่อหยุดเดิน และนั่นก็ทำให้ญาดามินทร์ต้องหยุดเดินตาม
“พี่ก็แค่ยังโมโหยายเด็กนรกนั่นไม่หายน่ะ เด็กอะไรไม่รู้ ชอบสร้างปัญหาให้กับพี่ตลอดเวลาเลย”
หญิงสาวฟังแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้
“พี่หัสบรรณพูดแบบนี้ก็แสดงว่าเด็กที่ชื่อตันหยงข้ามมากวนใจบ่อยใช่ไหมคะ”
ชายหนุ่มกระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด พลางเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่คนงานทำเอาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่
“ก็ทุกวันนั่นแหละ วันละหลายๆ รอบด้วย ไม่รู้ว่าจะซนอะไรนักหนา อายุก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”
“บางทีแรงจูงใจที่ทำให้คุณตันหยงข้ามมาที่ไร่ของพี่หัสบรรณอาจจะเป็นเพราะ...”
ญาดามินทร์หยุดพูด และนั่นก็ทำให้คนฟังต้องหรี่ตามอง พร้อมๆ ทั้งคาดคั้น
“เพราะอะไรหรือญาดา”
เจ้าของชื่อระบายยิ้มหวาน
“เพราะว่าคุณตันหยงแอบหลงรักผู้ชายบางคนในไร่นี้ยังไงล่ะคะ”
“แล้วญาดาคิดว่ายายเด็กนั่นหลงรักใครล่ะ”
คนถามยังคงแสดงท่าทางเฉยชาเช่นเดิม
“นี่พี่หัสบรรณไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นกันแน่คะ”
หัสบรรณพ่นลมหายใจออกมาทางปากแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เอาเป็นว่าเราเลิกพูดถึงยายเด็กนั่นกันดีกว่า ไป กลับเข้าบ้านเถอะ ใกล้เวลาอาคารค่ำแล้ว”
แล้วหัสบรรณก็ก้าวยาวๆ เดินนำหน้าญาดามินทร์มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านไม้หลังใหญ่ของตนเองโดยไม่หันกลับมามองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังอีกเลย
“มีพิรุธเพียบเลยนะเนี่ยพี่หัสบรรณ”
ญาดามินทร์อมยิ้มก่อนจะเดินตามร่างสูงใหญ่ของหัสบรรณไปติดๆ