…………………………………
บางทีหลังจากที่ได้ชิมขนมนั้นแล้วคงทำให้เราลองพิจารณาผู้กล้าคนนี้ต่อก็ได้ ไว้มาหาพวกเขาอีกรอบล่ะกัน ก่อนที่เราจะกลับมิติดินแดนของเราไปพร้อมถุงขนมที่ทำให้เราสามารถมีความสุขในคฤหาสน์ของเราได้
“ท่านเอเบล – ท่านบิอามาเยื่ยมขอรับ”
ความสุขของเราหายไปทันที เมื่อคนของเรานั้นได้บอกถึงผู้มาเยือนก่อนที่เราจะหยิบขนมกล่องหนึ่งและโยนให้เจ้าก้อนกระต่ายพ่อบ้านเอาไปเก็บแล้วเดินไปที่ห้องรับแขกทันที
ภายในห้องนั้นมีเตาผิงขนาดกลางพร้อมกับโต๊ะสีดำที่มีถาดชาที่ถูกเสิร์ฟรอเอาไว้โดยที่ชายหนุ่มผมสีดำและดวงตาสีแดงสดที่นั่งไขว์ขาบนโซฟายาวพร้อมส่งยิ้มหวานมองมาที่เราที่ถือกล่องเอาไว้ก่อนจะนั่งตรงข้ามมองคนที่มาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้
“มีธุระอะไร? ”
“ อยากได้แบบธุระจริงๆ หรือแบบเล่นๆ ดีล่ะ เอเบล? ” รอยยิ้มนั้นเผยออกมาในขณะที่ดีดนิ้วขึ้นทา เอกสารฉบับที่สี่ที่เราเคยเผานั้นปรากฏชื่อของชมณัฐ กัลยรัตน์
ในขณะที่เนื้อหาด้านในมีลายเซ็นของ บิอา สองคิ้วของเราขมวดเข้าด้วยกันก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ
“ผู้กล้าคนนั้นพอจะยกให้เราได้หรือเปล่า เอเบล? ”
“นึกสนใจอะไรกับคนๆ นั้น? ”
“แค่รู้สึกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นของบางอย่างที่ทำให้เราสนุกขึ้น”
คิดจะเปลี่ยนกติกาที่เคยให้เรางั้นเหรอ?
“ขอปฏิเสธ”
เขายังคงยิ้ม แม้เราจะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่กำลังกดดันอยู่ ก่อนสายตาของบิอานั้นจะมองกล่องขนมบุหลันดั้นเมฆที่เราได้จากสองพี่น้องคู่นั้นก่อนเสียงหัวเราะของชายหนุ่มจะดังขึ้นมา
“เปลี่ยนใจแล้วหรือ เราสามารถหาคนที่ดีกว่านี้ได้นะ? ”
“ไม่เอา”
“เอเบลที่รัก”
“ไม่ก็คือไม่”
แม้จะหยอกล้อคำหวานมาแค่ไหนเราก็ไม่ได้ใจอ่อนที่ถึงกับต้องยกชมณัฐให้อีกฝ่ายก่อนที่จะมีเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยที่เราแกะกล่องขนมพร้อมกับหยิบขึ้นมากินโดยไม่สนใจอีกฝ่ายที่ปัดมือเอาเอกสารออกก่อนที่จะส่ายหัวเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าข้าอาจจะได้เห็นผู้กล้าในเร็วๆ นี้แล้วสินะ”
“....” เขาลุกขึ้นมาจากบนโซฟาก่อนที่จะเดินมาตบไหล่เราเบาๆ ถึงแม้จะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอีกฝ่ายที่เข้าหาก็เถอะ ก่อนที่จะหยิบขนมจากบนกล่องเราไปชิ้นหนึ่ง
“ข้าจะรอดู เอเบลแล้วก็…” ราวกับเขากำลังเฝ้ามองโชคชะตาของเราที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปก่อนที่จะกระซิบเบาๆ ข้างหูของเรา
“ขอให้ โชคดีกับตัวเลือกที่เจ้าเลือก” ชายหนุ่มผลักมือออกในขณะที่ถ้อยห่างและค่อยๆ เดินออกไปจากห้องโดยที่หยิบขนมที่เราได้ซื้อจากมนุษย์เอาเข้าปากไปด้วย
ก๊อก ก๊อก
“....”
“เข้ามา”
“ ท่านเอเบล– ท่านกับบิอามีปัญหาอันใดหรือเปล่า? ” เราส่ายหัวไปโดยที่วางกล่องขนมบุหลันดั้นเมฆก่อนที่เราจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เริ่มรู้สึกว่าความสุขของเราเหมือนจะถูกษุรุษที่ได้เข้ามาเยือนที่นี้แย่งชิงไปจนหมด แม้แต่ขนมที่ซื้อมาด้วย
“...ข้าจะไปหาชมณัฐอีกรอบ”
“แต่เวลาโลกของมนุษย์กับโลกของเรานั้นไม่ได้ตรงกันนะนายท่า—จะไปแล้วหรือ!?!” เจ้าก้อนกระต่ายนั้นอุทานเสียงหลงเมื่อเราขยับมือดึงประตูออกพร้อมกับเหยียดยิ้มมองอีกฝ่าย
“ข้าขอเตือนว่าอย่ากินขนมที่ข้าซื้อมาด้วยล่ะ “
เพียงแค่พริบตาเดียวที่เราขู่คนรับใช้นั้นเขาก็พยักหน้ารับแม้จะฝืนยิ้มออกมาก่อนที่เราจะเดินทางข้ามไปประเทศไทยอีกครั้ง แน่นอนเราเข้าใจดี เส้นโลกของดินแดนนี้มันไม่ได้เหมือนที่ๆเราอาศัยอยู่ ก่อนที่เราจะปรากฏตัวในตรอกซอยแถวบ้านของกมลพัชรและชมณัฐอีกครั้ง
ครั้งนี้พื้นที่นี้เงียบผิดปกติ มนุษย์ที่เคยเดินเพ่นพ่านในละแวกนี้หายไป ร้านค้าจำนวนมากก็ปิดลงอย่างเงียบเหงาจนทำให้เรารู้สึกแปลกใจกับความคึกคักในช่วงแรกๆ ที่เราเจอนั้นมันหายไปอย่างน่าสงสัยสองเท้าของเราขยับก้าวเดินยืนมองหน้าร้านและสภาพที่เราเห็นทำให้เราหยุดชะงักลงทันที
ร้านขนม [กัลยรัตน์] มีเศษกระจกแตกและร่องรอยของกลิ่นไหม้บางส่วน กับขนมไทยที่เคยสวยงามนั้นกลับกลายเป็นคราบผงสีดำไหม้ที่ดูเหมือนว่าจะถูกเผามาหลายวันแล้วหลงเหลือเพียงแค่เศษซากตึกปรักหักพังบางส่วนเท่านั้น
มีหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังเก็บกวาดด้านในและมองเราที่ยืนอยู่หน้าร้านของสองพี่น้องคู่นั้น
เวลาผ่านไปเร็วเกินไป..
หรือว่าตอนที่เรากลับคฤหาสน์ไปกมลพัลรจะ…?
“อ่า – ป้าขอโทษนะจ๊ะ พอดีว่าร้านนี้ปิดแล้ว”
“สองพี่น้องนั้นไปไหน? ”
“ถ้าหมายถึงกมลกับชมตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาลแล้วน่ะ .. เฮ้อ ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรหน่อ คนพี่ก็ดันโดนซ้อมอย่างหนัก แถมคนน้องก็ …”
เราเมินคำพูดของหญิงชราในขณะที่ก้าวเท้าเดินออกจากตึกร้านขนม พร้อมขยับมือเปิดประตูวาร์ปไปทางโรงพยาบาลที่ๆ เราพอจะจำได้ ใบหน้าของเราเริ่มจะไม่สบอารมณ์กับบางอย่าง ในขณะที่เราหยุดยืนมองตรงประตูห้องนอนพร้อมกับมองภาพด้านใน
"...."
เรายังคงจำช่วงเวลานั้นได้ กมลพัชรที่ยิ้มสดใสออกมาแม้ในตอนนี้ตัวเธอจะเป็นมีบาดแผลรอยไหม้บางส่วนนอนอยู่บนเตียงแม้เธอจะใส่เครื่องถังอ๊อกซิเจนด้วยก็ตาม มีรอยไหม้บางส่วนตรงบริเวณแขนซ้ายและแขนขวาพร้อมตรงหน้าผากที่ลามไปเกือบครึ่งหน้า
ในขณะที่น้องชายนั้นยังคงนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวข้างๆ เตียงพี่สาวที่นอนอยู่ เสียงร้องไห้เล็กๆ ที่ดังขึ้นมาจากชมณัฐ
"ตอนนี้เราเหลืออะไรบ้างนะพี่…" ชมณัฐพูดออกมาในขณะที่ขยับนิ้วนั่งนับพร้อมกับพูดติดตลกออกมา
แม้พี่สาวในตอนนี้จะไม่สามารถตอบเขาได้
"บ้าน..ก็ไหม้"
"แถมพี่..หมอบอกว่าพี่จะไม่ตื่นอีก" เขามองเธอในขณะที่ก้มหน้าพร้อมกับกอบกุมมือของตัวเอง
"....."
"..ผมเหลืออะไรในตอนนี้ได้บ้าง"
มันคือเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ที่มนุษย์ก็ต้องตายสักวัน
แต่
ทำไมเราที่ยืนอยู่ตรงนี้ ทำไมเราถึงโกรธแค้นแทนกับพวกเขา
ทำไม?
“....คุณมาทำอะไรครับ? ” คำพูดของใครบางคนที่ทำให้เราหยุดยืนได้หลุดภวังค์ความคิดทันทีก่อนเราจะเงยหน้ามองชมณัฐที่มีรอยใต้ตาดำคล้ำพร้อมกับสีหน้าที่ดูซึมเศร้าจากเรื่องของพี่สาว ก่อนที่เขาจะก้มมองเราที่ยังบังประตูเขาอยู่
“...ชมณัฐ”
“ผมจะลงไปซื้อข้าว”
“ถ้างั้นลงไปด้วยกัน” เขาถอนหายใจออกมาในขณะที่เลี้ยวสายตามองพี่สาวที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงก่อนที่เขาจะเดินนำหน้าพร้อมกับเราที่เดินตามหลังอีกฝ่าย แผ่นหลังนั้นดูเหมือนจะชอบแบกรับอะไรบางอย่างอยู่คนเดียวตลอด
………………………
ชมณัฐยังคงสั่งชานมไข่มุก แต่ครั้งนี้เป็นสามแก้วโดยที่หิ้วถุงแก้วชานมไข่มุกโกโก้ให้กับเราที่นั่งรออีกฝ่ายอยู่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะดันแก้วนมสีชมพูและแก้วนมสดพร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามราวกับกำลังรอให้เราเป็นคนพูดก่อน
“ทำไมทุกครั้งผมต้องมาเจอคุณอยู่โรงพยาบาล?”
“ ..เกิดอะไรขึ้นกับร้านของพวกเจ้า และพี่สาวของเจ้า? ”
“...ได้โปรดช่วยพูดธุระของคุณมา” น้ำเสียงนั้นเริ่มไม่พอใจเราโดยที่สายตาของเรามองผ้าพันแผลและพาสเตอร์กับกลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างกายของอีกฝ่ายในขณะที่เขาตัดคำถามความเป็นห่วงของเราอย่างไร้เยื่อใย
“....”
เสียงจิ๊ปากดังขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เราจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่อีกฝ่าย เรามองบุคลิกของคนตรงหน้าที่จับจ้องมองเราขึ้นมา
คงต้องพูดแล้วสินะ
“เราสามารถทำให้พี่สาวของเจ้ากลับมามีชีวิตอยู่ได้อีกครั้ง” เราวางแก้วชานมไข่มุกโกโก้ในขณะที่ชมณัฐยังคงเหยียดยิ้มมองเราที่ยังคงพูดจาไร้สาระอยู่
“..แสดงพลังให้เห็นก่อนสิครับ”
?
"แสดงให้เห็นสิว่าคุณคือ[พระเจ้า]น่ะ"
แน่นอนว่าการโอ้อวดพลังนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เราถนัดเลยสักนิด ก่อนเราจะดีดนิ้วพร้อมผู้คนในโรงอาหารที่ได้หยุดนิ่งรอบๆ ตัวเราโดยที่หวังว่าภาพตรงหน้าคงทำให้อีกฝ่ายเชื่อได้
เราเกลียดการดูถูกว่า พิสูจน์สิว่าพระเจ้ามีจริงไหม?
“....”
“ที่นี้เชื่อได้หรือยัง? ”
“ทำไมถึงเป็นผม? ” เสียงหัวเราะประชดประชันของชมณัฐดังขึ้นมาในขณะที่เขาเหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งโดยที่เรามองอีกฝ่ายที่ยังคงไม่ปักเชื่อใจเต็มร้อย
“บิอากับเราได้เล่นเกมกัน และเขาบอกให้หาผู้กล้าที่สามารถเชื่อได้ภายในระยะเวลาที่ไม่กำหนด”
ตอนแรกนั้นเราก็อยากจะทิ้งผู้กล้าทั้งหมดสี่คนเพื่อรอดูหน้าของผู้แพ้พนันกับเรา แต่ในตอนนี้เรากลับเชื่อว่าเราสามารถหาผู้กล้าแห่งโชคชะตาได้แล้วและสามารถสร้างบางสิ่งบางอย่างให้กับเราได้
"เราเคยคิดว่าจะยอมแพ้กับเกมไร้สาระแบบนี้แล้ว"
"แต่ว่าหลังจากที่เจอเจ้าและพี่สาวของเจ้า"
เราสบตามองอีกฝ่ายประกายเล็กๆ ภายในดวงตาที่มืดมนนั้นเริ่มส่องสว่างมองเราที่หยิบยื่นโอกาศให้ชมณัฐอีกครั้ง
"เราอยากจะให้เจ้าและพี่สาวของเจ้าปลอดภัยชมณัฐ"
และเราจะไม่ให้ บิอา ได้สิ่งนั้นไปเด็ดขาดแม้ฝ่ายตรงข้ามนั้นจะดูนิ่งลงผิดปกติก็ตามก่อนที่เขาจะวางมือลงบนโต๊ะ
“..คุณจะทำยังไง? ”
เราขยับมือมองระบบบนโลกของเราที่แสดงหน้าจอบนข้อมูลของอีกฝ่าย ในขณะที่เราคิดว่าจะสามารถพาอีกฝ่ายไปได้นั้นเราก็ชะงักขึ้นมาเมื่อเห็นข้อความที่บอกถึง [กมลพัชร] ดูเหมือนว่าผู้กล้าคนนี้จะต้องมีพี่สาวของเขาไปด้วยสินะ
..ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ผู้กล้าจำเป็นจะต้องมีพี่น้องไปด้วยงั้นเหรอ?
“...นี้คืออะไรครับ? ” ชมณัฐมองข้อความตรงหน้าเราขณะที่ขยับใบหน้ามองเราแบบไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“โชคชะตาของเจ้าช่างแปลกจริงๆ ” ระบบข้อความดังขึ้นมาอีกครั้งในขณะเดียวกันที่ทำให้เราหยุดคิดถึง [ร้านขนม] นั้นด้วย ถ้าหากว่าพี่สาวของเขาได้มาที่นี่ คงสับสนเรื่องราวของโลกนี้บวกกับน้องชายที่ได้กลายเป็นผู้กล้าอีก
“....ในเวลานี้ข้าคงต้องใช้พลังเยอะจริงๆสินะ ” การเปลี่ยนแปลงโชคชะตานั้นอาจจะทำให้ เทพตนอื่นๆ นั้นโกรธเราได้ แต่ใครจะสนล่ะ เรามองชมณัฐในขณะที่ดีดนิ้วพร้อมกับเอกสารฉบับหนึ่งพร้อมกับร่างสูงที่เหมือนจะหยุดคิดและเงยหน้ามองเราที่ลุกขึ้นมา
“ผมต้องทำอะไร..? ”
“แค่เซ็น และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเจ้าจะเปลี่ยนไป” เราคลี่ยิ้มออกมาในขณะที่ฝ่ามืออันหยาบกร้านนั้นหยิบปากกาขนนกพร้อมกับมองเราที่ผายมือให้กับอีกฝ่ายในขณะที่ชมณัฐยังคงดูลังเลอยู่
"การอยู่ที่นี่พี่สาวของเจ้าก็จะปลอดภัย"
"และเราก็สัญญาว่าจะปกป้องพวกเจ้าด้วย"
"ชมณัฐ"
ราวกับเราได้ร่วมสาบานถึงความจริงใจต่อพี่น้องทั้งสองคนที่ ณ ตอนนี้พวกเขาไม่เหลืออะไรเอาไว้แล้วก่อนที่ชมณัฐจะยอมเขียนชื่อของตัวเองพร้อมกับเอกสารที่ได้กลายเป็นพันธะสัญญาของพวกเรา
และ
นี้คือผู้กล้าของเรา ณ จากนี้เป็นต้นไป
…………………………
“ชม แกคิดว่าเราจะสามารถห…แค่ก”
“พี่ ไปกินยา” ชมณัฐมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ในขณะที่สำลักเลือดพร้อมกับร่างกายของชายหนุ่มประคองอีกฝ่ายที่กำลังทำขนมกับเขาอยู่ ในห้องครัวเล็กๆ ที่มีขนมรูปพระจันทร์สีฟ้าโดยที่ร่างสูงปิดเตาแก๊สพร้อมกับหยิบยาจากตู้เก็บของขึ้นมาเขย่านับจำนวนของมัน
เหลืออีกเท่าไหร่?
เขาเปิดดูในขณะที่ขมวดคิ้วกับเม็ดยาตอนนี้ที่เหลืออยู่สิบเม็ด การมาอยู่ที่โลกใหม่นั้นก็ประมาณสองเดือนครึ่งได้แล้วบวกกับยาที่พี่สาวของเขาต้องกินไปด้วยก็หมดเช่นกัน
ชมณัฐเดินกลับไปมองอีกฝ่ายที่เอามือเช็คเลือดของตัวเอง แม้จะเห็นว่าเธอยังคงลุกขึ้นมาฝืนทำขนมบุหลันดั้นเมฆอยู่ก็ตาม
“ผมจะทำเอง ไปกินยาก่อน”
“อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วน่า เออแล้วก็ไปส่งให้คุณเอเบลเขาด้วยล่ะ”
“ พี่ ”
“ หื้ม? ”
“..ผมคิดว่าผมอาจจะลองไปเป็นผู้กล้านะ” ขนมที่หญิงสาวทำเสร็จนั้นถูกหยิบขึ้นมาเรียงทีละถ้วยในขณะที่สายตาของพี่สาวนั้นมองน้องชายที่ถือขวดยาอยู่
“ผมสัญญาว่าจะไม่ไปตีใครด้วย”
“ผมแค่คิดว่าโลกนี้อาจจะเหมือนโลกที่สามารถหาทางรักษาอาการพี่ได้ด้วย” ชมณัฐโยนยาไปทางอีกฝ่ายที่เธอจะขยับมือรับยาแก้อาการไอของตนโดยที่เขาเดินหันหลังพร้อมกับถอดผ้ากันเปื้อนของตัวเองก่อนที่กมลพัชรจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“หันหลังมาดิ๊” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหันหลังกลับในขณะที่เอียงคอมองเล็กน้อยก่อนที่จะเจอพี่สาวของตัวเองยกมือขึ้นมาหยุมหัวโดยที่หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเขย่งตัวเองเล็กน้อย
“ชม”
“ไม่เป็นไร ฉันเชื่อใจแกอยู่แล้ว”
“เพราะงั้น จะเป็นหรือไม่เป็นฉันไม่เคยว่าอะไรอยู่แล้ว” ชมณัฐที่ถูกกดชะงักกับคำพูดของอีกฝ่าย มือเรียวบางนั้นขยี้เส้นผมของเขาที่ก้มมองรอยยิ้มของพี่สาวที่เผยออกมาก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมา
“...พี่”
“ว่ายังไง”
“ถึงตอนนั้นผมสัญญานะว่าจะบอกทุกอย่างให้พี่ฟังด้วย”
เขาคิดว่าต้องมีสักวัน เรื่องที่เขาทำสัญญากับเอเบล และเรื่องที่มาโลกนี้ และพี่สาวของเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วย
“อ่า”
“ฉันจะรอล่ะ” รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของกมลพัชรเผยออกมาในขณะที่ชมณัฐยิ้มกลับ
ท่ามกลางร้านขนมกัลยรัตน์เล็กๆ ในเซนต์โยฮันท์ฟาวน์นั้น มีพี่น้องคู่หนึ่งที่ช่วยกันเปิดร้านขายขนมพร้อมกับน้องชายของพี่สาว ที่ได้มีเพื่อนใหม่อย่างผู้กล้าดาบและผู้กล้าหอกเป็นเพื่อน พร้อมกับผู้กล้าคนนี้ที่ได้กลายเป็นเพื่อนกับจอมมาร รวมทั้งเจ้าชายที่ได้ดูแลพวกเขาพร้อมเทพที่กำลังเฝ้ามองจุดเริ่มต้นของสองพี่น้องคู่นี้
นี้มันพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
จบบทของหวานที่ห้า
………………………….
ขนมบุหลันดั้นเมฆมีลักษณะคล้ายขนมน้ำดอกไม้ ส่วนผสมแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ส่วนผสมของแป้ง ประกอบไปด้วย แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำดอกอัญชัน น้ำตาลทราย และส่วนผสมของหน้าขนม ได้แก่ ไข่แดงของไข่ไก่ และน้ำตาล ซึ่งสามารถใช้ทองหยอดวางแทนไข่แดงและน้ำตาลได้ จะเรียกว่า “บุหลันดั้นหมอก” โดยยังคงมีรสชาติเหมือนเดิม เนื่องจากทองหยอดนั้นทำมาจากไข่แดงและน้ำตาลเช่นกัน
https://mgronline.com/celebonline/detail/9590000086914
…………………………….