ตอนที่ 1
ปราสาทเคลมองโซ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงสวมแว่นกันแดดสีดำยื่นมือไปรับกล่องสี่เหลี่ยมฉะลุลวดลายสวยงามสีทองจากชายอาหรับที่มุมลับสายตาคน หลังจากเขาเดินทางมาเที่ยวที่ปราสาท แล้วจู่ๆ ก็ได้รับการติดต่อจากบิดาให้มารับของสำคัญจากชายอาหรับและบิดายังกำชับให้รักษากล่องนี้เท่าชีวิต แต่ระหว่างพูดคุยกับบิดาเพื่อสอบถามความเป็นมาของของสิ่งนี่ สัญญาณการติดต่อก็ขาดหายไปเสียก่อน โดยที่เขายังไม่รู้เลยว่าทำไมต้องรักษาเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมชิ้นนี้เท่าชีวิต
ชายหนุ่มพยายามติดต่อบิดาทว่าติดต่อไม่ได้เลย เขาจึงหันไปมองคนที่นำของมามอบให้เพื่อสอบถามถึงเรื่องราว ทว่าชายอาหรับคนนั้นได้วิ่งหายไปทางด้านหลังของปราสาทอย่างรวดเร็ว
“ดอม! แมค! รีบตามไป” เสียงทุ้มของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สั่งสองบอดี้การ์ด จากนั้นทั้งสามคนก็วิ่งตามชายอาหรับคนนั้นไป ทว่าเมื่อไปถึงกลับมีเสียงปืนดังขึ้นทำให้ทั้งหมดรีบหาที่หลบ และก็ได้แต่เฝ้ามองชายอาหรับสิ้นใจและเสียงที่ตามมาก็คือคำสั่งให้ออกตามล่าหาคนที่ได้เพชรสีชมพูไป
‘แสดงว่าของในกล่องคือเพชรสีชมพู’ คนที่ได้ครอบครองเพชรโดยไม่รู้ที่มาที่ไปพึมพำอยู่ในใจ ก่อนหันไปทางคนสนิทแล้วพยักหน้าบอกให้พากันถอยออกไป
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เสียงสบถดังขึ้นเมื่อทั้งหมดออกจากปราสาทและพยายามติดต่อกับบิดาแต่ติดต่อไม่ได้เลย จากนั้นเขาจึงเปิดกล่องและพบว่ามันเป็นเพชรสีชมพูจริงพร้อมกันนั้นยังมีของบางอย่างลักษณ์คล้ายล็อกเก็ตแต่มันกับมีเพียงครึ่งเดียวและยังมีการสลักตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษบนสิ่งที่เขาเรียกมันว่าล็อกเก็ตอีกด้วย
“ฉันชักสงสัยแล้วสิว่าเพชรสีชมพูกับล็อกเก็ตครึ่งเดียวอันนี้มันมีความสำคัญอะไร” พูดจบก็หยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาส่องดูสักพักก่อนจะเก็บลงกล่อง
“คุณทามครับ ผมว่าเรารีบกลับอิตาลีก่อนเถอะครับ” ดอม บอดี้การ์ดมือดีของทายาทคนโตตระกูลอันน์เบริกส์พูดขึ้นและได้สั่งให้ลูกน้องจัดเตรียมเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับอิตาลีให้เร็วที่สุด หลังจากได้รับรายงานว่าคุณแอนโทนี่ บิดาของคุณเจ้านายหนุ่มถูกลอบยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส
ส่วนผู้เป็นเจ้านายพยักหน้ารับแล้วออกคำสั่ง “แมค แกรีบจัดการสั่งเพิ่มกำลังคนให้คุ้มกันคุณแม่และน้องสาวฉันที่เมืองไทยด่วน ส่วนแก ดอม เอากล่องเพชรไปเก็บ แล้วไปเจอกันที่สนามบิน” สิ้นคำสั่งของเจ้านาย ทั้งสองหนุ่มก็รับคำจัดการตามคำสั่งอย่างเร่งด่วน โดยทั้งสามคนได้แยกย้ายกันระหว่างทางและอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งหมดก็ไปขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางกลับอิตาลี
และทันทีเมื่อถึงบ้านพัก ซึ่งขณะนั้นกำลังเกิดความวุ่นวาย เมื่อก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมงมีนักฆ่าบุกเข้าไปทำร้ายคุณแอนโทนี่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส และนั่นทำให้ผู้ลูกชายโกรธเป็นอย่างมาก ยิ่งได้เห็นสภาพของบิดาความโกรธแค้นยิ่งแล่นพล่าน
"ตามล่าพวกมัน แล้วหาตัวคนบงการพวกมันให้เจอ" จบคำคนสั่งการก็หันไปยืนพ่นลมหายใจระงับความโกรธแค้นเพื่อจะได้มีสติจัดการปัญหา ที่เขาเองก็ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ แล้วไหนจะยังเพชรสีชมพูนั่นอีก มันเกี่ยวข้องอะไรกับบิดาของเขา ทำไมท่านถึงต้องมาเจ็บตัวปางตายแบบนี้
ผ่านไปสักพักเอเรสก็โทรหามารดาเพื่อสอบถามท่านและเมื่อได้รู้ว่าท่านและน้องสาวปลอดภัยดีแล้ว เขาจึงเดินขึ้นห้องพักไปเปิดกล่องเพชรดูอีกครั้งเพื่อค้นหาความเชื่อมโยงของเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่นั่งมองเป็นทั้งคืนเขาก็ยังหาอะไรไม่พบ
3 ปีต่อมา...
ที่ห้องรับแขกภายในคฤหาสน์สุดหรูของมหาเศรษฐีหนุ่มที่อายุอานามใกล้สามสิบสี่เต็มในอีกไม่กี่เดือน อีกทั้งชายหนุ่มยังเป็นเจ้าของตำแหน่งหนุ่มโสด ที่สาวน้อยสาวใหญ่ใฝ่ฝันอยากได้เป็นคู่ครอง ด้วยคุณสมบัติที่เพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และสถานะทางการเงิน แต่ไม่ว่าจะเป็นสาวน้อยหรือสาวใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองหัวใจมหาเศรษฐีหนุ่มแม้แต่คนเดียว เพราะเขายังหวงชีวิตโสด ทว่าเวลานี้คนหวงความโสดกำลังมีสีหน้าตกใจราวถูกผีหลอก เมื่อได้ฟังคำพูดจากมารดาที่บินด่วนมาจากเมืองไทยเพื่อจัดการปราบพฤติกรรมของลูกชาย
หลังจากตัวท่านพร้อมบุตรสาวคนเล็กได้ย้ายไปอยู่เมืองไทยหลายปีนับจากคู่ชีวิตเสียไป ส่วนคฤหาสน์หลังนี้ก็เป็นที่พักของลูกชายทั้งสามคนของตน ที่ต้องดูแลธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในอิตาลี ที่ตอนนี้ลูกชายคนโตได้มอบหมายงานให้น้องชายทั้งสองดูแลแทน หลังจากลูกชายคนโตต้องบินไปบินมาระหว่างอิตาลีและมาเก๊าอยู่หลายปี ที่ตอนนี้ลูกชายคนโตก็ได้เข้าไปดูแลกาสิโนและโรงแรมในมาเก๊าอย่างเต็มตัวแทนผู้เป็นอาที่อายุมาก
“ผมเหรอครับมีว่าที่คู่หมั้นแล้ว คุณแม่อำผมแน่ๆ” มหาเศรษฐีหนุ่มตำแหน่งขวัญใจสาวๆ นามว่า เอเรส ชีรเวชช์ อันน์เบริกส์ หนุ่มลูกผสมสามเชื้อชาติ แทบจะตะโกนถามมารดาอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจว่าเขาฟังไม่ได้ฟังผิด ก่อนจะลุกเดินไปมา
“แม่ไม่ได้อำ แล้วลูกก็ฟังไม่ผิดด้วย ส่วนว่าที่คู่หมั้นของลูกก็หนูพิตต้า ลูกสาวคุณหญิงศศิประภายังไงล่ะ จำไม่ได้หรือไงว่าเราเคยเจอหนูพิตต้ามาแล้ว ตอนงานแต่งของน้องไงล่ะ แต่ที่แม่ยังไม่ได้บอกลูก เพราะแม่อยากให้ลูกได้ทำความรู้จักกับหนูพิตต้าด้วยตัวเอง แต่ทำไปทำมาลูกกับหนูพิตต้าก็ไม่ค่อยได้พบกันสักที เพราะลูกเอาแต่ทำงาน แล้วก็ควงผู้หญิงคนนั้นทีคนนี้ที จนแม่ต้องมาบอกลูกเรื่องคู่หมั้นเอาไว้ก่อนที่ลูกจะไปหลงผู้หญิงคนไหนเข้า” พูดจบก็ลอบมองสีหน้าของลูกชายที่ทำหน้าราวกับกำลังกินยาขม ส่วนคนเป็นแม่ก็ลอบยิ้มพอใจกับแผนจับลูกชายคนโตหมั้น
“พิตต้า สาวไฮโซที่ชอบมีข่าวรักๆ เลิกๆ กับนายแบบหนุ่มนั่นเหรอครับ ที่คุณแม่จะให้ผมหมั้นด้วย ผมอยากจะบ้าตายจริงๆ ผู้หญิงแบบนั้น ผมไม่อยากได้มาเป็นเมีย แต่ถ้าให้เอาขึ้นเตียงเฉยๆ ผมเอา” เอเรสถามด้วยท่าทีสงสัยปนเบื่อหน่าย พอจะจำได้เลือนลางเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปเยี่ยมมารดาและอยู่ร่วมงานแต่งน้องสาวเมื่อสองปีก่อนได้อยู่บ้าง
“ทาม! ทำไมพูดจาแบบนี้” พัทตราดุเสียงดัง พลางส่ายหน้าระอาไปกับคำพูดคำจาของลูกชาย ที่ฟังทีไรก็หัวใจจะวาย