บทที่ 16 ยันต์ปริศนา

1843 Words
เช้าวันต่อมา ทุกคนตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาฝึกร่างกายวิ่งรอบค่ายทหารกันเหมือนเดิม ครูฝึกทหารแจ้งไว้ว่า อีกไม่กี่วันจะให้พวกนางเดินทางออกจากค่าย มุ่งหน้าสู่ภูเขาที่นอกเมือง เพื่อทำการฝึกนอกสถานที่ ให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมในป่า ครั้งนี้องค์หญิงเซียวหลิงจะติดตามไปด้วย และองค์หญิงเองก็จะเข้าร่วมฝึกกับทุกคนเป็นกรณีพิเศษ เหล่าทหารหญิงในค่ายที่ได้ยินก็ลอบสูดปากอุทานในใจ จะมีองค์หญิงเข้ามาฝึกด้วยเชียวหรือ พวกนางจะต้องหาทางประจบองค์หญิงเข้าไว้ จะได้มีอำนาจวาสนาและอาจจะได้เลื่อนขั้นมีหน้ามีตาเร็ววัน เจี่ยงหร่านที่อยู่ในร่างจางเหมี่ยวลี่เมื่อได้ยินว่าจะมีองค์หญิงมาร่วมฝึกด้วย ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร คิดเพียงว่าฮ่องเต้คงเห็นว่าองค์หญิงอยู่่ว่างๆ จึงให้มาฝึกร่างกายแก้เบื่อกระมัง? ด้านเซียวจิ้งนั้น วันนี้เขาเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับฮ่องเต้เซียวหลางได้สดับรับฟัง ฮ่องเต้ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะซักไซ้ด้วยความสนอกสนใจ "เป็นอย่างไรบ้าง พวกนางทำดีหรือไม่ เพราะแคว้นฟงหลิงยังไม่เคยมีทหารหญิงมาก่อน จึงต้องให้เจ้าและแม่ทัพใหญ่จางไปคอยควบคุมการฝึก ได้ยินว่าจางเหมี่ยวลี่คู่หมั้นของเจ้าก็เข้าร่วมด้วยหรือ ใช้ได้เลยนะนี่" เซียวจิ้งยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ ไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาบดบังใบหน้าของเขาเล็กน้อย เขาดื่มชาจนหมดถ้วย ก่อนจะค่อยๆ ตอบคำถามของฮ่องเต้ "ทุกอย่างค่อนข้างราบรื่นดีพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ยังมิได้ฝึกหนักอะไรนัก ให้พวกนางปรับสภาพร่างกายได้เสียก่อน ส่วนคนที่สร้างปัญหาข้าได้ไล่ออกไปแล้ว ค่ายทหารของเรามีกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตาม หากทำไม่ได้ก็ต้องออกไป" ฮ่องเต้เซียวหลางพยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เซียวจิ้งไม่เอ่ยถึงคู่หมั้นของตนเลยด้วยซ้ำ "อาจิ้ง" "พ่ะย่ะค่ะ" "คู่หมั้นของเจ้าคงมิได้ก่อกวนเจ้ากระมัง" เซียวจิ้งจริงๆ แล้วไม่อยากพูดถึงนางเลย แต่เสด็จลุงกลับถามขึ้นมา เขาจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไร้หนทางจะบ่ายเบี่ยง "นางก็ตั้งใจฝึกดีพ่ะย่ะค่ะ แต่ต้องรอดูกันต่อไป ไม่แน่ หากนางทนไม่ไหวก็คงจะออกจากค่ายทหารไปเอง ข้าให้เวลานางหนึ่งปี หากนางก่อปัญหาภายในหนึ่งปีนี้ ข้าคงต้องให้ออกจากการฝึกไปเสีย" "อืม ดูแล้วเจ้าก็ใส่ใจนางไม่น้อยเลยนะ" "เป็นความต้องการของเสด็จลุงมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้เซียวหลางแทบจะสำลักน้ำชาก่อนจะถลึงตาใส่หลานชายคนโปรด "ได้ยินว่า ตั้งแต่นางฟื้นมาจากความตาย ก็เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น อาจิ้งเจ้าก็ให้โอกาสนางหน่อยเถิด สัญญานี้เป็นข้าเองที่สัญญากับสหายรักของข้า แม่ทัพใหญ่จางผู้นั้นเอาไว้ เดิมทีคิดว่าตนเองจะไร้บุตรชายจึงให้เจ้าหมั้นหมายแทน ผู้ใดจะรู้ว่าข้าจะมีเซียวหลงขึ้นมา แต่เขาเพิ่งสิบขวบเองจะให้เขาแต่งเช่นไรเล่า เจ้าอย่ากล่าวโทษลุงเลยนะ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ หลังแต่งงานแล้วลุงจะมอบสาวงามเข้าไปเป็นอนุให้เจ้า" "เสด็จลุง หากไม่อยากเห็นเหลาสุราของข้าถูกจางเหมี่ยวลี่เผา ก็หยุดความคิดเช่นนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้เซียวหลงแอบหัวเราะในใจ ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่อง "หากพวกนางฝึกฝนได้ดี แม้ไม่อาจเก่งกาจเท่าบุรุษแต่ขอเพียงมีฝีมือ ข้าจะให้พวกนางได้ทำงานในหน่วยงานต่างๆ ในตำแหน่งที่เหมาะสม หรือหากสตรีนางใดมีฝีมือเก่งกาจถึงขนาดร่วมรบเฉกเช่นบุรุษได้ข้าก็อาจจะมอบตำแหน่งทางการทหารให้นาง แต่เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาสักหน่อย ฝากเจ้าด้วยนะ" "พ่ะย่ะค่ะ" "ระยะนี้แผ่นดินสงบเกินไป สงบจนข้าไม่ค่อยสบายใจ น่าแปลกที่ฮ่องเต้ต่างแคว้นจะอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเช่นนี้ เซียวจิ้ง เจ้าจงจับตาดูพวกเขาเอาไว้ให้ดี" "พ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุงโปรดวางใจ" "ดี ข้าได้สุราดีมา เจ้าช่วยนำไปให้บิดาเจ้าทีเถิด ถือว่ากลับไปเยี่ยมเขา ดีหรือไม่" เซียวจิ้งไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงพยักหน้ารับคำ ก่อนจะมุ่งหน้ามาที่จวนชินอ๋อง เมื่อมาถึงก็พบกับบิดาของตนที่ยามนี้มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก เมื่อเขามายืนเบื้องหน้า ชินอ๋องเซียวฟงก็ชักสีหน้าขึ้นมาทันที "เจ้ามาได้แล้วหรือบุตรชายตัวดี ข้าคิดว่าเจ้าจะย้ายเข้าไปอยู่ในวังหลวงแล้วเสียอีก เจ้าดูนี่ กั๋วเอ๋อร์น้องชายของเจ้าถูกคู่หมั้นของเจ้าทุบตี สตรีชั่วร้ายนางนั้นกล้าทำบุตรชายของข้า เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร" เซียวจิ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาอันคมกริบ ก่อนจะตอบโต้ "เซียวกั๋วเกี้ยวพาสตรีไม่ดูตาม้าตาเรือ ถูกนางสั่งสอนก็ถือว่าสมควรแล้ว เหตุใดเสด็จพ่อจึงไม่สั่งสอนบุตรชายของท่านให้รู้สำนึกเสียบ้างเล่า ให้ท้ายจนเสียคน เห็นผิดเป็นชอบ สักวันเถิดท่านจะอับอายจนแทบไม่มีหน้าไปพบผู้คน" "เซียวจิ้ง!" "ข้ามาที่นี่เพราะเสด็จลุงให้นำสุรามามอบให้ท่าน ข้าวางไว้ตรงนี้ ขอตัวก่อน" พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไปทันที ชินอ๋องเซียวฟงโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ เซียวจิ้งเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเขาแต่กลับไม่เชื่อฟังเขาเลยสักนิด แม้จะโมโหมากเพียงใด แต่กลับไม่กล้ายกเท้าถีบสุราไหนนั้นทิ้ง โมโหคนก็แล้วไปเถิด แต่จะเอาไปลงกับสุราเลิศรสไม่ได้เด็ดขาด เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงรีบอุ้มไหสุรากลับเข้าห้องหนังสือทันที ลืมเรื่องที่รับปากว่าจัดการแทนบุตรชายคนรองไปเสียสิ้น กระทั่งหลี่ฟางและเซียวกั๋วมามองหน้ากันด้วยแววตาที่เลิ่กลั่ก อันใดกัน ได้สุราแล้วลืมข้ากับลูกเลยเลยอย่างนั้นหรือให้ตายเถิด! นับตั้งแต่มีการขับไล่ทหารหญิงที่ไม่มีเคารพกฎระเบียบออกไป ทหารหญิงคนอื่นๆ ก็สงบปากสงบคำลงมาก หลายวันต่อมา ทหารหญิงทั้งหมดก็เดินขึ้นภูเขาเพื่อฝึกซ้อมนอกสถานที่ เจี่ยงหร่านนำของติดตัวไปไม่มาก นางเดินไปพร้อมกับโจวลี่และอากัวสหายร่วมห้องที่เริ่มสนิทกันมากขึ้น ระหว่างทางคนทั้งสามคนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนยามเย็นก็เดินทางมาถึงภูเขาฝู่หลง ภูเขาที่อยู่ห่างออกมาจากเมืองหลวงไม่ไกลเท่าใดนัก ที่นี่ค่อนข้างเป็นป่ารกครึ้ม มองดูแล้วเย็นสบายไม่น้อยเลย เมื่อมาถึงก็พบว่า มีคนมาจัดเตรียมสถานที่รอก่อนแล้ว เจี่ยงหร่านมองไปรอบๆ บริเวณก่อนจะพบกับไป๋ฮุ่ยหญิงงามที่ยืนอยู่ข้างกายชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง คาดว่าคงจะเป็นบิดาของนาง เจี่ยงหร่านมิได้ประหลาดใจเท่าใดนัก ไป๋ฮุ่ยเป็นบุตรสาวของท่านเจ้ากรมกลาโหม บิดานางต้องจัดการทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องทหาร รวมถึงสิ่งของต่างๆ ที่เหล่าทหารต้องใช้ แน่นอนว่าย่อมต้องเดินทางมาเพื่อส่งเสบียงและข้าวของต่างๆ ที่จำเป็น ไม่แปลกอะไรที่ไป๋ฮุ่ยจะติดตามมาด้วย ไป๋ฮุ่ยเองเมื่อเห็นว่าจางเหมี่ยวลี่มองมาที่นางก็รีบก้มหน้าลง ด้านเจี่ยงหร่านที่อยู่ในร่างของจางเหมี่ยวลี่เองก็มิได้สนใจไป๋ฮุ่ยเลยสักนิด การเดินทางครั้งนี้มีเซียวจิ้งเป็นคนคุมกองทัพ ส่วนแม่ทัพใหญ่จางบิดาของนางนั้น จะต้องไปคุมทหารหนุ่มที่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง ซึ่งภูเขาลูกนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลกันมากนัก สามารถติดต่อหากันได้ "วันนี้ทุกคนเดินทางเหนื่อยแล้ว พักก่อนแล้วค่อยเตรียมฝึกพรุ่งนี้" เพราะนี่เป็นการออกจากค่ายทหารครั้งแรก อีกทั้งพวกนางยังเป็นสตรี เซียวจิ้งจึงสั่งให้ทหารที่เป็นบุรุษมาช่วยสอนพวกนางจัดเตรียมกระโจมที่พัก อีกทั้งฮ่องเต้เซียวหลางยังส่งนางกำนัลมาคอยดูแลให้ความสะดวกกับพวกนางอีกด้วย ด้านเจี่ยงหร่านนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง นางอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่วัยเยาว์ ย่อมรู้เรื่องเช่นนี้ดี เพียงไม่นานนางก็ทำได้เสร็จเรียบร้อย ทั้งยังเหลือเวลาไปช่วยคนอื่นๆ อีกด้วย สวีเฉินที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นมา "คุณหนูจางนี่ไม่เสียแรงที่เกิดในตระกูลแม่ทัพ ไม่น่าเชื่อว่า จะทำเรื่องพวกนี้ได้คล่องมือราวกับบุรุษเลย" เซียวจิ้งไม่พูดอะไรเลย เขาเพียงมองนางอย่างไม่คลาดสายตา รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเช่นกันที่จางเหมี่ยวลี่จะทำเรื่องพวกนี้ได้ เมื่อจัดเตรียมที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นเวลาอาหารเย็น เจี่ยงหร่าน โจวลี่ และอากัวนั่งกินอาหารเย็นด้วยกัน เมื่อกินอิ่มแล้วก็ไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และกลับมาพักผ่อนที่กระโจม ค่ำคืนนี้อากาศดีไม่เลวจริงๆ โจวลี่และอากัวหลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้า แต่เจี่ยงหร่านกลับนอนไม่หลับ นางปีนขึ้นไปนั่งบนต้นไม้พร้อมกับมองดูบริเวณรอบๆ ไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่นางกำลังเอนกายอยู่บนกิ่งไม้ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้น นางขมวดคิ้วก่อนจะได้ยินเสียงของผู้หญิงร้องขึ้นมา "แย่แล้ว! ข้าพบยันต์สาปแช่งเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าผู้ใดเอามาไว้ในกระโจมของข้า" "นั่นสิ กระโจมของข้าก็มี ให้ตายเถอะ!" เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ก่อนจะมองดูเหล่าทหารหญิงที่วิ่งออกมาจากกระโจมพร้อมกับยันต์สีแดงและสีเหลืองที่มีตัวอักษรเขียนคำสาปแช่งเอาไว้ "เกิดอะไรขึ้น" แสงไฟจากคบเพลิงพลันสว่างไปทั่วทุกสารทิศ เซียวจิ้งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ รู้สึกว่าสตรีเหล่านี้สร้างเรื่องสร้างราวได้น่าปวดหัวจริงๆ เมื่อมาถึงได้ยินว่าพบยันต์สาปแช่งในค่ายทหารเซียวจิ้งก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ทุกคนต่างหันไปมองเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมียวลี่พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD