ตอนที่ 5 ความผิดที่ได้ก่อ ( 2 )
“เดิมทีเจ้าต้องไปจำคุกสวรรค์ 70000 ปี พร้อมกับโดนอัสนีสวรรค์อีก 20 ครั้ง ด้วยวิญญาณของเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ข้าคิดว่า ดวงวิญญาณของเจ้าคงจะแตกดับเป็นแน่ ข้าจะอภัยโทษให้เจ้า” ท่านเทพพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งแต่กลับมีความน่าเกรงขาม
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านเทพ” ฉันพูดด้วยความดีใจ ผงกหัวให้ท่านเทพอีกหนึ่งรอบ
“แต่เจ้ายังต้องถูกลงโทษ ได้เพียงแค่ลดหย่อน หลินหลิน เจ้าใช้มือข้างไหนเขียนสมุดเล่มนี้หรือ” ท่านเทพน้ำเสียงเย็นเยียบ
นี่ท่านให้อภัยแล้ว แต่ยังคงมี ข้อแม้อยู่ด้วยรึ ฮือ หลินหลินเอ้ย ชาติที่แล้วเธอไปทำกรรมอะไรไว้เนี่ย ชาตินี้ถึงได้ซวยซ้ำซากแบบนี้
“ขะ ข้างนี้ แล้วก็ข้างนี้ เจ้าค่ะ” ฉันพูดด้วยเสียงสั่น ๆ เพราะหวาดกลัว แต่ก็ตอบไปด้วยความจริง ฉันยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อบอกท่านเทพว่าฉันใช้มือทั้งสองข้างเขียนสมุด
“หวังเย่ เอาแส้สวรรค์ของเจ้ามา!” ท่านเทพสั่งเสียงเข้ม
ฉันทำหน้าเหลอหลา มองไปยังหวังเย่ อื้อหือ แส้ใหญ่ถึงเพียงนี้ ถึงไม่โดนทัณฑ์อัสนีสวรรค์ วิญญาณของฉันแตกดับแน่นอน
“ท่านอาจารย์ข้าขอลงโทษนางเอง ขอรับ” หวังเย่พูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ท่านเทพพยักหน้ายินยิมแต่โดยดี ดวงตาของหวังเย่ฉายแววเย็นเยียบ พลันปรากฏรอยยิ้มมุมปากแวบนึง ทำให้ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ยื่นมืออกไปสองข้าง เตรียมรับชะตากรรมที่ได้ก่อเอาไว้
“เพี้ยะ!” เสียงแส้ฟาดหนัก ๆ ลงมาบนฝ่ามือของฉัน เลือดสีแดงสด ไหลซึมออกมาจากมือ หยดลงกับพื้นจนแดงฉาน มือข้างที่โดนฟาด ห้อยต่องแต่ง ไม่มีแรงยก ฉันจึงทำได้เพียงแนบไว้ข้างลำตัว
“เพี้ยะ!” แส้ฟาดครั้งที่สองน้ำตาค่อย ๆ ไหลลงมาด้วยความเจ็บปวด พยายามเม้มปากให้แน่น เพื่อไม่ให้ส่งเสียงเล็ดลอดออกมา
หวังเย่ง้างมือเตรียมจะฟาดด้วยแส้ เป็นครั้งที่สาม ฉันหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นสะท้านน้อย ๆ ครั้งนี้ดวงวิญญาณจะแหลกสลายไหม นี่ขนาดเขาไม่ได้ใช้พลังเลยแม้แต่น้อย มนุษย์ธรรมดาอย่างฉันกลับเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้
“ช้าก่อน หวังเย่ พอแล้วล่ะ เดี๋ยวนางจะรับไม่ไหว พานางไปรักษาตัวให้หายดี ข้าจะส่งนางไปยังโลกมนุษย์ ข้าต้องไปหาท่านเทพวารี จะกลับมาภายในสองวัน” ท่านเทพแห่งโชคชะตาพูดพร้อมกับเหาะเหินอากาศออกไป
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก แค่ตีมาสองทีฉันเกือบตาย อาวุธของเทพนี่อานุภาพรุนแรงจริง ๆ
“หลินหลิน เจ้าลุกขึ้น!” หวังเย่สั่งเสียงเข้ม
ฉันเงยหน้ามองหวังเย่เล็กน้อย น้ำหูน้ำตา น้ำมูกไหลเต็มหน้าไปหมด มือขยับไม่ได้แล้ว จึงได้แต่พยายามยกแขนมาเช็ดน้ำตา น้ำมูกอยู่ป้อย ๆ
“ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดร้องไห้แล้วอัปลักษณ์เช่นเจ้า ลุกขึ้น!!”
“ฮือออออออออ” ฉันร้องไห้หนักขึ้น
“เจ้าร้องไห้เพราะเหตุใด เจ็บบาดแผลงั้นรึ”
ฉันส่ายหัวน้อย ๆ
“ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครว่าข้าอัปลักษณ์ เหตุใดเจ้าถึงว่าข้าอัปลักษณ์”
มันเรื่องจริงเพราะฉันเกิดมา มีแต่คนชมว่าฉันสวย ไม่เคยมีคนมาบูลลี่ แบบหวังเย่เลย ฉันเสียใจเรื่องนี้มากกว่าเจ็บแผลซะอีก
“ข้าพูดความจริง หลินหลินลุกขึ้น! หากเจ้าไม่ลุกข้าจะฟาดเจ้าอีกครา” หวังเย่น้ำเสียงเริ่มมีน้ำโห เสกแส้ออกมา ง้างมือจะฟาดฉันอีกรอบจริง ๆ หน้าตาก็ดีแต่ทำกับสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร
“อ้ากกกก ช้าก่อนท่าน ท่านหวังเย่ ฟังข้าก่อน”
“เจ้าพูดมา หากไม่เข้าหู ข้าจะฟาดเจ้า”
“เอะอะก็จะตี จะฟาด โหดร้าย ป่าเถื่อน” ฉันบ่นอุบอิบเบา ๆ
“เจ้าว่าอย่างไร!!”
“อ้ะ คะ คือว่า ข้าลุกไม่ไหว พอดีว่า ตอนที่ท่านเอาแส้ฟาดมือของข้า มันโดนขา ของข้า ตอนนี้เดินไม่ได้แล้ว ไม่มีแรง ท่านช่วยข้าหน่อยได้ไหม” ฉันอธิบายอย่างตะกุกตะกัก เดี๋ยวเขาไม่พอใจฟาดฉันด้วยแส้อีก
“มนุษย์เช่นเจ้าอ่อนแอยิ่งนัก” หวังเย่พูดอย่างดูแคลน ถอนหายใจออกมาเฮือกนึง แต่ก็นั่งลงช้อนตัวฉันขึ้นไป อุ้มฉันไว้ แล้วเดินไปที่ห้องพัก ปากก็บอกอย่างนู้นอย่างนี้ แต่จริง ๆ ก็ใจดีสินะ หวังเย่ ฉันยิ้มออกมาน้อย ๆ มองใบหน้าของหวังเย่ไปพลาง ๆ เพลินเหมือนกันนะเนี่ย เป็นวาสนาจริงๆ ที่ก่อนตายได้พบกับหนุ่มหล่อ