บทที่ 5.1 ลูกชายที่เชื่อฟัง

1802 Words
บทที่ 5.1 ลูกชายที่เชื่อฟัง เฉินซิ่วลี่นั่งนับเงินหยวนที่เพิ่มเข้ามาอีกห้าหยวนแล้วยิ้มกว้าง การค้าขายในชนบทนั้นจะว่ายากก็ไม่ยาก แต่จะกล่าวว่าง่ายก็ไม่ง่าย นั่นเพราะผู้เขียนได้สร้างให้หมู่บ้านต้าหยางแห่งนี้มาสมบูรณ์เกินกว่ายุค 80 ในความเป็นจริง เมื่ออยู่ในสถานที่อันสมบูรณ์ย่อมไม่มีความต้องการของผู้คน เมื่อไม่มีความต้องการย่อมไม่มีความมั่นคงในการค้าขาย เฉินซิ่วลี่ที่ต้องการความมั่นคงในการใช้ชีวิต จึงไม่คิดลงทุนในชนบทแห่งนี้ เพียงแต่ทุกอย่างจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเธอได้รับอิสระจากหนังสือสมรสตรงหน้านี้เสียก่อน หากเธอยังไม่หย่ากิจการใดๆ ที่เธอสร้างขึ้นล้วนต้องแบ่งให้เขากึ่งหนึ่ง ดวงตาเรียวมองหนังสือสมรสที่เป็นดั่งเชือกเส้นใหญ่ผูกมัดเธอเอาไว้กับหลี่อันเฉิง ทว่ายังไม่ทันคิดวางแผนชีวิตต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง “แม่ครับ ผมเข้าไปได้ไหมครับ” คำขออนุญาตที่ดังเข้ามาฟังจากน้ำเสียงแล้วเฉินซิ่วลี่ก็คาดเดาได้ว่าคงเป็นหลี่หมิง “อาหมิงเข้ามาได้เลย” หลี่หมิงเปิดประตู แต่ก้าวข้ามประตูมาเพียงสามก้าวเขาก็หยุดเท้าลง หลี่หมิงจำได้ดีว่าห้องของแม่คือเขตหวงห้าม ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเข้าไปเกินกว่าสามก้าว ต้องเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง คือคำที่เด็กน้อยตระหนักอยู่ตลอดเวลา “มีอะไรหรือเปล่าอาหมิง หรือว่าบาดเจ็บตรงไหน” ตอนที่มีเรื่องกับเด็กบ้านเฉา หลี่หมิงไม่มีท่าทางแสดงถึงอาการบาดเจ็บ ดังนั้นเฉินซิ่วลี่จึงไม่ได้สำรวจเขาอย่างละเอียด นี่เธอลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กชายคนนี้ก็มักเป็นเช่นนี้ ให้เผชิญความยากลำบากเจ็บปวดใดๆ ก็ไม่เคยเปิดเผยออกมาโดยง่าย เฉินซิ่วลี่รู้สึกร้อนใจขึ้นมาในทันทีรีบเดินไปหาหลี่หมิง ย่อตัวนั่งลงจับเขาสำรวจตรวจดูอย่างละเอียด "อาหมิง เจ็บตรงไหนรีบบอกแม่เร็ว" ความใส่ใจที่ไม่คุ้นเคยนี้ทำให้หลี่หมิงวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงรักษาสีหน้าที่นิ่งสงบเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่ครับ ผมสบายดี” “เช่นนั้นลูกมาหาแม่มีเรื่องอะไร” ปกติแล้วหลี่หมิงเป็นคนไม่ค่อยพูด หากเลี่ยงได้แม้แต่เข้าใกล้เธอเขาก็จะพยายามหลบหลีก ยิ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่มาหาเธอถึงในห้องเช่นนี้ ดังนั้นสาเหตุคาดว่าย่อมต้องสำคัญมาก “ผมอยากเรียนวิธีจับปลาครับ” วันนี้เขาเห็นแม่ใช้ไม้เพียงเล่มเดียวจับปลาหาเงินได้ถึงห้าหยวน หากเขาสามารถทำได้แบบนี้บ้างอนาคตก็ไม่ต้องกังวลเรื่องท้องว่างอีก ยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องเรียนด้วย เฉินซิ่วลี่ได้ยินคำพูดของเด็กชายก็ขมวดคิ้วเรียว ให้หลี่หมิงมีความคิดอ่านเกินวัยอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กสามขวบ จะให้เธอปล่อยเขาออกไปจับปลาเพียงลำพังได้อย่างไรกัน แต่เฉินซิ่วลี่ไม่คิดตำหนิหลี่หมิง เด็กๆ อยากเรียนรู้นับว่าเป็นเรื่องดี มือนุ่มจับมือเล็กมากอบกุมเอ่ยเสียงอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม “อาหมิง เด็กๆ ไปจับปลามันอันตรายเกินไป” “ผมว่ายน้ำได้ดี ไม่อันตรายครับ” ตั้งแต่ตกน้ำครั้งนั้นหลี่หมิงก็ฝึกฝนว่ายน้ำจนชำนาญ เพราะเขาไม่ต้องการให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นอีก "แม่สอนผมนะครับ" เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สายมองไปยังเด็กน้อยด้วยความสงสัย ปกติแล้วหลี่หมิงไม่ใช่เด็กที่ดื้อรั้นไม่มีเหตุผล แต่วันนี้เขารบเร้าเต็มกำลังในใจคงไม่ใช่แค่อยากเรียนรู้การจับปลาเพียงอย่างเดียว “จับปลาเป็นก็... หาเงินได้ไม่ใช่หรือครับ” เสียงเล็กตอบแผ่วเบา เฉินซิ่วลี่ได้ยินจุดประสงค์ของหลี่หมิงก็ยิ้มบาง ยกมือวางลงบนแก้มตอบแล้วถามเสียงอ่อนโยน “อาหมิงวันนี้น้ำแกงปลาอร่อยหรือไม่” “ครับ” “เช่นนั้นหากแม่ทำให้กินทุกวัน ลูกคิดว่าน้ำแกงปลานี้จะยังอร่อยอยู่หรือไม่” น้ำแกงปลาวันนี้แม้ว่ารสชาติดีมากจนเขาเติมข้าวเพิ่มไปอีก 1 ถ้วยโดยไม่รู้ตัว แต่หากให้เขากินทุกวันก็คงยากจะกลืนไหว เฉินซิ่วลี่เห็นสีหน้าของเด็กชายก็คาดเดาคำตอบในใจของเขาได้ ริมฝีปากจึงคลี่ยิ้มกว้าง “อีกอย่างวันนี้แม่ขายปลาได้ดีขนาดนั้น ลูกคิดว่าพรุ่งนี้ในหมู่บ้านจะมีคนมาขายปลาแบบแม่เพิ่มไหม” หลี่หมิงเป็นคนฉลาดย่อมเข้าใจความหมายที่เฉินซิ่วลี่ต้องการสื่อสารดังนั้นจึงไม่เอ่ยรบเร้าอะไรออกมาอีก เพียงขานรับอย่างเชื่อฟัง “ครับ” “แต่เรียนรู้เอาไว้เป็นวิชาติดตัวไม่ใช่เรื่องเสียหาย วันหน้าแม่จะสอนให้นะ” “ครับ” เห็นลูกชายเชื่อฟังว่าง่ายเฉินซิ่วลี่ก็ยิ้มกว้าง วางมือลงบนแก้มที่เริ่มมีเนื้อของเขา ............................. เป็นเช่นที่เฉินซิ่วลี่บอก ในวันต่อมาเมื่อหลี่หมิงออกไปซื้อแป้งข้าวสาลีที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้านก็พบว่ามีชาวบ้านสี่ห้าคนเอาปลาชำแหละมาวางขาย อีกทั้งยังลดราคาแข่งกันจนเหลือเพียงตัวละสองเหมาเด็กชายถอนหายใจยาว เขายังไม่ทันเริ่มเรียนรู้ก็มีคนมาแย่งขายของก่อนแล้ว เช่นนี้ต่อให้เรียนรู้การจับปลาจนชำนาญ นอกจากเพิ่มกับข้าวบนโต๊ะก็คงไม่อาจทำอย่างอื่นได้อีก "อาหมิงต้องการอะไรหรือ" "แป้งสาลีครับ" ตงเหยาขมวดคิ้วมองเด็กชาย เรื่องในบ้านหลี่ถึงเขาไม่อยากรู้ก็ได้ยินมาบ้าง เด็กชายตัวน้อยผู้นี้อายุเพียงสามขวบกลับต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ ผู้คนต่างตำหนิคนเป็นแม่ของพวกเขาว่าไม่รู้จักเลี้ยงคน แต่ตงเหยากลับคิดว่าหากคนเป็นพ่อของพวกเขาไม่ทอดทิ้งให้ภรรยาเจ็บช้ำเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เขายังจำภาพรอยยิ้มที่ยินดีของเฉินซิ่วลี่ตอนตั้งท้องเด็กๆ ได้ดี เธอยินดีต่อการมีลูกถึงเพียงนั้นจะทำตัวร้ายกาจต่อเด็กๆ ได้อย่างไร ล้วนเป็นเพราะพ่อของเด็กๆ ทั้งสองที่ทำร้ายเธอก่อน ตงเหยาหยิบแป้งสาลีให้เด็กชายหนึ่งถุง ยังหยิบส้มให้เขาเพิ่มอีกสองผลโดยไม่คิดเงิน "เป็นส้มจากต้นที่บ้านของลุงเอง อาหมิงเอาไปแบ่งอาชุนด้วยนะ" "ครับ" ตงเหยายิ้มกว้างมองเด็กชายตรงหน้า หากเฉินซิ่วลี่เลี้ยงคนได้ไม่ดี หลี่หมิง หลี่ชุน จะเป็นลูกชายที่เชื่อฟัง รู้ความถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ล้วนเป็นเพราะมีบิดาใจดำเช่นหลี่อันเฉิง หญิงสาวที่แสนดีอย่างเฉินซิ่วลี่จึงได้ถูกผู้คนตำหนิเช่นนี้ ตงเหยาหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นเขาเล่นซุกซนตามวัยไม่คิดว่าจะพลัดตกน้ำ หากไม่ได้เฉินซิ่วลี่ช่วยชีวิตไว้วันนี้เขาก็คงไม่มีลมหายใจมายืนอยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้ วันหน้าฉันจะตอบแทนเธอ อย่างนั้นวันหน้านายแต่งฉันเป็นภรรยาดีได้ไหม ได้! ฉันสัญญาวันหน้าจะแต่งเธอเป็นภรรยา ภาพนิ้วก้อยเล็กที่เกี่ยวกับนิ้วของเขาเป็นดั่งคำมั่นที่เขายึดถือเอาไว้ในใจมาโดยตลอด หากไม่เพราะเรื่องผิดพลาดในคืนนั้น วันนี้เฉินซิ่วลี่ย่อมเป็นภรรยาของเขา ลูกชายที่เชื่อฟังทั้งสองก็จะเป็นลูกของเขา ............................ เฉินซิ่วลี่รับแป้งสาลีมาจากหลี่หมิงแล้วเริ่มทำการนวดแป้ง ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว หลี่หมิงและหลี่ชุนที่อยู่นอกครัวลอบมองแม่ของตนเองวุ่นวายอยู่ด้านในครัวด้วยสายตาสงสัย ตั้งแต่แม่ของพวกเขากลับมาในคืนวันนั้นทุกอย่างก็ดูคล้ายจะเปลี่ยนไป หากใบหน้าที่พวกเขาลอบมองอยู่นี้ไม่ใช่ใบหน้าที่พวกเขาเห็นมาตั้งแต่เกิด พวกเขาย่อมไม่เชื่อว่าคนที่กำลังนำก้อนซาลาเปาวางบนหม้อนึ่งจะเป็นแม่ของพวกเขา ซาลาเปา ดวงตากลมหันมามองกันด้วยความตื่นเต้น ที่แท้แม่ให้หลี่หมิงออกไปซื้อแป้งสาลีตั้งแต่เช้าก็เพื่อทำซาลาเปาให้พวกเขานั่นเอง ใช้เวลาอยู่ค่อนวันเฉินซิ่วลี่ก็ยกจานที่มีซาลาเปาลูกเล็กๆ ออกมา เด็กชายสองคนเงยหน้าขึ้นมองกัน แม่ของเขาก่อนหน้าแม้แต่ต้มข้าวก็ยังทำได้ไม่ดี แต่ไม่คิดว่าหลายวันมานี้ไม่เพียงทำอาหารรสชาติดีขึ้นโต๊ะให้พวกเขากินทุกวัน วันนี้ยังลงมือทำซาลาเปาให้พวกเขาด้วย เพียงแต่ก้อนแป้งขาวตรงหน้ามีขนาดเล็กกว่าปกติถึงเท่าตัว หรือแท้จริงแล้วมารดาของพวกเขาจะทำซาลาเปาไม่เป็น เด็กน้อยสองคนมองหน้ากันสลับกับก้อนแป้งเล็กตรงหน้า “ลองกินดูสิ” เฉินซิ่วลี่ไม่รู้ความคิดของเด็กๆ ก็เข้าใจว่าที่พวกเขาไม่กล้าแตะอาหารเป็นเพราะหวาดกลัวว่าเธอจะดุด่าเหมือนเช่นที่เจ้าของร่างเดิมทำประจำ หลี่หมิงกับหลี่ชุนกลืนน้ำลายฝืด ยื่นมือเล็กออกไปหยิบซาลาเปาหน้าตาแปลกประหลาดตรงหน้าใส่ปากไปทั้งก้อนโดยไม่เอ่ยตำหนิให้คนทำเสียกำลังใจ แต่ไม่คิดว่าทันทีที่กัดลงบนก้อนแป้ง สัมผัสแรกกับเป็นความนุ่มฟูไม่แข็งกระด้างเช่นซาลาเปาทั่วไป ที่สำคัญเจ้าซาลาเปาลูกเล็กนี่ยังมีใส่ด้วย ถึงแม้จะเป็นไส้ผักธรรมดาแต่กลับกลมกล่อมอร่อยจนพวกเขาต้องหยิบกินต่อกันอีกคนละสามลูก “ค่อยๆ กินในหม้อนึ่งยังมีอีกมาก” เมื่อเห็นว่าลูกชายทั้งสองจับซาลาเปาลูกเล็กใส่ปากจนสองแก้มกลมป่องเฉินซิ่วลี่ก็รีบเอ่ยบอก พร้อมกับส่งแก้วน้ำให้ทั้งคู่คนละหนึ่งใบ ..........................................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD