บทที่ 3.1 แม่ที่ใฝ่ฝัน

1708 Words
บทที่ 3.1 แม่ที่ใฝ่ฝัน หลังจากที่กู้เหยียนจากไป เฉินซิ่วลี่ก็พาหลี่หมิงเข้าไปนอนพัก เอ่ยกำชับเขาห้ามลุกจากเตียงไปไหน ยังเน้นย้ำว่าหากมีอาการปวดหัวมากขึ้นหรือคลื่นไส้อาเจียนให้รีบบอกเธอในทันที “พี่ชาย เจ็บไหมครับ” หลี่ชุนถามพี่ชายทั้งน้ำตา เพราะตอนที่หลี่อันอันลงมือทุบตี พี่ชายกอดเขาเอาไว้ ใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบัง สุดท้ายทุกแรงทุบตีจากอาสามจึงถูกชายแบกรับไว้เพียงผู้เดียว ก่อนหน้านี้เพราะตกใจและหวาดกลัวหลี่ชุนจึงไม่ทันคิดอะไร ตอนนี้เห็นว่าพี่ชายถูกตีจนหัวแตกเลือดไหลในใจจึงรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง “พี่ไม่เจ็บ อาชุนอย่าร้องไห้” ทั้งที่ปวดระบมไปทั้งตัวแต่เมื่อเห็นน้องชายร้องไห้จนสะอื้น หลี่หมิงก็กัดฟันขามความเจ็บฝืนยิ้มและเอ่ยปลอบโยนน้องชายเสียงอ่อนโยน เฉินซิ่วลี่มองเด็กชายตัวน้อยที่วางท่าเข้มแข็งแล้วรู้สึกสะท้านในอก อยากขึ้นไปบนบ้านใหญ่ดึงคนใจร้ายผู้นั้นกลับมาสั่งสอนเพิ่มอีกสักหน่อยให้สาสมกับการกระทำที่โหดร้ายนี้ ทว่าในบ้านใหญ่เวลานี้ล้วนไม่มีคน เฉินซิ่วลี่จึงได้แต่เก็บความคับแค้นนี้ไว้ในใจ "พี่ชาย..." หลี่ชุนยังคงร้องเรียกพี่ชายเสียงสะอื้น แต่เมื่อเห็นสายตาห่วงใยของหลี่หมิงก็พยายามอดทนเม้มริมฝีปากเล็ก ทว่าหลี่ชุนก็คือหลี่ชุน อดทนได้ไม่ถึงสามลมหายใจก็โถมตัวเข้าโอบกอดคนบนเตียงพร่ำบอกขอโทษเสียงสะอื้นอีกระลอก “พี่ชายผมขอโทษ เพราะผมอ่อนแอจึงเป็นภาระของพี่ ผมปกป้องพี่ไม่ได้เลย” "ปกป้องไม่ได้อะไรกัน ชีวิตพี่ชายคนนี้ล้วนเป็นอาชุนที่ปกป้องไว้" ถึงแม้เรื่องราวของพี่น้องแซ่หลี่นี้จะไม่ถูกกล่าวถึงบ่อยนักในนิยาย แต่มีประโยคหนึ่งที่เฉินซิ่วลี่จำได้ก็คือ เจ้าของร่างเดิมเคยพาลูกฝาแฝดวัยสองขวบไปที่บ้านเดิม ในตอนนั้นหลี่หมิงเกิดพลัดตกน้ำ หลี่ชุนจึงยื่นมือไปช่วยพี่ชายขึ้นมาได้แต่ทว่าตนเองกลับตกน้ำแทน กว่าที่เฉินซิ่วจูนางเอกในนิยายจะไปพบ หลี่ชุนก็หมดสติเป็นตายเท่ากัน แม้ว่าในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถังจะให้คนเร่งพาเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองช่วยชีวิตเด็กชายไว้ได้ทัน แต่ก็ใช้เวลาอยู่ถึงครึ่งเดือนหลี่ชุนจึงหายดีและกลับบ้านได้ จากการเจ็บป่วยครั้งนั้นหลี่ชุนก็ร่างกายไม่แข็งแรงและมักเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ จนเจ้าของร่างเดิมหงุดหงิดที่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปกับเรื่องที่ตนมองว่าไม่จำเป็น ไม่จำเป็นอะไรกัน นี่มันชีวิตลูกชายทั้งคนนะ! เฉินซิ่วลี่ได้แต่กร่นด่าเจ้าของร่างเดิมอย่างกรุ่นโกรธ ทว่าเมื่อมองเห็นเด็กชายตัวน้อยที่โถมกอดพี่ชายก็ถอนหายใจยาว เอ่ยเสียงอ่อนโยน “อาชุนปล่อยพี่ชายเถิด เขาเจ็บอยู่ให้นอนพักมากๆ อย่ากวนเขา” “งั้นผมจะนอนเฝ้าพี่ พี่ชายอยากได้อะไรบอกผมนะครับ” เฉินซิ่วลี่มองเด็กชายตัวเล็กที่ซุกตัวนอนข้างคนเป็นพี่แล้วส่ายหน้าไปมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินออกมาจัดการข้าวของในครัวที่ถูกหลี่อันอันรื้อจนเละเทะไปหมด หากจำไม่ผิดหลี่อันอันเป็นน้องสาวคนเล็กของหลี่อันเฉิงที่เกิดจากหม่าอิงหงแม่เลี้ยงของเขา เพราะเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านหลี่ตั้งแต่เล็กนายท่านหลี่จึงรักใคร่เอ็นดูเป็นพิเศษทำให้มีนิสัยเอาแต่ใจ สิ่งใดของพี่น้องหากอยากได้ก็จะแย่งชิงเอาไปอยู่เสมอ จนกระทั่งอายุ 15 ปี นายท่านหลี่ตายจากไป หม่าอิงหงก็ไม่คิดสอนสั่งแก้ไขนิสัยเสียนี้ของลูกสาว มาถึงตอนนี้คงยากจะแก้ไขแล้ว นิสัยเสียแล้วอย่างไร สามารถยกเป็นเหตุผลรังแกผู้อื่นได้หรือ ความเจ็บปวดของเด็กๆ เมื่อเธอกลับมาฉันจะทวงคืนให้หมด ......................................... วันต่อมาเฉินซิ่วลี่พาหลี่หมิงขี่หลังไปยังสถานพยาบาลหมู่บ้าน แม้เด็กชายจะพยายามปฏิเสธและยืนยันขอเดินไปเองอย่างไรเธอก็ไม่ยินยอม ครั้งนี้ยังได้หลี่ชุนเป็นฝ่ายสนับสนุนมารดาอีกหนึ่งเสียง สุดท้ายหลี่หมิงจึงยอมข่มความอายถูกคนเป็นแม่แบกใส่หลัง “แผลแห้งดี ไม่มีอาการอักเสบแทรกซ้อน ต่อไปคุณล้างแผลเองที่บ้านก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องเดินทางมาให้ลำบาก” กู้เหยียนบอกหลังจากที่ตรวจดูแผลให้เด็กชาย ถึงแม้เขาจะรู้สึกดีที่ได้พบหน้าเฉินซิ่วลี่ แต่การที่เธอต้องแบกลูกชายเดินมายังสถานพยาบาลหมู่บ้านก็นับเป็นเรื่องยากลำบากไม่น้อย “คุณหมอกู้คะ ฉันมีเรื่องจะขอรบกวนค่ะ” “เรื่องอะไรหรือครับ” ไม่รู้เพราะอะไรแต่กู้เหยียนรู้สึกว่าการได้เป็นที่พึ่งพาให้เฉินซิ่วลี่นั้นสร้างความภาคภูมิใจให้เขาไม่น้อย “ฉันอยากขอใบรับการเจ็บป่วยของอาหมิงได้ไหมคะ" "ได้ครับ" "ขอคุณช่วยระบุถึงอันตรายจากการบาดเจ็บที่ศีรษะลงไปด้วยนะคะ เอ่อ... ถ้าหากคุณไม่ว่าอะไร ฉันรบกวนขอให้คุณหมอในโรงพยาบาลช่วยรับรองอีกคนด้วยได้ไหมคะ” การใช้คำพูดที่สุภาพราวกับคนมีความรู้ทางการแพทย์ของเฉินซิ่วลี่ทำให้คิ้วของกู้เหยียนขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีกทั้งยังออกใบรับรองให้ตามที่เธอต้องการอีกด้วย “ค่ารักษาเท่าไหร่คะ” เสียงถามแผ่วเบาของหญิงสาวทำให้กู้เหยียนยิ้มกว้าง นิสัยเรื่องอื่นที่เขาได้ยินเกี่ยวกับตัวเธอเมื่อได้สัมผัสตัวจริงกลับไม่ตรงสักข้อ เว้นเพียง... เฉินซิ่วลี่เป็นสตรีที่รักเงินหยวนยิ่งนัก “อาหมิงเป็นลูกของอาเฉิง ครั้งนี้ผมรับผิดชอบค่ารักษาให้เองครับ” กู้เหยียนจำสายตาประทับใจของหญิงสาวตอนที่คุณชายสามบ้านถังเอ่ยปากจ่ายค่ายาให้เธอได้ ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงหาเหตุผลเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้เธอบ้าง ดวงตาคมจดจ้องใบหน้าสวยหวานตรงหน้าอย่างรั้งรอให้แววตาเช่นนั้นส่งกลับมาที่เขา หากแต่เมื่อตระหนักถึงความคิดอันไม่ควรของตนเองได้ก็ถอนหายใจยาวเบนสายตามองไปยังรายการยาตรงหน้าแทน นี่เขากำลังคิดอะไรกับภรรยาของเพื่อนกัน หลังกลับจากสถานพยาบาลหมู่บ้าน เฉินซิ่วลี่ก็เข้าครัวทำบะหมี่ให้สองพี่น้องกิน กลิ่นหอมของบะหมี่ทำให้ท้องเล็กๆ ร้องออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม เฉินซิ่วลี่มองใบหน้าที่แม้จะนิ่งขรึมไม่ต่างจากปกติแต่กลับขึ้นริ้วแดงแล้วอมยิ้มน้อยๆ “อืม... บะหมี่ฝีมือแม่อร่อยมากเลยครับ” หลี่ชุนที่ตอนนี้คลายความตื่นกลัวในตัวเฉินซิ่วลี่ลงบ้างแล้วพูดด้วยเสียงสดใส ตะเกียบในมือม้วนเส้นบะหมี่แล้วสูดเสียงดัง เคี้ยวจนแก้มกลมพองออกราวกับซาลาเปาขาวในเตานึ่ง เฉินซิ่วลี่มองดูสองพี่น้องฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออก หากแต่ยามมองกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน สำหรับหลี่ชุน แม้ปกติจะดูอ่อนแอขี้โรคและตื่นกลัวคนแปลกหน้า ทว่ายามที่คุ้นเคยแล้วเด็กน้อยกลับทำให้รู้สึกเบิกบานใจ รอยยิ้มที่สดใส ดวงตาที่เปล่งประกาย แค่ได้มองก็คลายความเหนื่อยล้าออกไปได้ในทันที ส่วนหลี่หมิง ทั้งที่อายุเท่ากันกับหลี่ชุนแต่กลับให้ความรู้สึกโตกว่าเป็นเท่าตัว แววตาที่นิ่งสงบ ใบหน้าที่เคร่งขรึม และวงแขนที่พร้อมกางออกปกป้องน้องชายนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นคงปลอดภัยยิ่งนัก ไม่แปลกที่หลี่ชุนจะรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยทุกครั้งที่เห็นพี่ชายคนนี้อยู่ในลานสายตา “อาหมิง กินให้มากหน่อยจะได้กลับมาแข็งแรงไวๆ” “ครับ” เด็กชายขานรับอย่างเชื่อฟัง ตะเกียบในมือม้วนเส้นบะหมี่กินอย่างสุภาพ แต่รวดเร็วไม่ต่างจากน้องชาย ชั่วครู่คล้ายเฉินซิ่วลี่จะเห็นแววตาที่นิ่งสงบของเขาเปล่งประกายขึ้นเมื่อได้ลิ้มรสของบะหมี่ฝีมือเธอ เฉินซิ่วลี่ไม่อยากจะโอ้อวดแต่อาชีพเดิมก่อนที่เธอจะทะลุมิติมาก็คือการทำบะหมี่ขาย ที่สำคัญร้านบะหมี่ของเธอยังเป็นร้านที่อร่อยที่สุดในอำเภออีกด้วย การันตีได้ด้วยถ้วยรางวัลมากมายในชั้นวางของเธอเลย “กินเสร็จแล้ว เป็นเด็กดีกินยาและนอนพักนะ” ถ้วยเล็กพร้อมเม็ดยาถูกส่งมาตรงหน้า เด็กชายวันสามขวบมีสีหน้าย่ำแย่เล็กน้อยแต่ก็ยอมรับมากินอย่างว่าง่าย เฉินซิ่วลี่คิดถึงยาน้ำสำหรับเด็กขึ้นมาในทันที แต่ก็เข้าใจว่าสถานพยาบาลเล็กๆ ในชนบทมียาให้กินก็นับว่าดีมากแล้ว “แม่เองก็อย่าลืมกินยานะครับ” หลี่หมิงมองซองยาสีน้ำตาลของคนเป็นแม่ และรอยแดงบนแขนของอีกฝ่ายก็เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ ทว่าเฉินซิ่วลี่กลับรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก น้ำหนักของเธอในใจเด็กๆ เพิ่มขึ้นแล้วใช่หรือไม่ “จ้ะ แม่จะเป็นเด็กดีกินยาแล้วเข้านอนเหมือนกัน” ........................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD