EP.01 แรกพบ

1269 Words
EP.01                ท่ามกลางฝูงชนที่เดินกันอยู่อย่างขวักไขว่ ภายในตัวอาคารที่พักผู้โดยสารขาเข้า ของสนามบินสุวรรณภูมิ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำ สวมแว่นตา ผมจัดทรงด้วยเจลเพิ่มความสมาร์ทให้เขากลายเป็นจุดเด่นให้หลายคนต้องมองตาม เมื่อเขาแหวกฝูงชนมาตามช่องทางเดินด้วยความเร่งรีบ ก็มีอันชนเข้ากับใครบางคนที่เดินมาดักทางเข้าอย่างจัง                “ว้าย!!!” ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษเมื่อเห็นว่าเป็นสุภาพสตรีในชุดสุภาพสีขาวสะอาดตากำลังนั่งกองอยู่กับพื้น โดยมีกระเป๋าเดินทางหลายใบทั้งของเขาและของเธอตกกระจายเกลื่อน หญิงสาวมีใบหน้าบูดบึ้งเมื่อยังเห็นว่าเขายังยืนนิ่งไม่มีทีท่าจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ ทั้งที่เป็นฝ่ายทำให้เธอลงไปกองกับพื้น  “นี่คุณ ใจคอไม่คิดที่จะช่วยฉันหรือยังไง คนอะไรไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย” หญิงสาวเหวเสียงดัง “ลุกเองได้ไม่ใช่หรือไงคุณ ลุกได้ก็ลุกเองสิ” เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ขณะหันไปเก็บของตนเองต่อ ฝ่ายหญิงสาวพยายามตะกายลุกขึ้นได้จนสำเร็จ หล่อนมิวายหันไปเหวใส่ชายหนุ่มอีกชุดใหญ่ “คนอะไร ไร้น้ำใจสิ้นดี เจ้าข้าเอ้ย ดูสิคะ แต่งตัวก็ดูดีมีเสน่ห์ พอชนคนล้มก็ไม่ใส่ใจ เห็นแก่ตัวสิ้นดี คนอะไรฉันก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ” “นี่เธอ...” ชายหนุ่มถลึงตาใส่หญิงสาว เมื่อเห็นว่าเวลานี้มีบรรดาประชาชนต่างมองเขาเป็นจุดเดียว ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับยังพล่ามต่อ ซ้ำยังทำหน้าซ้ำเติมราวกับเขาเป็นนักโทษแหกคุก “จะหยุดได้หรือยังคุณ” “ไม่หยุด” “ไม่หยุดใช่ไหม มานี่เลย” เขาคว้าข้อมือของหญิงสาวได้ก็ดึงจะให้ไปอีกทาง ทว่าเธอกลับขืนตัวเอาไว้แล้วโวยวายเสียงดัง “ว้าย ช่วยด้วยค่ะ อีตานี่มันแต๊ะอั๋งฉัน ช่วยด้วยใครก็ได้ช่วยด้วย” ชายหนุ่มยิ่งหน้าเสีย เมื่อมีคนมามุงดูเยอะกว่าเดิม เขาล็อคตัวของยายผู้หญิงปากมากได้ก็ยกมือขึ้นหมายจะปิดปากเธอ แต่กลับถูกหล่อนกัดหมับเข้าให้ที่มือจนเป็นรอยเขี้ยว “หึ...สมน้ำหน้า” ว่าจบเจ้าหล่อนก็ก้มลงเก็บของตัวเองแล้วลากกระเป๋าจากไปโดยทิ้งให้ชายหนุ่มเป็นจำเลยสังคมไปอย่างไม่ควรจะเป็น “ฝากไว้ก่อนเถอะ ยายฝอยเดือด!!!” เขาสบถ ก่อนจะไปสะดุดกับตุ๊กตาหมีสีขาวสะอาดตาที่ตกอยู่กับพื้น แน่นอนมันจะต้องเป็นของยายฝอยเดือดคนนั้นอย่างแน่นอน เขายิ้มที่มุมปาก ก่อนจะก้มลงหยิบมันขึ้นมาถือ ใช้นิ้วดีดที่หน้าตุ๊กตาหมายใจให้เป็นตัวแทนของยายบ้าคนนั้น “นี่แน่ะ ยายบ้า ฮึ้ย เจ็บใจนัก ดุอย่างกับหมา” “คุณพ่อคะ ไหนล่ะคะรถของลุงดำ เจนนี่รอตั้งนานแล้วนะไม่เห็นมีสักดำเลย” หญิงสาวตะคอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถืออารมณ์หงุดหงิด เหตุการณ์เมื่อครู่มันทำให้เธออารมณ์เดือดจนไม่อยากจะมองหน้าใครได้ติดสักคน “นี่ลูกหงุดหงิดอะไร” เสียงจากปลายสายถามถึงสาเหตุน้ำเสียงที่ดูขัดใจของบุตรสาว “เปล่าค่ะคุณพ่อ นั่นไงคะลุงดำ คุณพ่อคะเท่านี้ก่อนนะเดี๋ยวเจอกันที่บ้าน” หญิงสาวเอ็ดตะโรได้แค่นั้นก็กดวางสายแล้วรีบก้าวลงบนพื้นถนน แต่ในเวลานั้นเธอก็ต้องชะงักเมื่อรถแท็กซี่ป้ายเหลืองคันหนึ่งได้วิ่งฉิวตรงมาที่เธอพร้อมกับเสียงแตรดังสนั่น เจนจิรายืนตะลึงงันอยู่กลางถนนด้วยความตกใจ “คุณ ระวัง...” ร่างบางถูกกระชากกลับเข้ามายังฟุตปาทอีกครั้งด้วยอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง ทำให้ทั้งสองล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน วงแขนแข็งแกร่งกระชับร่างของหญิงสาวให้อยู่ในอ้อมกอด ใบหน้าของเธอแนบชิดแผงอกหนาด้วยความตกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า”  เสียงนุ่มทุ้มกระซิบบอกผ่านซอกหู เจนจิราเพิ่งรู้สึกตัวและรู้สึกคุ้นต่อน้ำเสียงนั้นก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาขอบคุณ “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบ...” สายตายียวนที่สบตาเธออยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจสัมผัส ทำเอาคำพูดขอบคุณ มีอันต้องกลืนหายไปในลำคอ “นี่นายอีกแล้วหรือเนี้ย” เจนจิราร้องขึ้นอย่างขัดใจเมื่อเห็นว่าเขาเป็นคนไร้น้ำใจเมื่อสักครู่ “วันนี้มันเป็นวันอะไรเนี้ย ฉันเจอแต่เรื่องซวยๆ ทั้งนั้นเลย” “วันจันทร์” เจ้าหนุ่มตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย “จะไม่ตอบก็ได้นะ อีตาบ้า” หล่อนว่าด้วยน้ำเสียงสะบัด “หลีกไป ฉันจะลุก” หล่อนตะกายลุกขึ้น โดยมีชายหนุ่มลุกตาม เขามองเธอด้วยรอยยิ้มขบขัน รู้สึกตลกเมื่อได้เจอกับยายฝอยเดือดอีกครั้งเป็นคำรบสอง “เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับคุณหนู” เสียงของลุงดำดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าตัว “ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เจนนี่ว่าเรารีบไปกันเถอะนะ” เธอพูดเสียงรัวพร้อมกับจะเดินนำไปในขณะที่ชายชรารีบเข้ามาช่วยถือกระเป๋าเอาไว้  “ใจคอคุณจะไม่ขอบใจผมบ้างเลยหรือยังไง คนอะไร ไร้น้ำใจสิ้นดี” คิมหันต์บอกด้วยรอยยิ้มมุมปาก ขณะเจนจิรารู้สึกหน้าร้อนผ่าว เหมือนถูกหักหน้าเข้าอย่างจัง เธอมองไปรอบๆ ตัวก็เห็นมีประชาชนกำลังมองอยู่ จึงกลั้นใจว่าเสียงเบา “ขอบใจ!!!” เสียงนกจากบนต้นไม้ดังเจื้อยแจ้วจนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพวกมันกำลังเรียกร้องอะไรกัน สายลมพัดเอื่อยเฉื่อยเย็นสบาย หมู่แมกไม้น้อยใหญ่ต่างโบกสะบัดตามแรงลมที่พัดเข้ามา บริเวณโดยรอบกว้างขวางและเงียบสงบ สมแล้วกับการเป็นที่พักกายสถานสุดท้ายของมนุษย์ ขณะนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในบริเวณสุสานด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว เขาเดินมาหยุดตรงกู่บรรจุอัฐิของใครคนหนึ่ง บนป้ายชื่อระบุว่า...มาวินและริสา เจษฎาบดินทร์ฤทธิไกล…ชายหนุ่มวางดอกไม้ที่นำมาด้วยลงพร้อมกับก้มลงกราบบนพื้น  “พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับมาแล้วนะครับ” เสียงของชายหนุ่มฟังดูราบเรียบ หากแต่กลับแฝงไว้ด้วยความหม่นหมอง ใบหน้าอันคมเข้มของเขาแนบลงกับพื้นอีกครั้งก่อนจะเงยขึ้นมาสบกับรูปใบเล็กหน้ากู่บรรจุอัฐิ “หลายปีแล้วมั้งครับที่ผมไม่ได้เข้ามาดูแลที่นี่ แต่นี้ไปผมจะมาทำความสะอาดและจะไม่ทิ้งพ่อกับแม่ไปไหนแล้ว” พูดจบเขาก็ยันตัวลุกขึ้นแล้วเก็บกวาดเอาใบไม้ที่อยู่โดยรอบออกไปจนหมด จนในพื้นที่นั้นสะอาดสะอ้านทันตาเห็น “มันคงใกล้ถึงเวลาแล้วสินะครับ เวลาที่ผมจะแก้แค้นให้พ่อกับแม่ เวลาที่ผมจะทวงคืนสิทธิ์ทุกอย่างที่เป็นของเรากลับมาอีกครั้ง คุณพ่อคุณแม่วางใจเถอะครับ ของทุกอย่างที่เป็นของเรามันจะกลับมาอีกครั้งในไม่ช้านี้แล้ว” กระแสเสียงนั้นเรียบเย็นและเต็มไปด้วยเพลิงอารมณ์ที่เตรียมพร้อมจะสะสางอยู่ตลอดเวลา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD