แม้งานราชกิจมากมายเพียงใด ชินอ๋องผู้นี้ไม่เคยละเลยครอบครัวเลยสักคราเดียว ว่านหนิงเหมยซึ่งบัดนี้เป็นพระชายาขององค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋อง นิ้วเรียวกำลังนวดคลึงกึ่งกลางหน้าผากให้ผู้เป็นสามีซึ่งเอนกายนอนบนตักของนางอยู่
“ดีขึ้นหรือไม่เพคะ”
“ฮืม” เสียงครางรับคำในลำคอดังขึ้นก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นและมองชายารักของตน
“มองหม่อมฉันแบบนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
ว่านหนิงเหมยถามกลบเกลื่อนความเขินอายที่ทำให้แก้มเนียนแดงระเรื่อ แม้อยู่กันมากว่าสิบเจ็ดปีแล้ว แต่นางยังคงเขินอายเมื่อถูกสายตาคมวาวคู่นี้จ้องมอง บุรุษวัยสี่สิบห้ายันกายลุกขึ้น มุมปากยกยิ้มโปรยเสน่ห์ แม้ยามนี้จะไม่มีรอยสักปีศาจมังกรเพลิงที่แขนซ้ายแล้ว แต่ร่างกายยังคงมีกรุ่นอายร้อนอยู่เสมอ เขาจึงมักสวมชุดนอนเนื้อผ้าบางเบาและยามนี้เสื้อตัวหลวมเผยแผ่นอกให้เห็นรำไร แม้จะมีลูกด้วยกันสามคนแล้ว เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี แต่นางอดเขินอายกับการเย้ายวนของเขาไม่ได้เสียที
เฟยเทียนพอใจกับการเห็นแก้มภรรยาแดงระเรื่อและเริ่มลามลำคอของนางแล้ว เขาหัวเราะในลำคอยื่นหน้าไปกดจุมพิตที่แก้มนุ่มเบาๆ คลอเคลียนางราวกับตนเองเป็นแมวตัวใหญ่ มือเล็กผลักไสเพราะหนวดเครานั้นระคายผิวนางให้รู้จักจั๊กจี้
“ไยเจ้าผลักไสสามีเช่นนี้เล่า” เขาแสร้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ แต่อีกฝ่ายกลับขึงตาใส่กลบเกลื่อนความเขินอายของตนเอง
“ท่านไว้หนวดเคราเช่นนี้ระคายผิวของหม่อมฉันสิเพคะ”
“เจ้าไม่ชอบ?” เขาลูบเรียวหนวดของตนเอง
ผู้เป็นพระชายาถอนหายใจแล้วยื่นมือไปแตะแก้มของชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้า “ท่านคิดว่าแค่ไว้หนวดไว้เคราทำหน้าตาดุดันขึงขังแล้วจะไม่มีบุรุษใดกล้ามาฝากรักลูกสาวของเรารึ แบบนี้ท่าจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ? ปีนี้ฮวาเอ๋อร์อายุสิบเจ็ดแล้วนะเพคะ”
“เจ้าอยากให้ลูกสาวของเราแต่งงานออกเรือนเร็วๆ อย่างนั้นรึ” เขาทำหน้าไม่ค่อยพอใจนัก “เมื่อครั้งที่เจ้าแต่งงานกับข้าก็อายุสิบแปด”
“หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้น” เห็นสามีรักและหวงลูกสาวแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
ชายผู้นี้เคยเป็นถึงรัชทายาท เป็นโอรสขององค์ฮ่องเต้ เป็นแม่ทัพใหญ่ผู้กรำศึกมานับครั้งไม่ถ้วน แม้ภายนอกเขาคือบุรุษที่น่าเกรงขาม เพียงแค่ปรายตา
มองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่เมื่ออยู่กับครอบครัว เขาเป็นบิดาที่รักและเอาใจลูกๆ มากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว คนเล็กหรือคนโต ทุกคนล้วนได้รับความรักจากบิดาอย่างเปี่ยมล้น เฟยเทียนไม่ลังเลที่จะอุ้มเด็กสาวตัวน้อยขึ้นนั่งบนท่อนแขน ให้บุตรชายคนเล็กขี่คอ ไม่ละเลยที่จะกินข้าวเย็นรวมกันแทบทุกวัน ฝึกสอนลูกๆ ด้วยตนเอง ไม่เคร่งครัดกฎระเบียบใดๆ เขาชอบให้ลูกๆ เรียก ‘ท่านพ่อ’ ‘ท่านแม่’ ไม่สนใจว่าจะสืบเชื้อสายเชื้อพระวงศ์แต่อย่างใด และที่สำคัญ ตั้งแต่เขาแต่ตั้งนางเป็นพระชายา ก็ไม่รับหญิงอื่นใดมาเป็นชายารองหรืออนุ หรือแม้แต่สนมก็ไม่มี ชีวิตในแต่ละวัน หากไม่นับปัญหาน้อยใหญ่จากภายนอกที่เขากางแขนปกป้องสุดกำลังแล้ว ทุกวันผ่านไปราวกับคู่สามีภรรยาในครอบครัวสามัญชน
แต่คนที่ได้รับความรักมากกว่าผู้อื่นคงหนีไม่พ้นซิ่นฮวา ลูกสาวคนเดียวที่เขาทั้งรักทั้งหวง และตามใจอย่างที่สุด แม้เขารักและตามใจลูกสาวมากเพียงใด ยังคงมีมารดาที่คอยดูแลไม่ให้นางเอาแต่ใจตัวเองจนเกินไป ซิ่นหลิงถอดแบบเฟยเทียนมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว ความองอาจและเก่งกาจในการต่อทั้งยังเรียนรู้ศาสตร์การรบได้อย่างแตกฉาน ซิ่นฮวา...เอ่อ...ไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ การที่เฟยเทียนให้บุตรสาวได้เรียนรู้ด้านนี้นั้น มิใช่ต้องการให้นางออกรบถือกระบี่เช่นพี่ชายฝาแฝด แต่เพราะให้นางได้ปกป้องตนเองได้ เขาคงไม่อาจปกป้องลูกๆ ไปได้ชั่วชีวิต เขาจึงให้ลูกๆ ทุกคนได้ฝึกฝนเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ จิ่นสือแม้ยังเด็กแต่เขาเป็นผู้ฝึกวรยุทธให้ด้วยตนเอง จึงเก่งกาจไม่ด้อยไปกว่าซิ่นหลิงนัก หากเติบโตขึ้นอีกนิดความองอาจสง่างามต้องฉายแววออกมาอย่างเด่นชัดเป็นแน่ ทว่ากับซิ่นฮวา แม้ภายนอกนางดูเรียบร้อยอ่อนหวาน ว่านอนสอนง่ายไม่โต้ตอบใคร แต่ความจริงนางซุกซนเกินจะหาคำมาบรรยาย รักความถูกต้องไม่ชอบเห็นใครถูกเอาเปรียบ นางจิตใจดีเช่นนี้เขาจึงยิ่งเป็นกังวล เขาจึงล่อหลอกให้นางเรียนรู้เรื่องการใช้พิษไว้เพื่อป้องกันตนเอง แม้มารดาจะไม่เห็นด้วยนักแต่ก็นับว่าเป็นทางออกที่น่าจะดีที่สุดสำหรับบุตรสาว และที่ทั้งสองคิดตรงกันคือจะไม่บังคับให้บุตรสาวต้องแต่งงาน หากนางรักใคร่ผู้ใดก็ยินดีให้นางได้แต่งงานใช้ชีวิตกับคนผู้นั้น
แม้ตกลงกันไว้เช่นนี้ บิดาผู้รักและห่วงลูกสาวมากยังไม่อาจวางใจได้ ต่อให้แสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่รู้อยู่เต็มอกว่าบุตรสาวมีใจให้เทพมังกรดิน แต่ก็ไม่อาจยอมรับได้ นอกจากความแตกต่างระหว่างเทพกับมนุษย์แล้ว อายุยังห่างกันเป็นพันปี
มีที่ไหนกัน! ว่าที่ลูกเขยอายุมากกว่าว่าที่พ่อตา!
มีหรือเรื่องนี้ชายารักจะไม่เข้าใจ ใบหน้าอ่อนโยนกลั้นหัวเราะ สีหน้าของนางทำให้ฝ่ายสามีทำหน้าตึง
“เจ้าก็เข้าข้าง ‘พี่ชาย’ คนดีของเจ้าเสียเหลือเกิน” เขาย่อมรู้ว่าเทพผู้นั้นเคยมีใจให้หนิงเหมยมาก แรกๆ ที่รู้ว่าลูกสาว ‘มองเห็น’ เทพมังกรดิน เขาโมโหแทบคลุ้มคลั่งจนอยากยกเลิกพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินเลยทีเดียว ลูกสาวของเขายังอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา ต้องถูกเทพผู้นั้นล่อลวงเป็นแน่ เขาโยนความผิดทุกอย่างไปที่เทพมังกรดินแต่เพียงผู้เดียว ไม่สนใจคำอธิบายของฝ่ายภรรยาเลยสักนิด
“ท่านพี่” นางยื่นมือไปลูบไหล่สามี “บางเรื่องราวมันเป็นเรื่องของ
พรหมลิขิต พวกเขาอาจมีวาสนาต่อกันก็เป็นได้”
“วาสนาอะไรกัน เทพกับมนุษย์จะครองรักกันได้อย่างไร” ฝ่ายสามียังไม่ยอมแพ้ อย่างไรเข้าใจไม่ได้ เห็นอยู่ตำตาว่าเส้นทางรักครั้งนี้ไม่มีทางราบรื่นสมหวัง เขาจึงไม่ต้องการให้ลูกรักถลำลึกไปกว่านี้
“ก็สุดแท้แต่พวกเขาทำกรรมดีร่วมกันมากน้อยเพียงใด” นางอมยิ้ม “เพียงพริบตาเด็กๆ ก็โตกันแล้วนะเพคะ”
เสียงถอนหายใจยาวก่อนจะพยักหน้ารับ “ใช่ เหมือนเมื่อวานนี้พวกเขายังแย่งกันนอนหนุนตักเจ้าอยู่เลย”
ทั้งสองนึกถึงลูกๆ ที่ยังเป็นเด็กเล็กๆ ยามที่ลูกคนใดคนหนึ่งทำผิด ที่เหลือจะเข้ามาขอร้องแทนคนที่ทำผิด บางครั้งก็ลากเอาบิดามาเป็นโล่ แต่สุดท้ายไม้เด็ดของเด็กๆ คือมาแย่งกันหนุนตักของมารดา
“ไม่รู้ไปเอาความคิดพิเรนทร์มาจากไหน ซิ่นฮวาแต่งกายเป็นชายยังไม่เท่าไร ซิ่นหลิงแต่งกายเป็นหญิงนี่นะ”
นางหัวเราะออกมาจนได้ ฝาแฝดคู่นี้ก็เหลือเกินจริงๆ แต่ซิ่นหลิงแม้จะเป็นเด็กชายแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กนั้น หน้าตาอ่อนหวานพิมพ์เดียวกับซิ่นฮวา เมื่อใส่ชุดเด็กหญิงของซิ่นฮวาก็ทำให้ผู้คนสับสน มองอย่างไรก็เป็นเด็กหญิงแสนน่ารัก ทำให้ซิ่นสือที่เป็นน้องเล็กร้องโวยวายจะใส่ชุดเด็กผู้หญิงบ้าง
“ตอนนี้ซิ่นหลิงถอดแบบท่านมาจนแทบจะเรียกได้ว่าพิมพ์เดียวกัน คงใส่ชุดสตรีทำอะไรพิเรนทร์ตามใจซิ่นฮวาไม่ได้อีกแล้ว”
สองสามีภรรยาหัวเราะให้กัน เขาเป็นคนรักลูกมาก ใครก็ดูออก และเขาไม่ปิดบังความรักที่มีต่อลูกๆ เลย ในวัยเด็กที่บิดาผู้เป็นถึงฮ่องเต้หมางเมินต่อเขาที่เป็นลูกชายของผู้หญิงที่บิดาไม่รักใคร่ แทบจำความรู้สึกที่บิดาจับมือจูงเดินไม่ได้เลย เมื่อถึงเวลาที่เขาได้กลายเป็นบิดา เขาไม่ลังเลหรือเกรงคำติฉินนินทาของผู้ใด อุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในวงแขน ถ้าลูกร้องอยากขี่คอเขาก็ยอมให้ขี่คอ ลูกป่วยไข้ไม่สบาย เขาก็คอยเฝ้าช่วยเช็ดตัวให้ลูกด้วยสองมือของตนเอง จูงมือพวกเขาเดิน จับมือพวกเขาฝึกเขียนชื่อตัวเอง จดจำได้แม้กระทั่งวันที่ลูกๆ เปล่งเสียงเรียก ‘พ่อ’ ‘แม่’ ครั้งแรก