“ฮัดชิ่วๆ”
ทิชชู้สะอาดส่งให้ผู้เป็นเจ้านายทันที ปวริชมองเจ้านายตั้งแต่กลับมาจากการว่าซื้อคอนโดเจ้านายก็เอาแต่จามไม่หยุด ขันจะบอกให้พักงานแล้วพักผ่อนตัวเองก็รู้จักเจ้านายดี ผู้ช่วยหนุ่มรุ่นน้องหนึ่งปีส่งแฟ้มงานสุดท้ายของวันนี้ให้เจ้านายได้พิจารณาสายตาอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ อาจจะเพราะอยู่เมืองนอกมานานยังไม่ชินกับบรรยากาศเมืองไทยก็เลยป่วย ทั้งที่คุณนักรบแข็งแรงจะตายหนึ่งปีป่วยแค่หนึ่งครั้งเผลอๆ ก็อาจจะไม่ป่วยเลย
“ท่านประธานควรรีบกลับไปพักผ่อนนะครับ” ปวริชย้ำกับคนที่เอาแต่ขยี้จมูกจนเริ่มแดง
“อืม” เจ้านายหนุ่มก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว อยากรีบกลับบ้านเหมือนกันพอสะสางงานเสร็จก็ให้ผู้ช่วยหนุ่มรุ่นน้องมาส่งที่บ้านตามปกติ ตอนนี้ใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้วสิ่งที่เขาแปลกใจคือทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่บ้านเขาตอนนี้ตามรายงานของน้องสาวบุญธรรม
“มีอะไรหรือเปล่าครับท่าน” ปวริชเห็นท่าทางอยากจะถามก็ไม่ถาม แต่ก็เหมือนอยากจะถามอยู่จึงเอ่ยออกไป
“อืม วันนี้วันสำคัญอะไรหรือเปล่า” เพราะน้อยนักที่ครอบครัวเขาจะรวมกับครบที่ว่านั้นก็คือ ปู่ พ่อและแม่ พี่ชายและน้องสาวบุญธรรมของเขาก็อยู่ที่บ้านใหญ่เขาเลยไม่แน่ใจว่าลืมวันสำคัญอะไรไปหรือเปล่า
“ไม่มีนะครับ เอ่อมีอะไรหรือเปล่าครับท่าน” ปวริชถามกลับ เพราะตามตารางไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“อ้อ ครับ” ปิดบทสนทนาคนที่รู้จักนิสัยเจ้านายพ่วงด้วยตำแหน่งพี่ชายที่เคารพไม่ได้ปริปากถามอะไรต่อ ปล่อยให้ท่านได้พักเพราะวันนี้ทั้งสะสางงาน ทั้งมีหนอนปล่อยข่าวลือผิดๆ ต้องตามแก้กันเสียให้วุ่น
บ้านมณีสิริทรัพย์
บุตรชายคนกลางของบ้านเจ้าของฉายาเจ้าชายผู้เย็นชาเดินเข้ามาภายในโถ่งใหญ่ของบ้านก็เจอเข้ากับประธานใหญ่ของบริษัทเขาทำความเคารพเล็กน้อยไม่ได้คิดจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงสนทนานั้นครั้นจะเดินหนีก็โดนคุณมานพหรือบิดาเรียกไว้ก่อน
“อย่าลืมลงมาทานข้าวด้วยนะตานักรบ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับไม่ได้เอะใจอะไร เขาขึ้นห้องไปอาบน้ำชำระล้างกายตามประสาคนค่อนข้างจะเจ้าสะอาด พอไม่ได้อยู่ในเวลางานเขาใส่แค่กางเกงสบายๆ กับเสื้อยืดสีขาว ถ้าสังเกตสักนิดอาจจะเห็นรอยสักที่ต้นแขนขวาเป็นภาษาโรมัน ซึ่งมันรวมกันอยู่ในตัวชายหนุ่มแม้กระทั่งสาวใช้วัยละอ่อนในบ้านยังอยากกรี๊ดดังๆ เมื่อในบ้านมีเจ้านายหล่อระเบิดขนาดนี้!
“ป้าบัวคุณเขาหล่อจังเลย” เด็กสาวมองเจ้านายที่พึ่งกลับมาตาเคลิ้ม
“อย่าริฝันเชียว คุณนักรบมีคู่หมายแล้ว และอีกอย่างคุณคุณเขาใจดีกับครอบครัวเรามากเองอย่าไปวอแวให้คุณเขารำคาญใจเชียวนางผึ้ง” คนเป็นป้าเอ็ดหลายสาวไม่จริงจังนัก ตาก็มองตามร่างของเจ้านายหนุ่มออกไป คิดไปถึงคนที่อยู่ในห้องครัวเขาทั้งสองช่างเหมาะสมกันจริงๆ “ไปๆ ต้นไม้หน้าบ้านพระจันทร์ยังไม่ได้ลดเลย” ป้าบัวหมายถึงบ้านโมเดิร์นที่เจ้านายหนุ่มชอบไปอยู่มากที่สุดเวลาอยู่บ้าน
สองขาที่กำลังจะก้าวผ่านห้องนั่งเล่นหยุดชะงักเพราะคนที่ไม่ยอมแม้กระทั่งไปรับเขาที่สนามบินอ้างว่าติดงานต่างจังหวัด วันนี้ก็โผล่หัวมาที่บ้านเขาเปลี่ยนเป้าหมายสับขาเดินไปหาคนที่กำลังนั่งเคลียร์งานอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับเลขาที่ดูยังไงก็ว่าคัดหน้าตาและ ‘หน้าอก’ มาแน่นอน
“อ้าว วันนี้กลับมาเร็วหรอ” คนอยู่ก่อนเอ่ยถามคนที่พึ่งเดินมา เขาเอ่ยเรื่องงานสองสามประโยคก่อนจะบอกให้เลขากลับไปก่อน “คุณกลับได้ครับ พรุ่งนี้เจอกันที่ประชุม” พอเลขาคนสวยออกไปแล้วสองพี่น้องเลยชวนกันคุยสัพเพเหระรอเวลาทานข้าวเย็น
“ทำไมโผล่หัวมาได้” ถึงจะเป็นพี่แต่ก็แค่สองปี เพราะฉะนั้นนักรบจึงติดนิสัยพูดห้าวๆ กับพี่ชายคนโต
“คุณแม่ไม่ได้บอกหรอ?” ‘ทินกร’ หรือ ‘คุณไทป์’ ที่หลายๆ คนชอบเรียกเลิกคิ้วสูง พอเห็นสีหน้าของน้องชายคนกลางเขากลับต้องขยับยิ้มมุมปาก
ยังไม่ได้พูดอะไรคุณหญิงมณีจันทร์ก็เรียกลูกๆ ไปร่วมโต๊ะอาหาร สองพี่น้องลูกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะตามออกไปยังห้องอาหาร สิ่งที่พี่ชายพูดค้างคาไว้กระจ่างแจ้งทันทีที่เขาย่างกรายเข้ามาในห้องอาหาร เพราะมีแขกที่ ‘เขา’ ไม่ได้รับเชิญนั่งเชิดหน้าชูคออยู่ เขาปรายตามองเธอเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ
“เป็นวันที่แม่ยิ้มจนปวดแก้มไปหมดแล้ว มันดีจริงๆ” คุณหญิงมณีจันทร์พูดไปพลางมองหน้าว่าที่ลูกสะใภ้คนเล็กไป ซึ่งว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอก็ยิ้มหวานตอบ
ช่างถูกใจเธอยิ่งนักแม่สาวคนนี้ สมกับเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลใหญ่โต มารยาทก็ดีพูดก็เพราะเรียนจบเกียรตินิยม แถมยังทำขนมไทยได้ ขนมต่างชาติได้ รสมือเรื่องอาหารของคาวของหวานก็อร่อยอย่าบอกใคร รู้สึกภูมิใจที่เลือกผู้หญิงให้ลูกชายไม่ผิด
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเป็นคู่หมั้นคุณ” เสียงกระซิบกระซาบพอแค่ให้ได้ยินกันสองคน ดวงตากลมโตกลอกกลิ้งไปมาก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อหันไปสบตาว่าที่แม่สามีเธอในอนาคต ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้คนข้างๆ
“...” ไร้เสียงใดๆ ตอบกลับมา ฉันคอยสังเกตครอบครัวนี้เงียบๆ จากการที่ฟังคุณหญิงมณีจันทร์เล่าให้ฟังคร่าวๆ เขามีพี่ชายคนโตและน้องสาวบุญธรรม คุณธามจะคอยดูแลสาขาย่อยที่ต่างประเทศมากกว่าแต่เพราะว่าคุณท่านมานพและคุณปู่ของเขาอยากให้กลับมาดูแลงานที่เมืองไทยเขาเลยจำเป็นต้องกลับมา
“หนูพระพายชอบอาหารที่นี้ไหม” ฉันหันไปคลี่ยิ้มหวานให้ผู้สูงอายุอย่างคุณปู่ และดูท่าจะสปอยล์ว่าที่หลานสะใภ้อย่างฉันมาก ใบหน้าเรียวสวยพยักหน้าเบาๆ
“ชอบค่ะ”
“ชอบก็ดีแล้วจ้ะ ตาธามอย่าลืมพาน้องมาทานที่บ้านเราบ่อยๆล่ะ” ประโยคแรกพูดกับว่าที่ลูกสะใภ้คนสวย แต่ประโยคที่สองพูดติดน้ำเสียงห้วนนั้นหันไปพูดกับลูกชายที่เอาแต่กินเงียบๆ
“ทั้งสองคนรู้จักกันมาแล้วก็ดี ค่อยๆ ศึกษากันไปหนูพระพายเข้าไปที่บริษัทไปหาพี่เขาได้ตลอดเลยนะ เราจะได้เรียนรู้งานไปด้วยยังไงสองครอบครัวก็ต้องศึกษางานของทั้งสองฝ่ายไว้” คุณปู่พูดกำชับ จนหลานชายที่เอาแต่ก้มหน้ากินข้าวเงยหน้าขึ้นมามอง ถ้าฉันเดาสายตาเขาไม่ผิดคงอยากจะพูดว่า ‘ไม่ต้องมา’
เสียใจด้วยจ้ะ!
บรรยากาศบนโต๊ะทานข้าวผ่านพ้นไปด้วยดี ถ้าจะไม่ดีก็คงเป็นสีหน้าลูกชายคนกลางของเจ้าของบ้าน เขาได้รับหน้าที่ให้เป็นคนเดินลงมาส่งฉันที่หน้าบ้าน เพราะฉันยืนยันที่จะขับรถกลับเองให้ได้ คุณหญิงเลยยอมใจอ่อน ล่ำลากันยังไม่ทันเสร็จเจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งก็เดินผ่านฉันไปก่อนโดยไม่รอและคงไม่คิดจะรอ
“งั้นพายกลับแล้วนะคะคุณแม่” ท่านให้เรียกแบบนี้ฉันจะปฏิเสธก็เกรงใจผู้ใหญ่เลยได้แต่เออออเรียกไปตามที่ท่านต้องการ
“จ้ะ ไว้มาที่บ้านบ่อยๆ นะ แม่ชอบอาหารรสมือหนูมาก” ทั้งสองสาวต่างวัยโผล่เข้ากอดกัน ก่อนที่คุณหญิงจะจำใจปล่อยว่าที่ลูกสะใภ้ออกจากอ้อมอก แสนดีขนาดนี้เธออยากให้แต่งเข้าบ้านพรุ่งนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“อยากถอนหมั้นไม่ใช่หรอ” ทันทีที่เธอเดินมาถึงบริเวณด้านหน้าโรงจอดรถ เขาก็ต้องเปิดประเด็นถาม ผู้หญิงคนนี้บอกว่าอยากถอนหมั้น แต่ทำไมวันนี้กลับลงแรงมาหาเขาถึงที่บ้าน
‘ก็อยากถอนอยู่หรอก’
“เปลี่ยนใจแล้ว” พรพิชชาตอบแบบไม่ทุกข์ร้อนราวกับว่าเธอไม่เคยทำเรื่องหน้าอายพรรคนั้นที่โรงพยาบาล
“เปลี่ยนใจ?”
“ตอนนั้นฉันทำไปเพราะยังไม่รู้จักคุณดี”
“ตอนนี้รู้จักดีแล้วว่างั้น”
เมื่อโดนสวนกลับมาแบบนี้คนพกความมั่นใจมาเต็มร้อยเริ่มลดน้อยลง ทั้งท่าทาง แววตา สีหน้า ของเขามันไม่มีคำว่า ‘เล่น’ ให้ฉันได้เห็นเลย มือเล็กเริ่มสั่นเพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าแหกหน้าเธอได้แบบคำถามทั่วไป
“ก็ยัง เรามาทำความรู้จักกันใหม่ดีกว่านะคะ”
“ไม่”
“ทำไม หรือเพราะผู้หญิงที่คุณซ่อนไว้” คำถามนี้เหมือนจะจี้ใจคนฟัง เขาหันมามองเธอตาเขียวแต่พอได้พูดเรื่องผู้หญิงฉันก็เหมือนคนมีอารมณ์ร้อนขึ้นมาง่ายๆ ซะงั้น
“ผมไม่มีวันแต่งงานกับคุณ และผมจะทำอะไรกับใครมันก็เรื่องของผม” เขาย้ำชัดถ้อยชัดคำ ขีดเส้นแบ่งเธอกับเขาอย่างชัดเจน!
“อ้อ ฉันก็จะบอกคุณเหมือนกัน ว่าฉันจะแต่งงานกับคุณให้ได้” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันพูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่ไม่เคยรู้จักเขา และยังพูดพร่ำไปเรื่อยว่าไม่มีวันแต่งงานสุดท้ายคนที่ออกตัวแทบแหกโค้งคือเธอซะเอง บ้าไปแล้วยัยพระพาย งั้นก็ช่วยไม่ได้ฉันเป็นคนถือศักดิ์ศรีเพราะฉะนั้นอย่ามาทำให้ฉันอยากเอาชนะ “เลิกกับเธอซะ เพราะคุณจะมีฉันได้คนเดียวเท่านั้นคุณธาม” พูดย้ำเสร็จก็ถือวิสาสะเดินไปคว้าคออีกคนลงมาประกบปาก
แต่มันก็แค่ปากชนปากไม่ได้ลึกล้ำไปกว่านั้น เขาไม่ได้ผลักไสแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรส่วนคนที่เผลอทำอะไรแบบนั้นลงไปกำลังทึ้งหัวตัวเองอยู่บนรถหลังจากขับออกมาไกลแล้ว “เธอเป็นบ้าไปแล้วยัยพาย” พูดจบก็ยกมือแตะปากตัวเองสัมผัสอุ่นๆ นั้นเธอยังจำมันได้
น่าอายเป็นบ้า!