แม่เลี้ยงลูกเลี้ยง
“ขอบใจนะขวัญที่เป็นแม่งานให้ คงเหนื่อยมากสินะ”
“ไม่หรอกค่ะ”
“จากนี้ก็พักผ่อนล่ะ” คุณทัศน์ที่ขวัญเรียกบ่อยๆ บอกพลางตบไหล่เธออย่างเห็นใจ แต่ในตอนท้ายกลับทิ้งมือโอบเอวเธอทั้งที่เพิ่งจุดธูปเคารพสามีเธอไป เพียงขวัญเองกลับรู้สึกสายตาที่มองออกมาจากในรถเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ เธอเหลือบตาหลบสายตาคุณหญิงเพ็ญพักตร์พลางก้มหน้างุด เบี่ยงตัวหนีฝ่ามือของทัศนัย
“ไม่เป็นไรค่ะคุณทัศน์ ยังไงงานครบรอบวันตายปีหน้าเชิญคุณทัศน์ล่วงหน้าด้วยนะคะ แต่ใกล้ๆ ขวัญคงเตือนคุณทัศน์กับน้องลินและคุณหญิงอีกทีค่ะ”
“ได้สิ”
เพียงขวัญเอ่ยพลางยิ้มแย้มเมื่อพูดถึงภรรยาคนสวยของน้องชายสามีเพื่อเตือนเขา พอเห็นเขายังยิ้มอย่างใจดีเธอก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง อย่างไรแล้วตั้งแต่เข้ามาเป็นสะใภ้สายตาประหลาดก็จับจ้องที่เธอตลอด
“แล้วเจ้าภูล่ะเธอจะเอายังไง”
พินัยกรรมที่เปิดวันนี้ทำให้คำถามของทัศนัยแจ่มแจ้งมากขึ้น เธอยอมทนอยู่ที่นี่มาหนึ่งปีแล้วหากยังต้องทนอยู่ต่อ เพราะสิ่งที่ระบุไว้ในพินัยกรรม
“ยังไงภูก็เป็นลูกขวัญค่ะ ขวัญจะดูแลเขาขนถึงอายุยี่สิบสองตามพินัยกรรม คุณทัศน์ไม่ต้องห่วงนะคะ”
“งั้นก็ดีฝากดูแลมันด้วย เพราะไม่มีใครเอามันอยู่แล้วล่ะ ผมก็ไม่ว่างซะด้วยสิ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ เขาตบไหล่เธอสองสามครั้งเป็นเชิงให้กำลังใจ ไม่คิดจะยุ่มย่ามกับลูกพี่ชายเนื่องจากได้ส่วนแบ่งที่สมควรได้แล้ว นิสัยไม่ไว้หน้าใครของภูดิษยิ่งทำให้เขาเข็ดขยาด หากไม่อยากเห็นคุณหญิงเพ็ญพักตร์หัวใจวายตาย คงต้องทิ้งภูดิษไว้ที่นี่อย่าเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทที่เขาเพิ่งมีสิทธิ์ขาดเลยจะดีกว่า
ชายหนุ่มแค่นยิ้มก่อนจะเลือกไม่พูดอะไรต่อแล้วขึ้นรถคันหรูแทน
“สวัสดีค่ะคุณหญิง” ทันทีที่เอ่ยประโยคนั้นคุณหญิงเพ็ญพักตร์ก็เลือกเลื่อนกระจกปิดทันที สายตาสมเพชเหลือบมองเธอตั้งแต่หัวจรดท้ายไม่ลืมเผื่อแผ่ไปถึงหลานชายที่อยู่ในบ้าน
“ดูแลมันให้ดีอย่าให้มันสร้างเรื่องให้ฉันอีก”
“ค่ะ”
เพียงขวัญยืนนิ่งใบหน้าเรียบเฉย เธอทำเพียงยิ้มบาง ๆ พลางยกมือไหว้แม่สามีและคนอื่น ๆ อย่างนอบน้อม
วันนี้ครบรอบวันตายหนึ่งปีของทศวรรษเศรษฐีวัยกลางคน ที่บังเอิญรับเธอเป็นเมียคนสุดท้าย หลังจากแต่งงานได้แค่เพียงปีกว่า เขาทิ้งสมบัติมากมายไว้พร้อมกับลูกชายที่อายุแค่ยี่สิบเอ็ดปีอีกคน หญิงสาววัยยี่สิบแปดอย่างเธอเลยจำใจดูแลเขาต่อในฐานะของลูกชาย
ตามพินัยกรรมหลังจากภูดิษอายุยี่สิบสอง มรดกที่ควรเป็นของชายหนุ่มก็จะได้ส่งมอบให้ ซึ่งตอนนี้เธอจำใจต้องอยู่เป็นผู้ดูแลและผู้ปกครองไปโดยปริยาย
“คุณหญิงเพ็ญพักตร์คนนั้นกลับไปแล้วรึไง” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังทำให้หญิงสาวหันไปมองเขา ภูดิษชายหนุ่มที่มีดวงตาไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ ดวงตาเรียวรีจับจ้องราวกับวิเคราะห์คนอื่นตลอดเวลา ใบหน้าหล่อเหลาไร้รอยยิ้ม มีเพียงแววตาที่บ่งบอกความไม่พอใจ
พอเห็นว่าเป็นใครเพียงขวัญก็ระบายสีหน้าเคร่งเครียดกลับเป็นยิ้มแย้ม
นั่นทำให้ภูดิษเลิกคิ้วสูง รู้สึกสมเพชคนตรงหน้าไม่น้อย
“คุณย่ากลับไปแล้วค่ะ คุณภูควรจะไปส่งคุณย่านะคะ”
“หึ คุณย่า?”
“ค่ะ คุณย่า” หญิงสาวยังยิ้มใจดี
“ย่าหรือเหลือบไรเกาะตาแก่ตัณหากลับนั่นกันแน่ พอได้ส่วนแบ่งที่พอใจก็รีบวิ่งแจ้นกลับ เธอไม่โกรธมั่งรึไง อยู่กับตาแก่นั่นจนตายแต่เขากลับแบ่งสมบัติให้เธอแค่เงินไม่กี่ล้าน” ร่างสูงสืบเท้าเข้าหาแม่เลี้ยงของตนเอง เขาก้มลงจ้องในลึกลงในดวงตากลมโต หญิงสาวทำได้เพียงกัดปากแน่นดันเขาให้ออกห่างรีบปฏิเสธเสียงสั่น
“ไม่ค่ะ!”
พอปฏิเสธดวงตาคมกริบของภูดิษ ก็จับจ้องที่ใบหน้าเธอ ทำให้หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้องสักนิด
“ไม่โกรธหรือว่าไม่พอ เลยคิดที่จะอยู่ปอกลอกจากฉันต่อ”
“คุณภูพูดอะไรน่ะ!!!” สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนจะถูกมือใหญ่กระชากท่อนแขนเล็กเข้าหาตัว ท่าทีลนลานยิ่งทำให้ชายหนุ่มได้ใจ เขาแสยะยิ้มร้ายกาจก่อนจะกระซิบข้างหูแม่เลี้ยงคนสวย
“พูดความจริงรับไม่ได้รึไง ไม่งั้นผู้หญิงอย่างเธอจะมาทนอยู่ที่นี่ทำไม ได้เงินแล้วก็รีบไสหัวไปหาผัวใหม่สิ”
“คุณภูดิษ!!!”
“จะทำไม!” ดวงตาทรงอำนาจมองเธอนิ่ง แต่เสียงกดต่ำกดดันร่างบางตรงหน้า
“ถ้าเรายังคุยกันแบบนี้ก็คงไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ เย็นนี้คุณภูอยากจะกินอะไรดี แม่จะทำให้ดีไหมคะ” หญิงสาวแสร้งยิ้มใจดีสู้เสือก่อนจะหุบยิ้มโดนพลันเมื่อได้ยินประโยคตอกกลับ
“อย่าสะเออะอยากมาเป็นแม่ฉัน สภาพอย่างเธอคลอดฉันออกมาตอนอายุเจ็ดขวบรึไง แค่คิดว่าต้องเกิดจากผู้หญิงเห็นแก่เงินแบบเธอ ฉันก็อยากจะอ้วกแล้ว”
“...”
“ขยะแขยงฉิบ!!!”
ภูดิษเบ้ปากแล้วผลักหญิงสาวให้ออกห่างตัว เขาเดินขึ้นห้องตัวเองไม่เหลียวกลับมามองสักนิด ปล่อยให้คนที่พยายามจะทำหน้าที่ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ หลับตากลั้นน้ำตาสักพัก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นธูป เหม่อมองภาพของชายชราด้วยความหนักใจ แสงสีแดงที่ปลายธูปสว่างขึ้นพร้อมกับประโยคหนักอึ้งจะถ่ายทอดออกไป
“ขวัญจะอดทนค่ะคุณท่าน ขวัญจะดูแลคุณภูตามที่สัญญาไว้”