พราวฟ้าเดินออกมาจากประตูทางออกสำหรับผู้โดยสารขาเข้าจากต่าง ประเทศ เธอหยุดยืนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความรู้สึกแสนคิดถึง ห้าปีกว่าแล้วสิ นะที่ไม่ได้กลับเมืองไทยเลย
ผู้คนเดินกันขวักไขว่ หลายคนโบกมือทักทายกัน ด้วยรอยยิ้มและน้ำตาอาจเพราะความห่างไกลที่ทำให้ไม่ได้พบกันมานาน เหมือนเช่นเธอที่จากเมืองไทยไปนานหลายปี รอยยิ้มและการโอบกอดที่ได้เห็น ทำให้พราวฟ้าหวนคิดถึงใครบางคน ซึ่งไม่มีการติดต่อใดๆ จากเธอเลย ตั้งแต่ที่ตัดสินใจว่าจะไปจากเมืองไทยตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน แล้วคนที่โบกมือไหวๆ อยู่ตรงปลายทางออกก็ได้สร้างรอยยิ้มให้
“คิดถึงแกมากเลยพราว นึกว่าจะไปเป็นสาวนิวซีแลนด์เสียแล้วสิ” วิลาวัลย์เพื่อนสนิทของพราวฟ้าเดินเข้ามาสวมกอดคนที่เพิ่งเดินทางมาถึง
“ฉันก็คิดถึงแกนะ วิ คิดถึงมาก ขอบใจนะที่มารับ” พราวฟ้าทักทายเพื่อนรักของเธอเช่นกัน พร้อมกับกอดแนบแน่นเสียจนเพื่อนของเธอเริ่มมีน้ำตาซึมออกมาให้เห็น
“ดีใจที่ได้เจอแกอีก นึกว่าจะไม่กลับเมืองไทยเสียแล้ว” วิลาวัลย์ยิ้มให้เพื่อนทั้งน้ำตา
“ถ้าไม่กลับ แกไม่คิดจะไปเยี่ยมเพื่อนบ้างหรืออย่างไรกัน” พราวฟ้าพูดแหย่เพื่อนรัก เพื่อที่จะบดบังความรู้สึกภายในหลังจากได้เห็นน้ำตาของวิลาวัลย์ ซึ่งนั่นทำให้หวนนึกถึงน้ำตาของใครอีกคน เมื่อครั้งที่มาส่งเธอเดินทางเมื่อห้าปีก่อน
“คิดสิ ก็ว่าจะไปอยู่ แกก็บอกว่าจะกลับ” วิลาวัลย์ยิ้มทะเล้นให้
“ขอบใจ งานเยอะก็บอกเถอะ ไหนจะแม่สาวน้อยที่บ้านอีก ไปได้แล้วฉันอยากกอดหลาน ได้เห็นแต่รูปคราวนี้จะกอดยายจ้ำม่ำให้หนำใจ” พราวฟ้ายิ้มเมื่อนึกถึงภาพลูกสาวของวิลาวัลย์ที่ส่งให้ดูอยู่บ่อยๆ ทำให้รู้สึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมาในทันที
“ไปๆ ลูกสาวฉันก็อยากเจอน้าพราวเหมือนกัน ไม่รู้แกหรือหลานจะโดนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันแน่ แม่หนูวาของฉันก็แปลกนะ ไม่เคยรู้จักแกแต่ก็เหมือนรู้จัก ตื่นเต้นที่แกจะกลับมา” วิลาวัลย์อมยิ้มเมื่อได้บอกเล่าเรื่องลูกสาวของเธอเอง
“คนน่ารักก็แบบนี้แหละ” พราวฟ้าหัวเราะเล็กๆ
“ใช่สิ ไม่ว่าหนุ่มหรือสาวถึงได้รุมรักจนต้องหนีไปอยู่นิวซีแลนด์ ใช่ไหมล่ะ” วิลาวัลย์พูดแหย่เพื่อน แต่ก็แทบอยากจะตบปาก
ตัวเอง เมื่อรอยยิ้มของเพื่อนหายไปในทันทีที่ได้ยิน
“แต่ที่ฉันไปมันไม่ใช่อย่างที่แกเข้าใจสักหน่อย” เสียงอ่อยๆ ของพราวฟ้าทำให้วิลาวัลย์รู้สึกผิดมากขึ้นที่ไปพูดเรื่องในอดีตเข้า
“ขอโทษที คิดเสียว่าฉันไม่ได้พูดก็แล้วกันนะพราว”
“ช่างเถอะมันนานมาแล้ว” พราวฟ้าอยากบอกกับเพื่อนว่ามันนานมาแล้วและเธอลืมไปแล้ว แต่ดูเหมือนสิ่งที่อยากจะพูดนั้น ก็
ไม่สามารถจะพูดมันออกมาได้อย่างที่ตั้งใจไว้
วิลาวัลย์ขับรถไม่เร็วนักด้วยอยากให้เพื่อนได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ หลังจากที่ได้จากไปนานหลายปี ตึกรามบ้านช่องรวมถึงคอนโดมีเนียมสูงตระหง่านเสียจนพราวฟ้าแทบจะจำไม่ได้ ว่าก่อนหน้านี้สถานที่ตรงนั้นเคยเป็นอะไรมาก่อน เพราะตอนนี้เต็มไปด้วยตึกสูงเสียเป็นส่วนใหญ่และสถานที่ๆ เป็นความทรงจำของเธอก็กำลังปรากฏให้เห็น ตึกสำนักงานสูงแปดชั้นยังคงอยู่ที่เดิม เป็นบริษัทที่พราวฟ้าเคยทำงานอยู่ก่อนที่จะเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ รอยยิ้มจางๆ ได้ปรากฏขึ้น
ภาพความหลังกำลังกลับเข้ามาในความรู้สึกของเธออีกครั้ง ซึ่งอันที่จริงต้องบอกว่ามันไม่เคยหายไปจากความทรงจำเลยถึงจะถูก แล้วภาพของผู้หญิงในชุดสูทที่ดูเรียบร้อยมากในครั้งแรกที่ได้พบกันก็ปรากฏขึ้นในความนึกคิดของพราวฟ้า
“สวัสดีค่ะ เป็นพนักงานใหม่มารายงานตัวค่ะ พอดีผู้จัดการฝ่ายบุคคลไม่อยู่เจ้าหน้าที่ข้างนอกเลยให้เข้ามาพบคุณผู้ช่วย” ผู้หญิงในชุดสูทสีเทาเข้มบอกกับเธอพร้อมด้วยรอยยิ้ม พราวฟ้าเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มที่อยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มสวยๆ
“ค่ะ แจ้งชื่อด้วยค่ะ”
“อักษราค่ะ”
“สักครู่นะคะ คุณอักษรา ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดรบกวนเซ็นชื่อตรงนี้เลยค่ะ สำหรับรายละเอียดอื่นๆ น้องที่หน้าห้องจะดำเนินการให้นะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ พราวฟ้าค่ะ เรียกสั้นๆ ว่า พราวก็ได้ค่ะ” พราวฟ้ายิ้มให้พร้อมกับลุกขึ้นและยื่นมือขวาให้กับคนที่เข้ามาพบเธอ
“ยินดีเช่นกันค่ะ บุ๊คค่ะ”
“หนังสือ” พราวฟ้าอมยิ้มมองสบตากับสาวในชุดสูทที่ดูดีมากในความรู้สึกของเธอ
“ใช่ค่ะ บุ๊คที่แปลว่า หนังสือ” อักษราอมยิ้มและขอบคุณพราวฟ้าก่อนที่จะออกไปพบเจ้าหน้าที่ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดต่างๆ กับ
เธอ พร้อมกับพาไปยังห้องทำงาน
“หนังสือ” วิลาวัลย์ขับรถยนต์ผ่านตึกสำนักงานซึ่งเป็นที่ทำงานเก่าไปแล้วและสิ่งที่พราวฟ้าได้พูดขึ้น ถึงแม้จะไม่ดังนักแต่คนที่ขับรถอยู่ก็ได้ยินชัด
“หนังสืออะไร ลืมอะไรหรือเปล่า พราว” วิลาวัลย์ถามเพื่อนของเธอ
“เปล่าแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย พอดีผ่านตึกสำนักงานที่เคยเป็นที่ทำงานเก่าก็เลยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปน่ะ” พราวฟ้าอมยิ้ม
หันไปมองที่ตึกนั้นอีกครั้ง
ณ ที่แห่งนั้นมีความทรงจำดีๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เพื่อนร่วมงานซึ่งมีทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและน้ำตาในบางครั้ง แต่สิ่งที่เธอจำได้แม่นยำตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกัน ก็คือ ผู้หญิงในชุดสูทสีเทาที่ชื่อ อักษรา หรือ บุ๊ค และหนังสือที่เธอชอบแหย่ให้เจ้าของชื่อหน้างอแทบทุกครั้งที่ได้ยินเรียกชื่อว่า หนังสือ ภาพเหล่านั้นได้สร้างรอยยิ้มให้กับพราวฟ้า โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าวิลาวัลย์กำลังเฝ้ามองด้วยความสงสัยว่าเพื่อนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่
“นี่ยายพราว ไอ้ยิ้มแบบนี้เหมือนคนตกหลุมรักเลยนะ ตกลงว่า แอบมีใครอยู่ที่โน่นหรือเปล่า ไม่เล่าให้เพื่อนฟังโกรธนะ จะบอกให้” วิลาวัลย์อมยิ้ม หลังจากได้พูดขู่เพื่อนไป
“บ้าหรือวิ ก็แค่คิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่ทำงานเท่านั้นเอง ผ่านแค่ครู่เดียวก็คิดเรื่อยเปื่อย หัวเราะ ร้องไห้ ยิ้ม ที่นั่นมีให้ครบเลยนะ” พราวฟ้าอมยิ้มหันไปมองเพื่อนที่กำลังตั้งใจขับรถอยู่
“รวมถึงเรื่องของความรักด้วยใช่ไหมล่ะ” วิลาวัลย์พูดจบก็เงียบไป เพราะเมื่อหันมามองที่เพื่อน รอยยิ้มกว้างๆ เมื่อสักครู่ก็
หายไปในทันที รู้สึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมาอีกครั้งที่พูดจาเรื่อยเปื่อยโดยไม่คิดก่อนว่า ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
“ก็คงอย่างนั้นมีเรื่องราวที่น่าจดจำและไม่ควรจะจดจำเกิดขึ้นมากมาย”
“พราวก็เลือกสิ เอาเรื่องดีๆ จดจำไว้ ไอ้ที่ไม่ดีก็ลืมๆ มันไป อยู่เมืองนอกมาตั้งห้าหกปีน่าจะยกออกไปจากใจได้บ้างนะ” วิลา
วัลย์พอจะเข้าใจว่าพราวฟ้านั้นกำลังคิดถึงเรื่องอะไร
พราวฟ้าถอนใจเบาๆ แต่ก็ไม่ได้อธิบายหรือตอบคำถาม กลับปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำในหัวใจ ภาพความทรงจำเก่าๆ กลับมารบกวนหัวใจของเธออีกครั้ง แต่ก็คอยเตือนตัวเองว่าเธอเองไม่ใช่หรือที่เลือกเดินจากมา เพราะฉะนั้นความทรงจำเหล่านั้นควรจะถูกลบเลือนไปได้แล้ว
“น้าพราว” สาวน้อยวัยหกขวบวิ่งมาที่หน้าประตูบ้านทันทีที่ได้ยินเสียงรถจอด สาวน้อยกระโดดกอดพราวฟ้าในทันทีที่เปิดประตูรถลงมา
“หนูวา น่ารักที่สุดเลยค่ะ” ลูกสาวที่แสนจะจ้ำม่ำของวิลาวัลย์หอมแก้มซ้ายและขวาของพราวฟ้า ซึ่งได้แต่หัวเราะเมื่อสาวน้อยโอบกอดเธอเอาไว้แนบแน่น
“ความมีเสน่ห์ไม่เคยห่างหายไปจากพราวเลยนะ ดูสิลูกสาวฉันลืมแม่ไป เลย กอดแต่น้าพราวคนเดียว น่าน้อยใจเหลือเกิน” วิลาวัลย์อมยิ้มกับภาพที่ได้เห็น
“แม่ยื่นแก้มมาสิคะ เดี๋ยวให้แก้มละสองฟอด เยอะกว่าน้าพราวอีก” เสียงเล็กๆ นั้นสร้างรอยยิ้มให้กับคนเป็นแม่และพราวฟ้าซึ่งหลงรักในความน่ารักของหลานสาวจ้ำม่ำคนนี้เข้าให้แล้ว
“เห็นแค่รูปก็หลงรักแล้ว เจอตัวเข้าหัวปักหัวปำกันเลยทีนี้” เสียงหอมแก้มข้างละสองฟอด ทำให้พราวฟ้าหัวเราะเสียงดังออก
มา สาวน้อยยิ้มอายๆ และจูงมือพาแขกผู้มาเยือนเดินเข้าไปในบ้านขนมกับกาแฟถูกจัดไว้ที่สนามหน้าบ้าน หลังจากได้ทักทายหลานสาวและสามีของเพื่อน ซึ่งขณะนี้กำลังพาลูกสาวไปว่ายน้ำที่สโมสรหน้าหมู่บ้านเลยทำให้เพื่อนทั้งสองมีเวลาที่จะพูดคุยกัน
“พราวกลับมาช้าไปสองสามวันนะ เพราะเมื่อวันก่อนมหาวิทยาลัยจัดงานคืนสู่เหย้า ถ้ากลับมาก่อนหน้านี้คงได้เจอเพื่อนๆ ในคราวเดียวเลย” วิลาวัลย์กำลังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนๆ สมัยเรียนให้พราวฟ้าได้รับทราบ
“น่าเสียดายจริงๆ”
“แต่คิดไปคิดมา ไม่ได้ไปก็ดีเหมือนกัน จะได้” วิลาวัลย์กำลังคิดว่าควรจะบอกหรือไม่ กับเรื่องของผู้หญิงคนที่เธอได้พบโดย
บังเอิญในงานเลี้ยงเมื่อวันก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเธอคิดอย่างไรและลืมเรื่องราวต่างๆ ไปแล้วหรือยัง ถึงแม้ว่าจะไม่มีการพูดถึงเลยแม้สักครั้งในตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มของเพื่อนที่ได้เห็นที่ทำงานเก่า ซึ่งมีอดีตหลายเรื่องราวทำให้วิลาวัลย์หยุด พูดเพียงแค่นั้น
“ตกลงมีอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นพราวโกรธจริงๆ นะ” พราวฟ้าพูดแกมบังคับจนเพื่อนยิ้มเจื่อนๆ มองสบตากับเธอ ซึ่งกำลังคิดว่าเรื่องอะไรกันนะที่ทำให้เพื่อนของเธอดูแปลกๆ ไป
“ก็ฉันเจอกับ” วิลาวัลย์กำลังลังเลว่าจะบอกดีหรือไม่บอกดี
“อะไรล่ะ วิเจอกับใครกัน แล้วทำไมต้องทำหน้าตาแบบนั้นด้วย” พราวฟ้านึกขำหน้าตาที่ดูแปลกๆ ของวิลาวัลย์
“เจอพี่ศศิมา ดาวมหาวิทยาลัย แกจำได้ไหม รุ่นพี่ที่คณะเราน่ะ” วิลาวัลย์รู้สึกโล่งใจ เมื่อได้บอกเรื่องของศศิมา
“พี่ศศิจำได้สิ สวย เก่ง ฉลาด พร้อมทุกอย่างทั้งฐานะทางบ้าน ว่าแต่ว่า ไอ้ที่จะเล่าไม่ใช่เรื่องพี่ศศิใช่หรือเปล่า” พราวฟ้าจับสังเกตอาการอึกๆ อักๆ ของเพื่อนได้ น่าจะมีเรื่องอื่นที่ยังไม่ได้บอกมากกว่า
“อีกคนที่เจอ ก็คือ บุ๊ค อักษรา” วิลาวัลย์พูดเสียงอ่อยๆ เมื่อได้พูดถึงชื่อของอักษรา ซึ่งทำให้หน้าของเพื่อนถอดสีอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินชื่อนั้น
“เจอบุ๊คหรือ” พราวฟ้าถาม
“ใช่ที่สำคัญ บุ๊คมากับพี่ศศิ” วิลาวัลย์คิดว่าควรจะบอกเรื่องจริงกับเพื่อนของเธอ หากว่าวันหนึ่งทั้งสองคนได้มีโอกาสพบกัน
คงจะดีกว่าที่ไม่รู้อะไรเลย
“วิกำลังจะบอกว่า พี่ศศิกับบุ๊ค” พราวฟ้าไม่รู้ว่าหัวใจของเธอรู้สึกอย่างไร เหมือนว่าเธอไม่สามารถควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติได้
“เพื่อนๆ คาดเดากันเองแบบนั้น เพราะดูจากความสนิทสนมที่เห็นและอีกอย่างถ้าไม่ได้คบหากันพี่ศศิคงไม่พาไปงานแบบนั้นหรอกนะ พราว” วิลาวัลย์บอกสิ่งที่เธอและเพื่อนคิด หลังจากที่ได้พบเจอทั้งสองสาว ซึ่งดูเหมาะสมกัน เมื่อวันงานคืนสู่เหย้า เพื่อนๆ ก็
ลงความเห็นว่า ทั้งสองสาวน่าจะคบหากันเกินเพื่อนหรือคนรู้จักแน่นอน
“ก็ดีนะ”พราวฟ้าพูดได้เพียงแค่นั้นเพราะเหมือนมีอะไรมาทำให้เธอรู้สึกจุกจนไม่สามารถจะพูดอะไรได้ไปชั่วขณะ
“พูดว่าดี แต่หน้าพราวไม่เห็นจะดีตามที่พูดเลยนะ ฉันว่าคงต้องลืมแล้วล่ะ อดีตก็คืออดีต” วิลาวัลย์พูดตัดบทในทันที เพราะไม่อยากให้เพื่อนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วเมื่อห้าปีก่อน