อักษรายืนยิ้มมองดูพืชผักที่วางจำหน่ายอยู่ในร้าน รอยยิ้มเล็กๆ เกิดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ เพราะพืชผักทั้งหมดที่เห็นวางอยู่เต็มร้านในเวลานี้เป็นผลผลิตที่มาจากไร่ของเธอเองและที่สำคัญเป็นผักที่ปลอดสารพิษ ความคิดที่จะเป็นชาวไร่ปลูก ผักปลอดสารพิษนั้น อักษราได้วาดฝันเอาไว้และเริ่มต้นขึ้นเมื่อห้าปีก่อน
หลายๆ คนแอบหัวเราะเยาะเธอแต่เธอก็ทำให้ใครๆ เห็นแล้วว่า เธอทำได้ และผักปลอดสารพิษราคาย่อมเยาที่ร้านของอักษราก็ได้รับความนิยมในหมู่คนที่ชอบบริโภคผักเป็นอย่างมาก ในบางครั้งลูกค้าก็ยังมาสอบถามถึงวิธีการปลูกรวม ถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และตัวอักษราเองก็ได้รับประโยชน์จากการได้พูดคุยกับกลุ่มลูกค้า โดยการนำไปปรับใช้และพัฒนาในการปลูกพืชของเธอเอง
“สวัสดีค่ะคุณแม่ค้า ยืนยิ้มกริ่มเลยนะคะ” ผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งในชุดลำลองที่ดูเรียบง่าย แต่เก๋ไก๋ยืนอมยิ้มมองดูเจ้าของร้านที่กำลังยืนมองผักกาด แก้วในตะกร้าไม้
เมื่อได้ยินเสียงทักทายจึงหัวเราะเล็กๆ ก่อนที่จะหันมาทางคนที่มายืนอยู่หน้าร้าน อักษราจำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร
“แซวแต่เช้าเลยนะคะพี่ศศิ รับอะไรดีคะวันนี้” อักษราเดินเข้ามาโอบกอดลูกค้าคนแรกสำหรับเช้านี้ของเธอ
“คิดถึงจังเลย” ศศิมาพูดขึ้นและโอบกอดทักทายอักษราด้วยเช่นกัน
“หวานแต่เช้า ลูกค้าคนแรกคงได้ผักอร่อยๆ กลับไปฟรีๆ แน่ค่ะ” อักษรายิ้มทะเล้นให้ศศิมาที่อมยิ้มและจ้องมองไปที่ผักสดที่น่ารับประทานซึ่งมีอยู่เต็มร้าน
“ของซื้อของขาย ประเดิมก็ต้องจ่ายเงินสิคะ ว่าแต่ว่าทักทายลูกค้าแบบที่ทักทายพี่ทุกคนหรือเปล่าคะ” ศศิมาแกล้งทำสายตาดุๆ มองไปที่อักษรา
“ไม่ทุกคนค่ะ แต่บางคนถ้าน่ารักหน่อยก็จะได้รับการทักทายเป็นพิเศษค่ะด้วยการหอมแก้มฟอดใหญ่ๆ เลยค่ะ” พูดจบอักษราก็หัวเราะกับคนที่ยืนหน้ามุ่ยมองเธออยู่
“ร้ายนักนะ พี่คงไม่น่ารักพอสินะถึงไม่เคยโดนเจ้าของร้านหอมแก้มสักที ทั้งๆ ที่เป็นลูกค้าประจำและเหนียวแน่นขนาดนี้” ศศิมาพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แล้วสิ่งที่ศศิมาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น อักษราเดินไปหอมพร้อมกับจูบเล็กๆ ไปที่แก้มอันนุ่มนวลนั้น
“หายน้อยใจหรือยังคะ” อักษรายืนยิ้มแป้น แต่คนที่ถูกหอมพร้อมกับริมฝีปากอุ่นๆ ที่กระทบแก้มเมื่อสักครู่เริ่มรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ
ศศิมาจับแก้มของเธอซึ่งถูกอักษราหอมไปเมื่อสักครูพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นทั้งบนใบหน้าและในหัวใจของเธอ
“ถามจริงๆ วันหนึ่งต้องหอมกี่คนคะ เพราะพี่รู้นะว่าบุ๊คมีลูกค้าเยอะมาก” ศศิมาพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ จนทำให้อักษราอมยิ้มและนึกอยากจะแหย่คนที่ยืนอมยิ้มแก้มแดงจนจะเป็นลูกตำลึงอยู่แล้ว
อักษราทำท่าคิดและนับนิ้วมือพร้อมกับยิ้มทะเล้นๆ ดูกวนโมโหแต่น่ารักสำหรับคนที่กำลังจ้องมองอยู่
“นับไม่ถ้วนค่ะ แต่ก็เลือกเฉพาะคนน่ารักๆ นะคะ ไม่ได้มั่วหอมไปเสียทุกคน” อักษรายืนอมยิ้มมองสบตากับศศิมาที่ไม่กล้ามองจ้องตาด้วยในเวลานี้ ดวงตาคู่สวยของอักษราดูมีมนต์เสน่ห์ทุกครั้งที่จ้องมาที่เธอ
“ร้ายนักนะ รู้ไหมว่าหวง” ศศิมาพูดงึมงำเสียงอยู่ในลำคอแต่ก็แอบยิ้ม
“อะไรนะคะ พี่ศศิ บุ๊คได้ยินไม่ชัด” อักษราถามและกำลังตั้งใจฟัง เพราะ คิดว่าศศิมาจะพูดอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรค่ะแค่หมั่นไส้คนมีเสน่ห์”
“ไม่ถามสักหน่อยหรือคะ ว่าทำไมลูกค้าถึงได้ยอมให้หอมแก้ม แต่ลืมบอกไปค่ะ ว่ามีบางคนก็มาขอหอมก่อนด้วยนะ ไม่อยากจะคุย” อักษราอมยิ้มและเดิน เข้าไปด้านในเปิดตู้แช่หยิบผักสลัดพร้อมรับประทานออกมาและชูขึ้นบอกเป็นสัญลักษณ์ว่าผักถุงนี้เป็นของศศิมา ซึ่งกำลังพยักหน้าตอบรับ
“แหมชักจะหมั่นไส้ มาให้พี่หอมคืนก็ได้” ศศิมานึกขำตัวเองที่กล้าพูดออก ไปอย่างนั้น
“ไม่ได้หรอกค่ะ พี่ศศิ” อักษราพูดเสียงเข้มและทำหน้าตาดูจริงจังมาก
“ทำไมคะ พี่ไม่น่ารักพอที่จะหอมแก้มบุ๊คหรืออย่างไรกันคะ” ศศิมาพูดเสียงอ่อยๆ
“เปล่าค่ะ พี่ศศิน่ารักมาก น่ารักที่สุด แต่ว่าลูกค้าที่หอมแก้มบุ๊คได้อนุญาตให้แค่อายุไม่เกินสิบขวบค่ะ” อักษราหัวเราะเมื่อเห็น
หน้าบึ้งๆ ของศศิมาที่เดินมา หยิกเข้าให้ที่แขน
“หลอกกันนี่ มาให้กอดเสียดีๆ เลย ลงมากรุงเทพหลายวันพี่คิดถึงจะแย่ รู้บ้างหรือเปล่าคะ” ศศิมาบอกอักษราที่อมยิ้มและกอดกระชับศศิมาเอาไว้เช่นกัน
“แต่ตอนนี้ต้องปล่อยบุ๊คก่อนค่ะ ดูสิลูกค้าหน้าร้านยืนเท้าสะเอวแสดง ท่าไม่พอใจแล้วนะคะ คิ้วขมวดเชียว” ศศิมาที่กำลังหันหน้าไปมองแล้วก็อมยิ้มกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนเท้าสะเอวและขมวดคิ้วจ้องหน้าเธออยู่ด้วยความไม่พอใจ
“ตายล่ะ แฟนมาก็ไม่บอกพี่ก่อน แย่แน่ๆ เลยทีนี้” ศศิมากับอักษราหัวเราะ สาวน้อยที่อยู่หน้าร้านเปิดประตูเข้ามาในร้านโดยไม่ยอมทักทายอักษราเหมือน เช่นทุกครั้งที่จะต้องตรงรี่เข้ามากอดและหอมแก้ม
“งอนเลยพี่ศศิทำให้น้องปอนโกรธบุ๊ค ทำอย่างไรดีล่ะคะ ที่นี้” อักษราพูด ขึ้นและแกล้งทำหน้าจ๋อยมองสบตากับศศิมาที่กำลังพยายามกลั้นหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยินพร้อมกับสาวน้อยที่ยังคงชำเลืองมองเธอในบางครั้ง มารดาของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็อมยิ้มในขณะที่กำลังเลือกผักที่ต้องการ คงนึกขำในท่าทางแสนงอนของลูกสาวตัวน้อยของเธอ
“สวัสดีค่ะ วันนี้น้องปอนเป็นอะไรน้า ทำไมถึงไม่ทัก ไม่กอด ไม่หอมแก้มน้าบุ๊คเลย ที่ไม่พูดอาจจะปวดฟัน หรือที่ไม่ทักไม่กอด ไม่หอมแก้ม คงเลิกรักน้าบุ๊คแล้วแน่ๆ เลย เศร้าจริงๆ” อักษราลงนั่งยองๆ ข้างสาวน้อย ใบหน้าของทั้งสองจึงอยู่ในระดับเดียวกัน ศศิมามองความน่ารักของอักษราและกำลังดูว่าสาวน้อยจะยอม คืนดีด้วยหรือไม่ เพราะเจ้าของร้านลงทุนอ้อนเสียยกใหญ่
“น้าบุ๊คใจร้าย ยอมให้คนอื่นกอด น้องปอนไม่รักน้าบุ๊คแล้ว” น้ำเสียงแง้วๆ ของเด็กน้อยเรียกรอยยิ้มให้กับผู้ใหญ่ที่อยู่ในร้านทั้งสามคน
“น้าบุ๊คเป็นคนน่ารัก ใครๆ ก็อยากกอดนะคะ น้องปอน” มารดาของสาวน้อยบอกกับลูกสาวที่หันไปมองสบตาด้วย
“จริงด้วยสิ เพราะปอนก็ชอบกอดน้าบุ๊คเหมือนกัน” หลังจากทำท่าคิดและคิ้วขมวดเข้าหากันอยู่สักครู่ สาวน้อยก็ยิ้มออกแล้วกระโดดกอดอักษราเหมือนเช่นทุกครั้งที่ได้พบกัน เสียงหอมแก้มซ้ายขวาก็ดังขึ้น สองสาวต่างวัยผลัดกันหอมแก้มกันไปมา ศศิมามองดูอักษรา ภาพที่เห็นเป็นความน่ารัก ซึ่งเธอได้เห็นอยู่บ่อยๆ
“แสดงว่าน้าบุ๊คต้องรักน้องปอนมากแน่ๆ เลยค่ะ เพราะน้าศศิได้แค่กอดหลวมๆ เท่านั้นเอง น่าอิจฉาน้องปอนจริงๆ เลย” ศศิมาอมยิ้ม เมื่อเห็นมุมปากของสาวน้อยที่กำลังเริ่มเผยอยิ้มให้เธอ สายตาดุๆ เปลี่ยนไปดูใสๆ เป็นเด็กน่ารักขึ้นมาทันทีที่สาวน้อยได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไปเมื่อสักครู่
“แบ่งกอดให้นิดนึงก็ได้ค่ะ น้าศศิ” สาวน้อยบอกกับศศิมาพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่เอาดีกว่า อยากกอดคนใจดีบ้าง มีใครใจดีบ้างไม่รู้นะคะแถวนี้” ศศิมามองสบตากับอักษรา ซึ่งกำลังยิ้มให้เธออยู่ สาวน้อยที่ทำท่าคิดอยู่สักครู่ก็ยกมือขึ้นและเข้าสวมกอดศศิมาเอาไว้แนบแน่น ไม่น่าแปลกใจนักที่ความน่ารักของศศิมาสามารถทำให้สาวน้อยเบนความสนใจไปจากอักษรา ซึ่งกำลังหันไปช่วยมารดาของน้องปอนถือของ
สองสาวต่างวัยไม่รู้พูดคุยกระซิบกระซาบอะไรกัน แต่ท่าทางคงจะเริ่มถูกคอกันแล้ว จากที่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก ศศิมาพาสาวน้อยเดินไปที่ตู้ซึ่งมีนมสดจากฟาร์มของเธอมาวางจำหน่าย สาวน้อยพนมมือไหว้ แสดงความขอบคุณเมื่อศศิมาหยิบขวดนมสดส่งให้โดยได้รับอนุญาตให้หอมแก้มของสาวน้อยได้หนึ่งฟอดเป็นรางวัล ศศิมาหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้กับอักษรา ซึ่งพยายามกลั้นหัวเราะไว้กับท่าทางทะเล้นๆ ของสาวสวยที่ท่าทางคงจะหลงรักสาวน้อยเข้าให้แล้ว
“ขอบคุณนะคะ คุณศศิ” มารดาของสาวน้อยเดินมาบอกศศิมาที่ยิ้มกว้างให้ ความน่ารักของสาวน้อยทำให้เช้านี้ดูสดใสมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะขึ้นรถกลับยังหันมาโบกมือให้กับศศิมาและอักษรา ซึ่งยืนอมยิ้มแทบจะหุบไม่ลงเลยทีเดียว
“น่าอิจฉาจริงๆ มีลูกค้าน่ารักมากเลยนะคะ” ศศิมาพูดขึ้น แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่รถของสาวน้อย ซึ่งกำลังเคลื่อนออกไปจนลับตา
“ได้พบอาทิตย์ละครั้งค่ะ ไม่เสาร์ก็อาทิตย์เพราะโรงเรียนหยุด คุณแม่บอกว่ารบเร้าให้มาซื้อผักที่ร้านตลอด” อักษราบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสาวน้อยน่ารักที่เพิ่งกลับไป
“ก็เราน่ะ น่ารัก คนหลงรักเยอะก็ไม่น่าแปลก” ศศิมาพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ไม่ทุกคนหรอกค่ะ” อักษราพูดเสียงอ่อยๆ ฟังดูแปลกๆ สำหรับศศิมาเพราะปกติอักษราจะดูสดใสอยู่เสมอ แทบจะไม่เคยได้ยินเสียงอ่อยๆ แบบนี้เลยสักครั้งก็ว่าได้
“มาทำเสียงอ่อยทำไม อย่างน้อยก็น้องปอนคนหนึ่งล่ะ แล้วก็พี่อีก” ศศิมาไม่ได้พูดต่อแต่รอยยิ้มจางๆ ของอักษราดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เธอไม่รู้แอบซ่อนเอาไว้
“ขอบคุณนะคะ ร้านนี้ซึ่งเป็นความฝันของบุ๊คคงเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีพี่ศศิที่คอยช่วยเหลือ ให้คำแนะนำและเป็นกำลังใจให้” อักษรายิ้มกว้างขึ้น
“ไม่เกี่ยวกับพี่เลยนะคะ พี่ไม่ได้ไปช่วยพรวนดิน รดน้ำ สักหน่อย แค่ช่วยอุดหนุนซื้อผักไปทาน แต่อันที่จริงพี่ก็ต้องขอบคุณบุ๊คด้วยเหมือนกัน เพราะผักสด กรอบ อร่อย ปลอดภัย หาได้ไม่ง่ายนัก ต้องใจรักจริงๆ ถึงจะกล้าปลูกและลงมือทำไร่จริงจังขนาดนี้” ศศิมาชื่นชมในความพยายามที่จะเดินตามความฝันของอักษราเสมอมา ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกัน
“ว่าแต่ว่าสลัดถุงนี้จะทานเลย หรือจะกลับไปทานที่บ้านคะ” อักษราแกล้งถาม แล้วเดิมอมยิ้มไปด้านในเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้กับศศิมาที่เดินยิ้มตาม มาหยุดมองดูและตั้งใจว่าจะช่วยเตรียมแต่ก็ถูกห้ามไว้
“รู้ว่าเจ้าของร้านใจดี ต้องจัดให้ทานที่นี่แน่ๆ” ศศิมาอมยิ้มมองสบตากับอักษราที่กำลังยิ้มให้เธออยู่เช่นกัน
“หยุดอยู่ตรงนั้นค่ะ ห้ามเข้ามาใกล้กว่านี้เพราะไม่อย่างนั้นคงจะมีอะไรตกแตกอีกแน่” อักษราพูดเสียงดัง แต่ก็ทำให้ศศิมาหัวเราะออกมาและหยุดในทันทีที่ได้ยินคำสั่งของเจ้าของร้าน
“ถึงจะซุ่มซ่าม ทำกับข้าวไม่เป็นแต่ก็น่ารักนะคะ” ศศิมายิ้มทะเล้นให้ อักษราที่อมยิ้มส่ายหน้าไปมา แต่ก็แอบพูดอยู่ในใจ
“ใช่ค่ะ พี่ศศิ น่ารัก”
ศศิมาเดินไปนั่งรอที่มุมประจำ ซึ่งมีโต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้สองตัววางอยู่ เธอมักจะมานั่งรับประทานอาหารและมองดูอักษราเดินไปเดินมาขายของบ้างจัดร้านบ้าง เพราะความซุ่มซ่ามของเธอ เจ้าของร้านจึงไม่ยอมให้ทำอะไร อนุญาตเพียงให้นั่งดูเท่านั้น ศศิมาอมยิ้มเมื่อนึกถึงเวลาที่ซุ่มซ่ามทำโน่นทำนี่แตก แต่ทุกครั้งอักษราก็จะเป็นห่วงเป็นใยว่าเกิดรอยแผล หรือเจ็บที่ตรงไหนบ้างหรือเปล่า
“ขอบคุณนะคะคนดีที่เข้ามาในชีวิตพี่” ศศิมารำพึงเบาๆ มองดูอักษราซึ่งหันมายิ้มให้เธอระหว่างกำลังจัดเตรียมอาหารเช้าให้