บทที่2.1

1582 Words
การกระทำของฉันคงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับการ์วิน ฉันเห็นเขาลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่าสุดขีด ลองหลุบมองสองมือที่วางไว้บนตัก พบว่า...ปลายนิ้วถลอกปอกเปิกนั้นกำลังขยุ้มแน่นกับกางเกงนักเรียนอันเปียกชื้น เสมือนว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถระบายความว้าวุ่นใจในขณะนี้ได้ สาบาน เจตนาของฉันไม่ใช่การกลั่นแกล้งหรืออยากก่อกวนเขา แค่รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น ไม่พยายามที่จะเข้าหาฉัน แม้แต่การมองหน้ายามพูดคุยกัน...ถ้าให้นับก็คงไม่เกินสองครั้งในระยะเวลาสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เหนือสิ่งอื่นใด ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเน่าเฟะ การที่เขาถูกผลักไสให้ใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างแปลกแยกและโดดเดี่ยว การถูกบีบบังคับให้กลายเป็นตัวตลกของคนรอบข้าง การตกเป็นเครื่องมือสนองความดำมืดของพวกนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการเอาแต่ก้มหน้าก้มตาแบกรับความขมขื่นอย่างไร้ปากเสียง...ฉันเพียงอยากรู้ว่าลึก ๆ ข้างในของเพื่อนร่วมห้องคนนี้นั้นบอบช้ำจนชินชา หรือมีชุดความคิดอื่นที่ฉันไม่เข้าใจซุกซ่อนอยู่ ฉันเกิดสงสัย เกิดสงสาร และเกิดสนใจเขาขึ้นมาหลังลอบเฝ้ามองอยู่พักใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ฉันถึงอยากรู้จักการ์วินให้มากกว่านี้ อยากเป็นเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจเขา อยากเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ในชีวิตอันหม่นมืดของเขา เหลือเพียงไม่กี่เดือนเราจะจบระดับชั้นมอปลายแล้ว อย่างน้อยในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่เหลืออยู่นี้ เขาก็ควรได้รับความสัมพันธ์ดี ๆ จากใครสักคนบ้าง เพราะฉันเองก็โหยหามันมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ความสัมพันธ์ดี ๆ ที่ไม่มีอะไรแอบแฝงน่ะ ฉันหวังสิ่งนั้นจากการ์วิน แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมห้องผู้เงียบเชียบคนนี้จะต้องการมันหรือเปล่านะ บางทีเขาอาจอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาเนิ่นนานจนชินแล้วก็ได้ “...” ต่อให้ยืนยันผ่านการกระทำและคำพูดว่าฉันไม่ได้รังเกียจเมื่อต้องเข้าใกล้เขาเหมือนอย่างที่คนอื่น ๆ เป็น ทว่าการ์วินกลับเขยิบก้นไปทางขวาเล็กน้อย จงใจเว้นระยะห่างจากฉันอย่างเต็มที่ อืม เอาเถอะ ให้เวลาเขาหน่อยแล้วกัน ครั้นได้รับปฏิกิริยาอันห่างเหินของการ์วินเป็นสิ่งตอบแทน ฉันจึงยักไหล่หนึ่งทีอย่างไม่คิดจะเซ้าซี้อีก ก่อนกลับมานั่งในท่าปกติพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันแสนอึมครึมในตอนนี้ เพราะเป็นเวลาห้าโมงเย็นนิด ๆ แล้ว กอปรกับเข้าช่วงหน้าฝนพอดีด้วย จึงไม่แปลกที่ความสว่างไสวในช่วงสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ตกดินจะมีน้อยกว่าปกติ เหล่าก้อนเมฆน้อยใหญ่ลอยมากระจุกกันเป็นก้อนขนาดมหึมา พร้อมกับกระแสลมเย็นเฉียบสายหนึ่งลอยมาปะทะผิวกาย ทั้งหมดนี้ตรงตามสูตรสัญญาณบอกกล่าวของฤดูฝน พรึ่บ จมอยู่ในภวังค์ความคิดไม่นานนัก ฉันก็ดึงกระเป๋าเป้มาวางไว้บนตัก จัดการรูดซิปล้วงเอาบางสิ่งบางอย่างออกมา มันคือร่มสีฟ้าสดใสที่ฉันพกติดตัวไว้เสมอในทุก ๆ ฤดูกาล และตอนนี้...ฉันจงใจยื่นมันไปตรงหน้าการ์วิน “เอาไป” โดยไม่ลืมสำทับไมตรีนั้นด้วยคำพูดสั้น ๆ “...?” เพื่อนร่วมห้องมองร่มคันดังกล่าวอย่างเงียบงัน เพียงครู่เดียวถึงค่อยลากสายตากลับมา...ตั้งคำถามผ่านการจ้องมองเหมือนเคย “ฝนจะตกแล้ว นายต้องเดินกลับบ้านไม่ใช่เหรอ?” ฉันกล่าวพร้อมยัดเยียดมันใส่มือขาวซีดโดยที่ตัวเขาไม่ได้ร้องขอ “เรา...” พรึ่บ ไม่รอให้เขากล่าวปฏิเสธอะไร ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากมาทันที ทว่าทิ้งระยะห่างได้ไม่กี่ก้าว สองเท้าพลันชะลอลงกระทั่งหยุดนิ่ง ฉันหมุนตัวกลับไปหาเจ้าของร่างสูงที่นั่งทำหน้างุนงงคล้ายไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ตรงนั้น “เก็บไว้ดี ๆ ล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาเอาคืน :)” ประกาศิตกับคุณพีทไว้ซะดิบดีว่าเป็นตายร้ายดียังไงคืนนี้ก็จะไม่กลับบ้าน ทว่าสุดท้าย เพราะไม่มีที่ไป ฉันจึงยอมกลืนน้ำลายตัวเองแล้วกลับมาตายรังอย่างช่วยไม่ได้ “โผล่มาจนได้สินะ” ไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำเมื่อสองเท้าก้าวเข้ามาในรัศมีบ้าน ประโยคทักทายที่ดังขึ้นเป็นน้ำเสียงกร้าวแข็งก็ลอยมาปะทะหน้า ทำเอาอารมณ์ซึ่งไม่คงที่มาตั้งแต่แรกทวีคูณไปอีกหลายเท่า ลงทุนมานั่งรอกันแบบนี้ คงประเมินสถานการณ์ไว้แล้วใช่ไหมว่าฉันคงไม่มีปัญญาใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้เกินสิบชั่วโมง และผลสุดท้ายก็ต้องซมซานกลับมา แน่สิ เพราะตลอดมา...บทลงเอยมันไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักครั้ง อยากหนีไปจากที่นี่แทบตาย แต่นั่นเป็นเพียงความปรารถนาอันแรงกล้าที่ฉันทำได้เพียงเฝ้าฝันเท่านั้น เด็กสิบแปดปีอย่างฉัน ในสายตาท่านแล้วคงทำอะไรไม่ได้นอกจากปีกกล้าขาแข็งไปวัน ๆ “ค่ะ” ขานรับพ่อสั้นกระชับโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมองท่านซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขก รีบก้าวฉับมุ่งหน้าสู่บันไดเพราะอยากเข้าห้องนอนให้เร็วที่สุด “เมย์” ทว่าสุ้มเสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากด้านหลังทันควัน “มานั่งนี่” “เมย์เหนื่อย จะอาบน้ำนอนแล้วค่ะ” ฝีเท้าหยุดนิ่ง ทว่าในขณะที่สนทนา ฉันยังคงหันหลังให้ท่านเหมือนเดิม “เหนื่อยอะไรของแก” เสียงของท่านเข้มขึ้น บ่งบอกได้ถึงสภาพอารมณ์อันขุ่นมัว อันที่จริงแล้ว บรรยากาศระหว่างเรามันไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าความสบายใจ เรามึนตึงใส่กันเสมอ วัน ๆ หนึ่งพูดคุยกันแทบนับคำได้ หรือวันไหนมากหน่อยก็หนีไม่พ้นการปรามาส ครหา ด่าทอ สาดวาจารุนแรงใส่กัน ผู้ชายที่ยิ้มแย้ม โอบอ้อมอารีในสายตาคนอื่นอย่างท่าน ใครจะรู้ว่าทั้งหมดนั่นคือความเสแสร้ง ความจริงตรงข้ามกับสิ่งที่คนภายนอกเห็นอย่างสิ้นเชิง ต้องรู้ดีอยู่แล้ว ในเมื่อฉันทั้งได้มองเห็น ทั้งได้สัมผัส และได้รองรับพฤติกรรมแย่ ๆ ของท่านมาแล้วทุกรูปแบบ “...” ฉันเลี่ยงตอบ แสดงให้ท่านเห็นว่าไม่พร้อมเสวนาด้วย “เมย์ อย่าให้พ่อพูดซ้ำสอง” ประโยคถัดมามาพร้อมน้ำเสียงแกมข่มขู่ ซึ่งชี้ชัดแล้วว่าหากฉันแสดงพฤติกรรมเหิมเกริมให้ท่านเห็นอีกแม้แต่ครั้งเดียว ฉันจะได้ลิ้มรสโทษทัณฑ์อันคุ้นเคย แม้ว่าความคุ้นเคยนั้นฉันจะไม่ต้องการก็ตาม “ค่ะ” ในเมื่อไม่มีทางเลือกมากพอ ฉันจึงหมุนตัวเดินกลับไปหาท่าน ก่อนทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม “มีคนบอกว่าแกสูบบุหรี่” ก้นสัมผัสความนุ่มหยุ่นไม่ทันไร ริมฝีปากหยักบางของพ่อก็ขยับเป็นน้ำเสียงเข้มข้น สายตายามสะท้อนภาพฉัน ณ เวลานี้...แทบจะสาดคำบริภาษใส่กันอยู่รอมร่อ “คงไม่ต้องรอคำตอบจากแกหรอกใช่ไหม เพราะตอนนี้พ่อก็ได้กลิ่นบุหรี่จากตัวแก” “ค่ะ เมย์สูบ” เพราะหาประโยชน์จากการโกหกไม่เจอ ฉันจึงยอมรับซึ่ง ๆ หน้า ตลกดี ฉันใช้มันดับความเครียดมานานเป็นเดือน อีกหน่อยคงขึ้นไปสูบบนหัวท่าน แล้วทำไมถึงเพิ่งมาถกประเด็นกันวันนี้ อ้อ ลืมไป ระดับผู้ว่าฯ ผู้ยิ่งใหญ่ ก็คงจะยุ่งมาก เลยไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องไร้สาระละมั้ง “พ่อไม่เคยสอนให้แกใช้ของพวกนี้นะเมย์” แม้น้ำเสียงไม่กระโชกโฮกฮาก ทว่ารับรู้ได้ถึงการฉาบเคลือบอารมณ์คุกรุ่น ท่านไม่เคยย้อนถามตัวเองสักครั้งว่าเพราะอะไรฉันถึงกลายเป็นแบบนี้ “นอกจากบุหรี่แล้วแกดื่มเหล้าหรือเปล่า พวกกัญชา ยาบ้า หรือสารเสพติดอื่น ๆ ล่ะ” “เหอะ...” ฉันแค่นเสียงผ่านลำคอ...ราวกับว่ากำลังไว้อาลัยบางอย่างผ่านเสียงหัวเราะนี้ “ที่ถามเพราะเป็นห่วงเมย์ หรือแค่กลัวว่าจะมีคนมาเห็นแล้วเหมารวมถึงสายเลือด” “เมย์!” เจอจี้จุดเข้าหน่อย คนเบื้องหน้าก็ตะคอกเสียงดัง ทำเอาเหล่าแม่บ้านและบอดี้การ์ดตรงหน้าประตูสะดุ้งตามกันเป็นแถบ ๆ ฉันผลิยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “อืมมม อย่างพ่อคงเป็นอย่างหลังแน่เลย” เพราะตลอดมา ท่านมักใช้ประโยชน์จากฉันในการคุยโวโอ้อวดกับคนอื่น ทั้งความสวยที่ได้แม่มาทุกกระเบียด ทั้งผิวพรรณขาวผ่องโดดเด่น ไหนจะบุคลิกภาพที่ถูกฝึกปรือมาตั้งแต่เด็ก อย่างน้อยฉันซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียวของท่าน...ก็พอมีข้อดีให้ท่านเชิดหน้าชูตายามออกงานบ้าง หากมีคนรู้ว่าลูกสาวของชายผู้โด่งดังมีพฤติกรรมแบบนี้ ภาพลักษณ์ของตระกูลคงพลอยได้รับความเสื่อมเสียตามไปด้วย “อย่าปากดีให้มันมากนะเมย์ มีกินมีใช้ มีที่ซุกหัวนอนดี ๆ ได้เพราะใคร! แกลืมไปแล้วหรือไง!” “ไม่ลืมค่ะ” ก็มีทุกอย่างจริงนั่นแหละ...แต่ยกเว้นความสุขนะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD