เพราะไม่ชอบความวุ่นวาย เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน...ผมจึงขังตัวเองอยู่ในห้องเรียนเพียงลำพัง ปล่อยให้คนอื่น ๆ ทยอยกันออกไปจนหมดเพื่อหลีกเลี่ยงการเบียดเสียด รวมถึงหลบหนีจากสายตาหลายสิบคู่ที่มักจะมองผมด้วยความรังเกียจอยู่เสมอ
ผมนั่งกอดกระเป๋าเป้ใบโปรดประหนึ่งกลัวว่าจะมีใครมาพรากมันไป สองตาจับจ้องโต๊ะเรียนซึ่งเต็มไปด้วยข้อความหยาบคายจากเพื่อนร่วมห้อง ไม่สิ...พวกมันไม่เคยมองผมเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ
แค่ปฏิบัติกับผมเยี่ยง ‘มนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง’ ยังทำกันไม่ได้
อย่าหวังกับสถานะนั้นที่ชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่มีทางได้รับนั่นเลย
ฝันเฟื่องไปวัน ๆ ก็...คงได้อยู่
ทว่าถ้าเลือกได้ ผมคงเลือกหนีไปจากที่นี่ หรือไม่ก็...เอาคืนพวกมันทั้งหมดอย่างสาสม
แค่จินตนาการภาพที่พวกมันร้องขอความเห็นใจจากผมบ้าง...ความสุขเล็ก ๆ ที่ผมปรารถนาก็ผุดขึ้นมาในอกอย่างเจือจาง
ผมบิดยิ้มภายใต้สีหน้าอันเรียบเฉย มองดูข้อความด่าทอเหล่านั้นโดยไม่แสดงอาการอะไรออกมา
ไอ้เฉิ่ม
ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่
ไอ้ขี้แพ้
ไปตายซะ มีชีวิตไปทำไมเนี่ย
และอีกมากมาย...ที่แม้ไม่อยากจดจำ แต่การได้เห็นมันในทุก ๆ วันทำให้สมองของผมบันทึกคำครหาเหล่านั้นไว้ในสมอง ท้ายที่สุดก็สลักแน่นจนจำได้ขึ้นใจ
ผ่านไปหลายนาที เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ รวมถึงเสียงฝีเท้ามากมายเริ่มเบาลง ตอนนั้นเองผมจึงมีความกล้าที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบกระเป๋าเป้มาสะพายแล้วเดินออกจากห้องเรียน
จริงว่าผมมักมองพื้นมากกว่าผู้คนรอบข้าง ทว่าทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยการเฝ้าระวัง
เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว...อย่างน้อยก่อนกลับถึงบ้าน ผมก็ไม่อยากให้คุณย่าได้เห็นบาดแผลบนตัวผมมากไปกว่านี้ ผมขี้เกียจตอบคำถาม ไม่อยากเห็นน้ำตาของท่าน ทั้งหมดนั้นมันทำให้ผมสมเพชตัวเอง โกรธและเกลียดตัวเองที่ปล่อยให้ร่างกายนี้และหัวใจดวงนี้บอบช้ำไม่เว้นวัน
“ทีหลังต้องสู้กลับบ้าง อย่าปล่อยให้พวกนั้นทำร้ายนายอยู่ฝ่ายเดียว”
“แขนขายาวอย่างนาย เอาชนะพวกนั้นได้แน่”
ในวินาทีนั้น เสียงหวานของนักเรียนใหม่ดังขึ้นมาท่ามกลางความรู้สึกอันหนักอึ้ง
เธอเป็นคนแรกที่พูดแบบนี้กับผม แม้ว่าใจจริงแล้วจะไม่ได้ร้องขอให้คนอย่างเธอมาเห็นอกเห็นใจก็ตาม
ปึก!
ออกมาจากรั้วโรงเรียนไม่ทันไร การก้าวเดินของผมก็เกิดอุปสรรคขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากมีใครบางคนจงใจเดินชนแล้วใช้ไหล่กระแทกกันจนผมเซไปด้านขวาซึ่งเป็นขอบฟุตบาท
ซ่า!!
จังหวะที่เสียหลัก รถคันหนึ่งพุ่งมาจากด้านหลัง เหยียบแอ่งน้ำเน่าเหม็นจนความเปียกชื้นเหล่านั้นสาดกระจายเต็มชุดนักเรียนผม
“ฮ่า ๆ ๆ!”
สิ่งที่ผมได้ยินท่ามกลางโสตประสาทอันอื้ออึงคือเสียงหัวเราะระงมจากรอบทิศทาง ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง พยายามไม่สนใจ ได้แต่ยกปลายนิ้วขึ้นปัดหยดน้ำออกจากเลนส์แว่นอันร้าวแตก
เหตุการณ์จบลงเหมือนทุกครั้ง เมื่อผมไม่โต้ตอบ คนพวกนั้นก็จะเลิกให้ความสนใจและเดินจากไปในที่สุด
ผมหิ้วร่างกายที่บอบช้ำ รวมถึงความเปียกชื้นนี้มานั่งตรงป้ายรถเมล์
ระยะทางจากโรงเรียนถึงบ้านไม่ไกลนัก โดยปกติแล้วผมมักเดินทางด้วยเท้าเสมอเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และดูเหมือนว่าวันนี้...ผมอาจจะต้องกลับช้ากว่าเดิมหน่อย
เพราะจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ส่งผลให้เสื้อนักเรียนของผมเปียกไปมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ จึงมีความจำเป็นต้องนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าเสื้อจะแห้งเหือด หากกลับไปในสภาพเปียกซก คุณย่าจะต้องเป็นห่วงและถามผมไม่หยุดแน่
ทว่าระหว่างนั่งมองรถวิ่งผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน สลับกับเฝ้ามองนักเรียนคนอื่น ๆ ซึ่งกำลังเดินจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน อีกฟากหนึ่งของถนน...รถยนต์คันหรูสีดำสนิทพลันเบรกเอี๊ยด ชั่วครู่เดียวนักเรียนหญิงคนหนึ่งก็เปิดประตูลงจากรถด้วยท่าทางฉุนเฉียว
นักเรียนใหม่คนนั้น
ผมยังคงสีหน้าราบเรียบขณะมองดูเธอตะเบ็งเสียงใส่ชายชุดดำที่เพิ่งลงมาจากรถ เขาคนนั้นมีท่าทีอ่อนอกอ่อนใจ ก้มหัวปลกเป็นสิบ ๆ ครั้ง คล้ายอ้อนวอนขอให้เธอกลับขึ้นไปเหมือนเดิม
ทว่าเมย์กลับตะคอกใส่ชายคนนั้นว่า “ไปบอกพ่อนะว่าคืนนี้เมย์ไม่กลับบ้าน! แล้วคุณพีทก็ไม่ต้องตามเมย์มาด้วย ไม่งั้นเมย์จะเอาเรื่องที่คุณพีทแอบเล่นชู้กับนักศึกษาไปฟ้องน้าแพร ถ้าอยากลองดีก็เชิญค่ะ อย่าคิดว่าเมย์ไม่กล้า!” ก่อนสะบัดหน้าแล้วเดินข้ามสะพานลอยมาฝั่งนี้...
จากประกาศิตอันเอาแต่ใจ ส่งผลให้ชายชุดดำยืนอึกอักอยู่พักใหญ่ ก่อนจะต่อสายหาใครบางคนอย่างร้อนรน ทว่าคุยกันได้ไม่นานถึงยอมขึ้นรถแล้วขับจากไป
ผมค่อย ๆ ลากสายตากลับมา พบว่าผู้หญิงที่เพิ่งสร้างเรื่องจนคนรอบข้างมองกันเป็นตาเดียวนั้นเพิ่งทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ กัน
...อีกแล้ว
“ไม่ต้องตกใจนะ ปกติ” และนั่นเป็นประโยคแรกที่เธอกล่าวกับผม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เอ่ยถามแม้สักคำเดียว
“...” ผมดึงสายตากลับมา ก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ปรากฏเวลาห้าโมงเย็น
“รอรถเมล์เหรอ” เหตุการณ์แทบไม่ต่างจากตอนเที่ยง เมย์ยังคงเป็นฝ่ายชวนคุย ส่วนผมปิดปากเงียบเพราะไม่อยากเสวนากับเธอ “ไม่สิ ปกตินายเดินกลับนี่เนอะ”
“...” ประโยคนั้นส่งผลให้ผมหันขวับไปทางเธอทันที ถามผ่านสายตาว่ารู้ได้ยังไง
“นายอาจไม่ทันสังเกต แต่ตอนนั่งรถกลับบ้าน รถเราขับผ่านตอนนายเดินกลับตลอด”
“...”
“นี่ การ์วิน ช่วยพูดอะไรสักอย่างได้ไหม” ดูเหมือนเธอจะหมดความอดทนแล้วจึงขอให้ผมตอบโต้อะไรบ้าง ทว่าปฏิกิริยาของผมยังคงเหมือนเดิม “เราอยากเป็นเพื่อนกับนายนะ”
เพื่อนเหรอ
“ไม่” ปฏิเสธสั้น ๆ และเผลอกลืนน้ำลายลงคอ เพราะเมย์นั้นไม่เพียงกล่าวอย่างดื้อดึง แต่ยังขยับหน้าเข้ามาใกล้คล้ายต้องการพิจารณาอะไรบางอย่างอย่างใกล้ชิด “ช่วย...อย่าเข้ามาใกล้”
“ทำไม?” เธอถามพลางเอียงคอ “รังเกียจเราเหรอ?”
“เราเหม็น” หยิบยื่นคำตอบให้อีกฝ่ายโดยไม่มีการมองสบตาแม้แต่นิดเดียว
ทว่าเพียงสองวินาทีหลังจากนั้นเมย์กลับแค่นหัวเราะออกมา และทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงด้วยการ...ขยับหน้าเข้ามาใกล้อีกระดับ
“ไหน” เธอทำจมูกฟุดฟิดจนลมหายใจอุ่นร้อนรดรินซอกคอผม “ไม่เห็นเหม็นเลย”
นักเรียนใหม่คนนี้...เป็นคนประเภทไหนกันแน่
End Describe.