บทที่3.3

1689 Words
ต่อมา พรึ่บ ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียดและอุณหภูมิห้องที่เย็นจัด อาจารย์ธีรเดชผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายปกครองโยนซองบุหรี่ที่เพิ่งได้รับการส่งต่อจากไอ้พวกนั้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนลงบนโต๊ะทำงาน ช้อนตาขึ้นมองผมที่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาคาดคั้นสุดขีด “นี่มันอะไรการ์วิน อธิบายมาเดี๋ยวนี้” “ผม…” อยากปฏิเสธเพื่อให้ตัวเองพ้นจากข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นจริง ทว่าอยู่ดี ๆ กลับชะงัก...เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหากมีคนรู้ว่าสิ่งนี้เป็นของเมย์ เธอที่เป็นคนดังอาจถูกมองไม่ดีได้ และถ้าเรื่องถึงหูครอบครัวเธอ… คิดได้ดังนั้น ผมจึงก้มมองเป้ของผู้หญิงที่ตัวเองหิ้วอยู่ในมือ “อะไร คิดนานขนาดนั้นเท่ากับยอมรับกลาย ๆ แล้วนะว่าเป็นของนายจริง” “…” ผมดึงสายตากลับมา ยังคงไม่พูดอะไร “ปกตินายประพฤติตัวดีมาตลอด เป็นแบบอย่างของเพื่อน ๆ ไม่เคยแหกกฎเลยสักข้อ แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น” อาจารย์ธีรเดชแสดงสีหน้าเคร่งเครียด แววตาฉายชัดถึงความผิดหวัง “ขอโทษครับ” ผมขยับริมฝีปากเป็นคำพูดสั้น ๆ และพลันเห็นร่างบางคุ้นตาวิ่งกระหืดกระหอบมาทางนี้ผ่านประตูกระจกใสของห้องปกครอง ทันทีที่เราสบตากันอย่างผิวเผินในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ความลังเลที่เคยมีก็มลายหายไป ตัดสินใจได้แล้วว่า...ควรทำอะไรสักอย่างเพื่อเธอคนนั้นที่เห็นคุณค่าในตัวผม “…บุหรี่นั่น ของผมเอง” ทว่าหยิบยื่นคำโกหกให้อาจารย์ได้ไม่เท่าไหร่ เมย์ก็พุ่งพรวดเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตใคร การมาถึงของเธอทำเอาอาจารย์ธีรเดชมุ่นคิ้วหนักกว่าเดิม “อะไรมธุริน” “สวัสดีค่ะ” จ้ำเท้ามาหยุดยืนอยู่ข้างกันแล้วจึงยกมือไหว้คนตรงหน้า ซึ่งเป็นจังหวะที่นัยน์ตากลมโตมองเห็นซองบุหรี่คุ้นตานั่นเข้าพอดี “เข้ามาทำไม อาจารย์คุยกับการ์วินอยู่ ออกไปก่อน” เป็นประโยคเชิงขับไล่ ทว่าน้ำเสียงที่อาจารย์ธีรเดชใช้ก็ไม่ถึงกับห้วนนัก “คุยเรื่องอะไรเหรอคะ ใช่เรื่องบุหรี่นั่นหรือเปล่า” คนตัวเล็กถามเพื่อความแน่ใจ ก่อนหันกลับมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม วินาทีนั้น ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องมองคนมาใหม่นานเกินไปจึงลากสายตากลับมาเหมือนเดิม “อืม ถ้ารู้แล้วก็ออกไปก่อน อาจารย์ไม่อยากหักคะแนนความประพฤติเราอีกคนนะ” “ขอเสียมารยาทนะคะอาจารย์” ปากขออนุญาต แต่ท่าทางของเธอดูดื้อดึงไม่เบา “แต่การ์วินเป็นเพื่อนหนู หนูเลยอยากอยู่ฟังด้วยค่ะ” ครั้นเมย์ยืนกราน อาจารย์ธีรเดชจึงพรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ เดาว่าเหตุผลที่ท่านยอมอ่อนข้อง่ายขนาดนั้นทั้งที่ปกติเข้มงวดอย่างกับอะไร อาจเพราะมีเรื่องอิทธิพลของนามสกุลเข้ามาเกี่ยวข้อง “งั้นก็อยู่ฟังให้มันรู้เรื่องตรงนี้เลยว่าเพื่อนของเราเอาบุหรี่เข้ามาในโรงเรียน ซึ่งเป็นของต้องห้ามของที่นี่” นัยน์ตาสีดำสนิทลากมาบรรจบที่ซองบุหรี่ ซึ่งมีร่องรอยการแกะแล้ว “ฝ่าฝืนกฎจะโดนหักคะแนนความประพฤติครึ่งหนึ่ง และเรื่องนี้จะถูกรายงานไปยังผู้ปกครอง” “…” ได้ฟังประโยคยาวเหยียดของอาจารย์ ผมพลันรับรู้ได้ถึงรังสีขมุกขมัวของคนข้างกาย หางตามองเห็นราง ๆ ว่านักเรียนใหม่หันขวับมาทางนี้เหมือนต้องการคำอธิบาย ทว่าผมกลับไม่ได้เอ่ยคำใด โดยเฉพาะประโยคปฏิเสธเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ผมทำเพียงใช้นิ้วดันกรอบแว่นขึ้น แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ว่าเมย์กำลังไม่พอใจ “เข้าใจใช่ไหมการ์วิน ย่านายจะต้องรู้เรื่องนี้ มันช่วยไม่ได้นะ” “ครับ” “อาจารย์คะ บุหรี่นั่นไม่ใช่ของเขาค่ะ” ทว่าเธอไม่ยอมให้เรื่องมันจบลงแบบนี้ ทั้งยังสารภาพออกมาง่าย ๆ ว่า “เป็นของหนูเอง” ผมมุ่นคิ้ว... “ไม่ต้องปกป้องเพื่อนขนาดนี้ก็ได้มธุริน” อาจารย์ไม่เชื่อคำของเธอ และผมก็ภาวนาให้ท่านไม่เชื่อต่อไป “เป็นของหนูจริง ๆ ค่ะ หนูสูบบุหรี่ และเป็นคนพกมันมาโรงเรียนเอง” เมย์ยืนยันหนักแน่นก่อนดึงเป้ของตัวเองกลับคืนไป เธอรูดซิปแล้วล้วงเอาไฟแช็กออกมาวางบนโต๊ะข้างซองบุหรี่ “นี่ค่ะ มีไฟแช็กด้วย หนูไม่พกของแบบนี้ติดตัวหรอกถ้าไม่ได้เอามาจุดบุหรี่” “มธุริน?” อาจารย์ฝ่ายปกครองพิจารณาสิ่งนั้นคล้ายไม่เชื่อสายตา “เรื่องนี้พ่อของเธอรู้ไหม” “…” เมย์ไม่ได้ให้คำตอบ เพียงเม้มริมฝีปาก ท่าทางคลุมเครือแบบนั้น ตีความได้ว่าพ่อของเธออาจไม่รู้ หรือบางทีอาจรู้และห้ามปรามแล้ว...แต่เธอยังดึงดันที่จะสูบ ผมหลุบตาลงต่ำ เห็นเธอใช้ฝ่ามือเล็ก ๆ ขยุ้มแน่นกับกระเป๋าเป้เหมือนอยากระบายความรู้สึกอัดอั้นบางอย่างลงบนนั้น “ในเมื่อเธอยอมรับเองแบบนี้อาจารย์ก็ไม่มีทางเลือกนะ ต้องรายงานกับพ่อของเธอ” “ค่ะ…” “นายทำแบบนี้ไม่ได้นะการ์วิน” “...” “มันเป็นของของเรา นายจะมารับผิดแทนเราทำไม เดี๋ยวนายก็พลอยเดือนร้อนตามไปด้วยหรอก” เมื่อถูกปล่อยตัวออกจากห้องปกครองและกำลังมุ่งหน้ากลับห้องเรียน คนข้าง ๆ ซึ่งเก็บความไม่พอใจไว้ตั้งแต่ต้นก็ไม่รั้งรอที่จะเปิดปากบ่น “...” “ฟังเราพูดอยู่หรือเปล่า” “อือ” ครางสั้น ๆ เพื่อให้เธอรู้ว่าผมฟังอยู่ แต่ไม่รู้จะพูดอะไร “งั้นบอกเราหน่อยสิว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย” ตลอดการก้าวเดิน แม้ผมจะมองตรงไปข้างหน้าเท่านั้น ทว่ารับรู้ได้ถึงการจับจ้องอย่างเปิดเผยของนักเรียนใหม่แทบทุกวินาที “ทำทำไม” “...ไม่รู้” “จะไม่รู้ได้ยังไง” น้ำเสียงเล็ก ๆ นั่นฉุนกึกไม่เบา บางที ตัวผมอาจชอบเห็นเธอยิ้มมากกว่าจึงหันกลับไปหา หวังตอบคำถามที่ทำให้เธอหายเคลือบแคลงและกลับมาร่าเริงแบบเดิม “แค่ลองดู” “ยังไงนะ” “แค่อยากลองปกป้อง” แต่น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ กล่าวจบ ผมรีบเก็บสายตากลับมา ก้าวขายาว ๆ นำเธอไปไกล ไม่รอให้นักเรียนใหม่ที่ตัวเล็กกะทัดรัดนั่นตามทัน คาบบ่าย ระหว่างเรียนวิชาชีวะวิทยา อาจารย์ประจำชั้นเรียกพบเมย์กะทันหัน ก่อนจะแจ้งให้พวกเราทุกคนทราบว่าเมย์จำเป็นต้องกลับบ้าน ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แน่ชัด แม้แต่ผมเองก็ไม่กล้าคาดเดาว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องบุหรี่ที่เธอพกมาหรือไม่ ผมเก็บงำความสงสัยนั้นไว้จวบจนเลิกเรียน กระทั่งหนึ่งวัน สองวัน และสามวันผ่านไป...นักเรียนใหม่ผู้สดใสก็ไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา เหลือไว้เพียงโต๊ะเรียนอันว่างเปล่าและการสันนิษฐานต่าง ๆ นานาของเพื่อนร่วมห้อง เกิดอะไรขึ้น ผมตั้งคำถามอย่างเงียบงัน แม้หักห้ามใจไม่ให้ฟุ้งซ่านขณะเรียนหนังสือ ทว่าท้ายที่สุด...กลับตัดสินใจนั่งรถเมล์มาลงหน้าบ้านของคุณพิชยะ นันทพิวัฒน์ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่มากนักในเย็นวันเดียวกัน เพราะเป็นผู้ว่าฯ ที่ใคร ๆ ต่างชื่นชม ทั้งบ้านที่ท่านอาศัยอยู่ยังใหญ่โตโอ่อ่า จึงไม่แปลกที่คนบางส่วนจะรู้จัก ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น “...” ผมยืนประหม่าอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน มองข้ามไปอีกฝั่งซึ่งปรากฏเป็นรั้วสีขาวลวดลายแปลกตา และลึกเข้าไปเป็นบ้านหลังใหญ่ที่แทบไม่ต่างอะไรจากคฤหาสน์ มาถึงที่หมายแล้ว แต่เจตนากลับเลือนราง มันเหมือนว่า...ผมแค่อยากมา มาโดยไม่รู้ว่ามาทำไม ลึก ๆ แล้วต้องการอะไรจากการกระทำนี้ ผมยืนสับสนอยู่ตรงนั้นนานเป็นนาที ถึงได้คำตอบว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากแค่ไหนหลังจากได้ใกล้ชิดเธอ ถูกปฏิบัติอย่างอบอุ่นแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เธอมอบให้มันคือความจริงใจหรือจอมปลอม แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นมีอิทธิพลกับผมผู้ซึ่งเคยโหยหาสิ่งนี้มาโดยตลอดอย่างยากจะหลีกหนี นั่นสินะ ในเมื่อผมเพิ่งได้รับมันจากเธอเป็นครั้งแรก ในเมื่อมันเป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่ในสายตาใครบางคน สายตาที่ไร้การเหยียดหยามดูแคลน สายตาที่ทำให้ผมได้คำตอบว่า...ตัวเองก็ไม่ได้ไร้ค่า หรือเป็นขยะอย่างที่ใครต่อใครครหา ผมพรูลมหายใจออกมาอย่างเงียบสงบ ปรับเปลี่ยนความตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปทำอาหารเย็นให้คุณย่า ทว่าวินาทีที่ชะโงกคอมองรถเมล์ตรงริมฟุต บาธ พลันมีรถยนต์สีดำคันหนึ่งเคลื่อนผ่านไปพอดี พร้อมกับกระจกด้านหลังที่ถูกลดระดับ...เผยใบหน้าโดดเด่นของใครบางคนชัดเจนในระยะสายตา ผมชะงักเมื่อได้คำตอบว่าเธอคนนั้นเป็นนักเรียนใหม่ที่หายหน้าหายตาไปสามวันเต็ม ไม่ปล่อยให้งงนาน รถคันดังกล่าวค่อย ๆ ชะลอ ก่อนขับถอยหลังมาจอดนิ่งสนิทด้านหน้า ตามด้วยร่างบางในชุดแซ็กสีขาวที่เปิดประตูลงมา “การ์วิน มาทำอะไรที่นี่?” เมย์ก้าวลงมาหยุดอยู่ตรงหน้า เผยแววตาฉงนฉงายยามจับจ้องผมที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนถูกระเบียบ “...” ทว่าผมไม่ได้ให้คำตอบ เพราะมีบางสิ่งดึงดูดสายตาผมมากกว่าการปรากฏตัวของเธอ ปกติใบหน้าของเมย์จะเกลี้ยงเกลา ทว่าในวันนี้...ผมกลับเห็นรอยช้ำจาง ๆ บริเวณแก้มด้านซ้าย ซึ่งผมกล้าการันตีได้เลยว่าเกิดจากการถูกทำร้าย ทั้งใต้ตาของเธอยังมีร่องรอยบวมแดงคล้ายผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก นี่ใช่ไหม? สาเหตุที่ทำให้เธอไม่ยอมมาโรงเรียน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD