“นาย”
ผมคงเอาแต่พิจารณาความผิดปกติบนใบหน้าของอีกฝ่าย ไม่ตอบรับ ไม่ส่งเสียง เมย์จึงยื่นนิ้วมาจิ้มต้นแขนผมหนึ่งทีเพื่อเรียกสติ
สัมผัสผิวเผินดึงรั้งให้ผมเปลี่ยนจุดโฟกัสเป็นนัยน์ตาสีสวย ที่แม้ยังคงความสดใสทุกครั้งที่ได้มอง แต่ความบอบช้ำเล็ก ๆ ที่คนตรงหน้าพยายามซุกซ่อนไว้กลับไม่อาจรอดพ้นสายตาผมไปได้
“...อือ” เตรียมคำพูดไว้ตั้งมากมาย พอเอาเข้าจริง เส้นเสียงของผมกลับตีบตันขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“เราถามว่ามาทำอะไรที่นี่” เมื่อเห็นว่าผมมีการตอบรับบ้างเมย์จึงถามย้ำ
“ผ่านมาพอดี” ทั้งที่เป็นความจงใจตั้งแต่แรก ทว่าไม่รู้ทำไมผมถึงโกหกเธอ “...ทำธุระ”
“อ้อ ๆ” เมย์ยิ้มรับพร้อมพยักหน้า “รีบไหม? ไหน ๆ ก็มาแถวบ้านเราพอดี สะดวกไปกินข้าวกับเราหรือเปล่า โน่น ตรงโน้นมีร้านอาหารตามสั่งด้วย”
“...” น่าแปลกที่ผมพยักหน้าให้คำเชิญชวนนั้นโดยไม่มีการหยุดคิดหยุดใคร่ครวญ ทำเอานักเรียนใหม่ยิ้มตาหยียิ่งกว่าเดิม
ยิ้มกว้างขนาดนั้นได้ยังไงนะ
ยิ้มทั้งที่มีแผลครึ่งซีกหน้า ยิ้มทั้งที่ดวงตายังแดงก่ำแบบนั้น
เธอทำมันได้ยังไง...กำลังฝืนอยู่เหรอ
เจ็บหรือเปล่า? ผมอยากถามเธอ แต่เพราะครึ่งค่อนชีวิตแทบไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับใครเป็นจริงเป็นจัง การสนทนาให้ลื่นไหลจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผมมาก
ส่งยิ้มแสดงความดีใจให้กันแล้ว เมย์ถึงค่อยเดินกลับไปที่รถ พูดคุยกับชายชุดดำตำแหน่งคนขับนานเกือบนาที กระทั่งเรียบร้อยจึงเดินกลับมา พร้อมพยักพเยิดหน้าไปทางซ้ายมือ
“ปะ เดินไปกัน ไม่ไกล”
“อือ” ผมครางสั้น ๆ แล้วเดินตามแผ่นหลังบอบบางซึ่งกำลังนำทางกันอย่างเงียบเชียบ
ทว่าเดินได้เพียงสามก้าวเท่านั้น ก็เป็นเมย์เองที่ชะลอฝีเท้าลงเพื่อให้ผมขยับไปหา กระทั่งการก้าวเดินที่ทิ้งระยะห่างในช่วงแรกกลายเป็นการเดินเคียงข้างกันโดยปริยาย
ขณะมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารตามสั่งซึ่งเห็นป้ายเด่นหราระยะยี่สิบเมตรข้างหน้า ดวงตะวันที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าพลันส่องสว่างอย่างริบหรี่มาที่เรา เกิดเป็นเงาพาดทาบไปเบื้องหน้า ทำให้ผมเห็นว่าเงาของเราสองคนหลอมรวมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่ความเป็นจริง...ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสกันเลย
ขณะมองเงาพาดทับฟุตบาธอย่างไร้ปากเสียง สมองยังคงติดค้างเรื่องบาดแผลบนใบหน้าเธอ สุดท้ายแล้วความรู้สึกนั้นก็เหนี่ยวรั้งให้ผมเงยหน้าขึ้น หันกลับไปมองคนข้าง ๆ ที่ดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด
“เมย์”
และเป็นผมเองที่เอ่ยเรียกเธอ
“หือ?” เสียงเรียกนั้นรั้งให้เมย์ลากสายตากลับมาทันที ท่าทางเหม่อลอยและแววตาหม่นเศร้าเมื่อครู่นี้พลันเปลี่ยนเป็นสดใสระยิบระยับต้องแสงตะวัน
“...” เป็นฝ่ายเรียกเธอเองแท้ ๆ แต่ถึงเวลาจะพูดกลับมีอาการคล้ายคนน้ำท่วมปาก สุดท้ายผมจึงส่ายหน้าเบา ๆ แล้วเก็บสายตากลับมา
จะต้องเริ่มยังไง ในเมื่อผมไม่รู้วิธีปลอบใจคนอื่นเลย
ทุกครั้งที่ผมเจ็บ โดดเดี่ยว หรือตกอยู่ในความเศร้า นอกจากคุณย่าที่ลำพังดูแลตัวเองยังแทบไม่ไหว ก็คงมีแค่ตัวผมเท่านั้นที่ต้องคอยโอบกอดและปลอบโยนตัวเอง
ไม่เคยให้กำลังใจใคร และยิ่งไม่เคยมีใครหน้าไหนหยิบยื่นความปรารถนาดีให้ผม
ทว่าในวันนี้...ผมกลับอยากทำมันขึ้นมา
แต่ทำยังไงล่ะ...
“อ้าว เรียกแล้วเงียบ เก้อเลยเรา” ได้รับความเฉยชากลับไป แทนที่คนข้าง ๆ จะจ๋อยสนิท กลับหัวเราะออกมา...ประหนึ่งว่าเข้าใจนิสัยของผมเป็นอย่างดี
บอบช้ำแบบนั้น เธอยังสามารถหัวเราะได้อีกเหรอ
เก่งนะ เพิ่งรู้ว่าเมย์...เป็นคนเก่งขนาดนี้
End Describe.
“สุกี้ร้านนี้อร่อยมาก อยากลองไหม?”
“...” การ์วินพยักหน้า เออออทั้งที่สีหน้ายังราบเรียบเช่นเดิม
เมื่อได้รับการยืนยันจากเพื่อนร่วมโต๊ะฉันจึงออเดอร์กับเด็กเสิร์ฟอย่างไม่รอช้า เสร็จสิ้นถึงลากสายตากลับมา จับจ้องคนตัวสูงในยูนิฟอร์มถูกระเบียบซึ่งนั่งสงบนิ่งไร้ปากเสียงอยู่ฝั่งตรงข้าม
เป็นความบังเอิญที่ชวนให้ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าจะเจอการ์วินแถวบ้านตัวเองเข้าพอดี ฉันเลยถือโอกาสชวนเขากินข้าวเย็นแถวนี้ ไหน ๆ ก็ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งสามวัน
แต่ให้ตาย...
ดูเหมือนเขาจะโดนพวกนิสัยไม่ดีกลั่นแกล้งในระหว่างที่ฉันไม่อยู่นะ ดูสิ มุมปากช้ำอีกแล้ว มือหนา ๆ นั่นก็เหมือนมีรอยถลอกเพิ่มมานิดหน่อยด้วย
“การ์วิน” ฉันละสายตาจากข้อนิ้วซึ่งดูแข็งกระด้างผิดกับภาพลักษณ์เนี้ยบจัดเป็นริมฝีปากเรียบตึง อันปรากฏรอยช้ำสดใหม่ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“...” ตอนแรกเขานั่งมองแก้วน้ำ แต่พอถูกเรียกก็ดึงสายตาขึ้นมา
“ช่วงที่เราขาดเรียน นายโดนรังแกอีกแล้วเหรอ” คงหนีไม่พ้นพวกนั้นอีกแน่ ๆ
“เธอมากกว่า” นอกจากไม่ตอบคำถามกันแล้ว การ์วินยังพูดจาแปลกประหลาดชวนให้มุ่นคิ้วด้วยความงงงวย “ไม่มาเรียน”
“อืม ใช่”
“โดนทำร้ายเหรอ”
“...” น้ำเสียงที่ถูกปรับให้ทุ้มลึกและกดต่ำเป็นพิเศษทำเอาตัวฉันเงียบไป และยิ่งรู้สึกซับซ้อนไปกันใหญ่...เมื่อพบว่านัยน์ตาสีหม่นของเพื่อนร่วมห้องผู้เงียบขรึมกำลังจับจ้องผิวแก้มด้านที่ยังปรากฏรอยช้ำ
...นี่คือหลักฐานของบทลงโทษที่ยังหลงเหลือ
บทลงโทษที่ฉันได้รับจากพ่อแท้ ๆ
ผ่านมาสามวันยังจางลงได้เท่านี้เอง แล้วฉันจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอเพื่อน ๆ
“เธอ” การ์วินเอ่ยเรียกด้วยสรรพนามที่ยังสั้นกระชับเหมือนเดิม “เจ็บไหม”
เป็นประโยคคำถามที่แสนธรรมดา และน้ำเสียงที่เขาใช้ก็สุดจะราบเรียบ แต่ทำไมนะ...
“...ชินแล้ว” นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ยักไหล่อย่างขอไปที แสร้งแสดงให้คนตรงหน้าเห็นว่าแผลแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้