หญิงสาวเดินออกไปนอกบ้านเปิดก๊อกน้ำหยิบสายยางขึ้นมารดน้ำต้นไม้ตามปกติ แต่สายตากลับเหม่อมองไปที่บ้านหลังใหญ่ ภายนอกบ้านเงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่ รดน้ำดอกไม้และต้นไม้ที่เธอปลูกไว้จนทั่วแล้วถึงเดินไปปิดก๊อกน้ำ
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังทักมาจากด้านหลังรั้วทำเอาจัสมินสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“นั่นมะลิใช่ไหม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม
“พะพี่วายุ”
คนที่เรียกชื่อเล่นของเธอแบบนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากรุ่นพี่คนเดียวเท่านั้น จัสมินยืนตัวแข็งทื่อมองชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงรั้วบ้านด้วยความตกใจระคนดีใจ รู้สึกดีใจมากๆ จนเก็บอาการไม่อยู่เพราะไม่คิดว่าจะเจอเขาอีกแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มและรอยยิ้มบางๆ บนเรียวปากหนา ดวงตาคมเข้มสีดำสนิมมองจ้องมาที่เธอเขม็ง จัสมินยกมือขึ้นไหว้ชายหนุ่มตามมารยาท ถึงอย่างไรเขาก็อายุมากกว่าเธอสามปี วายุพยักหน้ารับไหว้พลางหลุบสายตาลงมองเสื้อยืดสีขาวที่เปียกน้ำนิดๆ และกางเกงขาสั้นที่ร่างเล็กสวมใส่อยู่ก่อนจะเบือนสายตามองไปทางอื่นแทนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
วายุกระแอมกระไอออกมาเบาๆ เมื่อสบสายตากับเธอเข้า
“ไม่เจอกันนานเลย มะลิสบายดีไหม”
“สบายดีค่ะ พี่วายุล่ะคะสบายดีไหม”
“สบายดี อาพิกุลสบายดีไหมแล้วสรัลล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“แม่กับน้องสบายดีค่ะ พี่วายุกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ เอ่อ..แล้วคุณอาเพ็ญแขกับพี่นทีกลับมาด้วยไหมคะ”
“ไปคุยกันในบ้านพี่ไหม มะลิทานข้าวหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“ดีเลย งั้นมาทานข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม จะได้คุยกันยาวๆ ด้วย”
“อย่าเลยคะ มินเกรงใจน่ะ” บนสนทนาที่ลื่นไหลไม่เหมือนคนที่ไม่ได้เจอกันนานสามปีทำให้จัสมินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย พี่วายุก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย
“เกรงใจอะไรกัน เมื่อก่อนพี่ยังเคยไปทานข้าวที่บ้านเราอยู่บ่อยๆ จริงสิ พี่ซื้อของฝากมาให้มะลิกับคุณอาแล้วก็สรัลด้วยนะ กะว่าจะเอามาให้ที่บ้านอยู่พอดี” วายุคลี่ยิ้มบางๆ สายตาคมยังมองใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอไม่วางตา
“มาสิ พี่ทานข้าวคนเดียว ถ้ามีคนมาทานเป็นเพื่อนด้วยก็คงดี”
“ก็ได้ค่ะ รอแป๊บนะคะ” จัสมินก้มหน้าลงมองเสื้อยืดสีขาวที่เปียกน้ำเป็นดวงอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ทันจะเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อจะเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ เสียงทุ้มต่ำก็ทักขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวพี่ไปเปิดประตูให้”
“พะพี่วายุคะ”
ชายหนุ่มขยับตัวเดินตรงไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านทันที จัสมินที่กำลังจะขยับปากพูดทักท้วงออกมาก็เงียบเสียงไปทันที รีบเดินไปเปิดประตูบ้านของตัวเองก่อนเดินไปที่หน้าประตูบ้านข้างๆ ที่ชายหนุ่มกำลังเปิดประตูและยืนรออยู่ก่อนแล้ว
หลังจากร่างเล็กเดินเข้ามาด้านในบ้านแล้วถึงปิดประตูและลงกลอนประตูรั้วไว้ตามเดิม วายุเดินตามหลังหญิงสาวไปเรื่อยๆ ขณะสายตาก็ลอบมองสำรวจอีกฝ่ายไปด้วย
ผมเธอยาวขึ้นและถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่วนสูงไม่เพิ่มขึ้นเลยสักนิดเดียว เตี้ยยังไงก็เตี้ยอยู่แบบนั้น จะมีที่เปลี่ยนไปก็แค่ใบหน้าที่ดูสวยหวานขึ้น หน้าอกขนาดใหญ่เกินตัวและบั้นท้ายกลมงอนที่ดูจะเจริญเติบโตสวนทางกับส่วนสูงของเธอ
“เข้ามาสิ”
เสียงทุ้มต่ำที่ดังอยู่ใกล้ๆ ทำให้จัสมินรู้สึกแปลกๆ เขาเดินเข้าประชิดตัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ร่างเล็กขยับตัวออกห่างเล็กน้อย หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เธอพยักหน้าตอบก่อนจะเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในบ้าน
ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ทุกๆ เดือนจะมีคนเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยและทำความสะอาดภายในบ้านหลังนี้อยู่ตลอด จัสมินมองเฟอร์นิเจอร์หรูหราที่เหมือนสมัยครั้งที่คุณย่าอรพินยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างยังดูดีเหมือนเดิม จะมีเพียงของใช้บางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยเท่านั้น คงจะเป็นผ้าม่านใหม่สีแดงไวน์กับรูปวาดตกแต่งบนผนังห้องที่ดูจะมีการนำมาติดตั้งใหม่ เธอมองสำรวจภายในบ้านที่เมื่อก่อนเคยเข้ามาบ่อยๆ อยู่ครู่ใหญ่ ไม่ได้สังเกตชายหนุ่มที่ยืนคุยกับแม่บ้านอยู่ พอสั่งงานเสร็จแม่บ้านวัยกลางคนทั้งสองก็เดินออกไปเพื่อจัดการตามที่เจ้านายสั่ง
“ไปทานอาหารกันเถอะ พี่อยากคุยกับมะลิหลายเรื่องเลย วันนี้วันหยุดเรามีธุระไปไหนหรือเปล่า”
“คะ เอ่อ..ไม่ค่ะ” จัสมินหันกลับมามองชายหนุ่มด้วยความขัดเขินเล็กน้อย เธอมัวแต่สนใจมองแต่ภายในบ้านเพราะไม่ได้เข้ามาที่นี่เกือบสามปีแล้ว จนลืมสนใจเขาไปชั่วขณะ
“ตามพี่มา”
“ค่ะ”
เธอเดินตามหลังชายหนุ่มไปอย่างว่าง่าย ถึงเขาไม่บอกเธอก็ยังจำได้ดีว่าห้องรับประทานอาหารอยู่ตรงไหน น่าแปลกที่เขาพาเธอเดินออกมาที่ศาลาไม้ในสวนแทนที่จะเป็นห้องรับประทานอาหาร จัสมินมองบนโต๊ะที่มีอาหารวางอยู่ก่อนแล้ว มันเป็นเมนูอาหารเช้าแบบง่ายๆ พวกขนมปังปิ้ง ไข่ดาว เบคอน ไส้กรอกและแฮมที่จัดวางในจานสีขาวขนาดใหญ่ เนยและแยมที่วางอยู่ข้างๆ ชามผลไม้รวมที่จัดมาอย่างสวยงานน่าทาน
“นั่งสิมะลิ”
จัสมินหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มก่อนลงมือทานอาหารไปพร้อมๆ กันกับเขา
พวกเขาทั้งคู่คุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปๆ ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องเรียนและเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ตอนที่เขาอยู่ต่างประเทศ จัสมินเพิ่งรู้ว่าเขากลับมาไทยได้หลายเดือนแล้วและกำลังยุ่งอยู่กับการทำบริษัทเกี่ยวกับBlockchain พวกสกุลเงินดิจิทัลและการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีของตัวเองอยู่ ส่วนอาเพ็ญแขยังอยู่ที่เมืองนอกกับพี่นทีซึ่งกำลังเรียนปริญญาตรีอยู่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเรื่องที่จัสมินอยากรู้ที่สุดก็คือเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากกว่า พี่วายุดูเหมือนจะเลี่ยงพูดถึงเรื่องนี้ตลอดการสนทนาจนจัสมินอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
ไม่รู้ว่าเขามีแฟนไหมหรือแต่งงานแล้ว พอเห็นนิ้วนางซ้ายยังไม่มีแหวนประดับนิ้วอยู่ จัสมินก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
พี่วายุยังใจดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็รู้สึกว่าพี่วายุในตอนนี้กลับมีบุคลิกที่แตกต่างจากเมื่อก่อนอยู่มาก เขาดูสุขุมและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น คงเพราะไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกนานและตอนนี้ก็เป็นเจ้าของบริษัทที่ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นไปอีก
สายตาคมเข้มที่มองจ้องมาตรงๆ ในบางครั้งก็ทำให้จัสมินรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ