บนต้นไม้สูงที่แผ่กิ่งก้านออกไปไกลและเชื่อมต่อกับต้นไม้อื่น ๆ ด้านบนนี้ให้ความร่มรื่น ทั้งเป็นเกาะกำบังที่ดี
เนื่องจากอยู่ในช่วงเวลากลางคืนทั้งยังมีสัตว์กินเนื้อและแมลงหลายชนิดอยู่ด้านล่าง กวนเฉินหลางจึงเลือกพักอยู่บนนี้
“หากไม่พลัดตกลงไป เจ้าคงมีชีวิตรอดได้อีกหนึ่งคืน”
อวิ๋นมู่หลันถลึงตาใส่เขา ทั้งที่อยากสงบเสงี่ยมไม่คิดกวนใจกวนเฉินหลาง แต่เขาเป็นคนปากร้าย พูดจาดี ๆ กับผู้อื่นไม่เป็น
‘ข้าดูแลตัวเองได้ หาใช่สตรีอ่อนแออย่างที่ท่านคิด!’
“ประเสริฐ เช่นนี้ข้าควรส่งเสริมเจ้าให้มาก”
ชายหนุ่มเอ่ยจบก็ปรับสมดุลในร่างกาย ยามนั้นเหงื่อซึมบนหน้าผาก การหายใจก็ควบคุมลำบากกว่าปกติ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อเข้ามาในค่ายกลเขาต้องรับมือหลายชีวิต หนึ่งในนั้นคือเมิ่งถู อีกฝ่ายแสร้งป่วยไข้ หลังจากเขาใช้ตาข่ายสุนัขดักจับตัวแล้วส่งขังคุกในค่ายทหาร แต่เหนี่ยวซีกังซึ่งประมาทและบ้าอำนาจคิดอวดบารมีของตน จึงปล่อยเมิ่งถูกับเชลยนับร้อยชีวิต ก่อนไล่ต้อนฝ่ายนั้นด้วยการยิงธนูเพื่อให้เข้ามาในพื้นที่อันตรายนี้
“ข้าทำทั้งหมดล้วนประสงค์ดีต่อแม่ทัพกวน นานเท่าไหร่ที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขค่ายกลได้ ฮ่องเต้ก็เร่งให้คลี่คลายเรื่องนี้มาพักใหญ่ หากเราสามารถใช้ค่ายกลนี้ได้ในภายภาคหน้าล้วนเป็นผลดี”
“แต่เจ้าปล่อยชาวหนานหยางเข้าไปในนั้น”
“ถูกต้อง ในเมื่อพวกมันล้วนมีฝีเท้าดีและยังเชี่ยวชาญทำด่านศึก และตั้งค่ายกลเจ็ดพิสดาร เช่นนั้น ข้าจึงยืมมือพวกมันมาใช้ในครั้งนี้”
“นอกจากโง่เขลา ยังปล่อยเสือเข้าป่า”
กวนเฉินหลางตวาดใส่รองแม่ทัพเหนี่ยว และเขาโมโหจัดเกือบใช้ดาบในมือตัดหัวของรองแท่ทัพเหนี่ยวเสียแล้ว หากโจวจื่อเว่ยไม่ห้ามไว้
“ท่านมีแผนเช่นไร กล่าวมาให้หมดรองแม่ทัพเหนี่ยว”
กุนซือหนุ่มเอ่ยถามเหนี่ยวซีกัง
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าอาจไม่เก่งด้านศึกอย่างแม่ทัพกวน แต่เรื่องใช้คนข้าพอมีไหวพริบอยู่บ้าง เชลยที่ข้าปล่อยตัวไปพร้อมเมิ่งถู... มีคนของข้าอยู่หลายชีวิต แน่นอน... พวกมันจะตามประกบเมิ่งถู หากเขาแก้ค่ายกลของปรมาจารย์จางสำเร็จ รางวัลตอบแทนก็คือความตายเท่านั้น”
ถึงจะได้ยินเหนี่ยวซีกังเอ่ยถึงแผนการที่วางไว้ แต่กวนเฉินหลางหาได้ยินดีหรือชมเชยเขา
“หากไม่มีคำสั่งข้า ต่อไปนี้คนที่อยู่ในค่ายอินทรีทองคำต้องเชื่อฟังข้าเพียงผู้เดียว ผู้ใดขัดขืน ข้ากวนเฉินหลางจะสั่งปลดตำแหน่งและไล่กลับบ้านเกิดเสีย”
เหนี่ยวซีกังทำท่าจับหนังสือที่ส่งตรงมาจากรัชทายาท พร้อมป้ายของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่จะละเว้นโทษของเขา
“แม้แต่คนอยู่วังหลวง ก็ไม่มีสิทธิ์สั่งการใดในกองทัพอินทรีทองคำ!”
คำพูดของเฉินกวนหลางคือสิ่งยืนยันให้ทุกคนปฏิบัติตาม ดังนั้นเหล่าคหบดีและขุนนางรวมถึงองค์ชายต่างสกุลที่เหนี่ยวซีกังเชิญมาร่วมสนุกในค่ายทหารจึงถูกไล่ตะเพิดกลับเมืองหลวงทันที!
เมื่อเข้ามาในค่ายกล กวนเฉินหลางสูญเสียทหารไปสิบนายด้วยกัน ส่วนอีกสองคนเขาสั่งให้จับตาดูเมิ่งถู ซึ่งฝ่ายนั้นบาดเจ็บหลังจากปะทะฝีมือกันและเมิ่งถูมีวรยุทธ์ไม่โดดเด่นนักแต่นิยมใช้วิชามารชั้นต่ำอย่างไร้ศักดิ์ศรี อีกฝ่ายลอบกัดเขาโดยใช้พิษคางคกและวิชาเข็มเงินพันเล่มซึ่งกวนเฉินหลางหลบได้ทันอย่างหวุดหวิด ทว่าอย่างไรเสียถึงไม่ได้ถูกทำร้ายโดยตรงแต่พิษก็กระตุ้นให้ร่างกายแม่ทัพหนุ่มปั่นป่วนจนครองสติแทบไม่ไหว
อวิ๋นมู่หลันนั่งอยู่ห่างจากกวนเฉินหลางเล็กน้อย สังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาไม่สู้ดีเหมือนก่อนหน้านี้ กระทั่งเวลาผ่านไปสักพักนางก็ตกใจเมื่อเขาดึงอาวุธที่ปักอยู่บนแขนข้างหนึ่งทิ้ง เป็นแขนข้างที่เขายื่นขวาง ทางนางไว้ก่อนหน้านี้
อาวุธดังกล่าวมีลักษณะน่ากลัวด้วยมีห้าแฉกอีกทั้งดูเหมือนจะอาบยาพิษ!
ดวงตากลมโตลอบมองอีกฝ่ายและคิดอยู่ในใจ
อวิ๋นมู่หลันไม่อยากเชื่อว่าเขาปกป้องนาง ทว่าสุดท้ายดูจากรูปการณ์มันเป็นเช่นนั้น และภาพก่อนที่นางจะกอดกับเขาจนร่างกายแทบผสานเป็นหนึ่งเดียวฉายขึ้นในหัว กวนเฉินหลางได้รับบาดเจ็บเพราะยื่นมือเข้าช่วยนาง
ทุกครั้งที่เห็นกวนเฉินหลางใบหน้าเขาเย็นชามองแล้วเต็มไปด้วยความลึกลับชวนให้ครั่นคร้ามใจ ผิดแต่ยามนี้มันซีดลงถึงสามส่วน อีกทั้งดวงตาเขาหรี่ปรือราวคนไร้เรี่ยวแรง
ริมฝีปากบางที่มุมด้านบนเป็นรอยหยักสวยเปลี่ยนเป็นสีคล้ำจัด และยามนี้เขามองมาที่อวิ๋นมู่หลัน นางจึงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ
ชายหนุ่มใช้แขนข้างหนึ่งถอดเสื้อของตนออก ซึ่งดูเหมือนไม่ทันใจจึงได้ยินเสียงฉีกขาด!
อวิ๋นมู่หลันไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำ กระทั่งเสื้อเขาหลุดออกจากร่าง และใช้ฟันกัดเป็นเส้นยาว ๆ เพื่อพันแผลและห้ามเลือด
‘ข้าอยู่ตรงนี้ อย่างไรก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง’
กวนเฉินหลางอ่านภาษามือและปากของนางที่ขยับไหว อันที่จริงเขาอยากให้นางช่วย แต่เมื่อครู่ในยามร่างกายแนบชิดกันทั้งที่เขาสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ทว่าร่างกายกลับมิอาจควบคุม จิตใจก็สับสน หัวใจเขาเต้นแรงรัวราวกลองศึก
แน่ล่ะ เขาต้องการนาง อยากลูบไล้ อยากสัมผัส และแทรกความหวานอันใหญ่โตเข้าไปในกายสาว ยิ่งมองเขาก็ปวดเกร็งจนเผลอถอนหายใจหนัก ๆ ติดกัน ความเป็นชายเขามันพองขยายและตั้งชันมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว และไร้ท่าทีจะสงบลง!
‘ถึงจะบ้าใบ้และอัปลักษณ์ ขะ… ข้าก็หาได้แล้งน้ำใจ’
นางต่อว่าเขา ดวงตากลมโตเพ่งพิศร่างกายแกร่ง เขามีกล้าม เนื้องดงาม ผิวขาวเหลือง หลายส่วนมีแผลเป็น มองแล้วชวนให้ตระหนกอยู่สักหน่อย
ความเงียบระหว่างสองคนกินเวลาอยู่ราว ๆ หนึ่งอึดใจ กวนเฉินหลางก็ส่งเสียงแหบแห้งขึ้น
“นะ… น้ำ!!”
หญิงสาวมองคนตัวสูงใหญ่ที่นั่งพิงกับกิ่งไม้ใหญ่ อยู่บนนี้แต่ร้องเรียกหาน้ำ นางจะไปหาจากที่ใด
“นะ… น้ำ... ขอน้ำให้ข้า”
อวิ๋นมู่หลันมองซ้ายแลขวา กระทั่งเห็นเขาชี้ไปยังเถาไม้เลื้อยที่พันอยู่ตามต้นไม้ จากนั้นนางก็หยิบมีดสั้นของเขา และค่อย ๆ ขยับตัวช้า ๆ เพื่อไปตัดเถาคันขาวมา
หญิงสาวมักช่วยงานครัว อีกทั้งการใช้มีดไม่เป็นปัญหา เมื่อนางตัดเถาคันขาวได้ก็ลองบีบดูพบว่ามีน้ำไหลออกมาจริง ๆ
“อย่าดูดน้ำจากเถาไม้โดยตรง เจ้าอาจคันทั้งตัว และธาตุ
หยินในร่างกายจะเสียสมดุล”
เขาพยักเพยิดให้นางบีบเถาคันขาวใส่ในถุงหนังที่เขาพกติดตัวมาด้วย
อวิ๋นมู่หลันทำตาม แต่ดูเหมือนคนสั่งการอยู่สลบไปเสียดื้อ ๆ ด้วยความร้อนใจนางจึงนำเถาคันขาวไปจ่อใกล้ ๆ ปากชายหนุ่มแทน อีกด้านหนึ่งนางพยายามบีบน้ำให้ไหลออกมา ทว่าเขากลับไม่เปิดริมฝีปากรับ นางจึงพยายามเปิดปากเขาด้วยการตบแก้มเบา ๆ สลับการบีบปาก หากแต่มันไร้ผล
‘ตัวโตเสียเปล่า... เหตุใดถึงได้อ่อนแอนัก’
นางว่าจบจึงทุบตัวเขาหนึ่งที และสัมผัสได้ถึงไอร้อนซึ่งฉาบอยู่ท่วมร่างสูงใหญ่ สาเหตุคงเป็นเพราะพิษที่เขาได้รับจากอาวุธลับนั่นเอง
ยามนี้นางจึงตัดสินใจหาทางช่วยเขาให้ฟื้นคืน มือเรียวสวยบีบและบิดเถาคันขาวเพื่อให้น้ำหยดเข้าปากของตน กระทั่งได้จำนวนมากพอก็กลั้นใจทำในสิ่งซึ่งน่าละอายอยู่สักหน่อย
ริมฝีปากนางประกบปากเขาแล้วออกแรงปล่อยน้ำเข้าไปสู่ร่างกายอีกฝ่าย
คราแรกเขาต่อต้าน ทว่าพอรู้ว่าเป็นน้ำจึงกลืนลงไปอีกอึกใหญ่ และท่าทางเหมือนคนกระหายหนัก
‘แค่นี้ท่านก็คงไม่ตาย ฮึ ใครกันแน่ เป็นผู้มีพระคุณช่วยเหลือผู้อื่น มิใช่มู่หลันคนนี้หรอกหรือ’
แต่แทนที่เขาจะฟื้น กลับหลับตานิ่ง ๆ และแสดงอาการเหมือนคนเพ้อไข้
อวิ๋นมู่หลันจึงฝืนใจอีกหน นางปลุกปล้ำเถาคันขาวจนได้น้ำเต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นก็ทำเช่นเดิม
เมื่อส่งน้ำให้อีกฝ่ายจนหมดจากริมฝีปากอวบอิ่ม อวิ๋นมู่หลันพลันรู้สึกถึงความผิดปกติ!
เอ๊ะ...
นางกำลังถูกล่วงเกิน... ใช่หรือไม่
ลิ้นร้อนของบุรุษร่างสูงใหญ่แทรกเข้ามาในโพรงปากก่อเกิดความหวามไหวและซาบซ่านใจ!
“อื๊อ... อะ อ๊ะ...”
นางร้องขึ้นแล้วรีบผละห่างจากอกแกร่งที่เปลือยเปล่า
ทว่าดิ้นแรงไปหน่อยจึงเจียนพลัดตกลงจากกิ่งไม้ เมื่อขยับตัวใหม่ คราวนี้กลายเป็นว่านางกลับนั่งทับบนตักอุ่นจัดของแม่ทัพหนุ่ม
ในยามนั้นลิ้นของเขาตวัดรัดลิ้นนาง ดูดดุนเย้าหยอกราวกับชวนให้เล่นสนุกด้วยกัน ยิ่งตวัดรัดแน่นนางก็ครางเสียงกระเส่า สองมือเรียวสวยทุบหัวไหล่หนา ทว่าทุบได้เพียงสองสามหนมือนุ่มนิ่มก็อ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต่อกร
อวิ๋นมู่หลันไม่เคยถูกบุรุษจูบมาก่อน และหนนี้มันเกินต้านทาน นางเคยคิดว่าเหม็นขี้หน้ามัจจุราชกวน ชาตินี้จะไม่เข้าใกล้เขา ทว่าเหตุใดเมื่อเขากวาดลิ้นอยู่ในโพรงปากจึงเป็นนางที่เผลอไผลและเกิดความซาบซ่านบริเวณท้องน้อย
นางเสียวสยิว ภายในแอ่งเนื้อนิ่มแช่มชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว!
จากนั้นมือใหญ่ไล้สัมผัสเอวบางก่อนเลื่อนลงเบื้องล่างและล้วงลึกจนถึงกระโปรงที่นางสวมอยู่
สายรัดเอวถูกปลดออก สาบเสื้อแบะอ้า เผยเนื้อสาวสีขาวผ่องนวลเนียน มือใหญ่ที่มีไอร้อนเคลื่อนไหวรวดเร็วเหลือเกิน จนอวิ๋นมู่หลันหัวหมุนไปหมด รู้อีกทีเสื้อผ้านางก็มิอาจปกปิดทรวดทรงเร้าใจบุรุษ
อวิ๋นมู่หลันหลับตาพริ้มเขินอายทั้งเต็มไปด้วยความรู้สึกรัญจวน เมื่อกลีบสวาทอันบริสุทธิ์ถูกนิ้วอุ่นยาวใหญ่ทั้งแข็งแรงแตะวนไปมา กายสาวสั่นสะท้านเกินต้านทาน ปลายนิ้วสาก ๆ ไล้วนบนกลีบงามฉ่ำแฉะ พอเริ่มบี้ติ่งเนื้ออันบริสุทธิ์หญิงสาวก็หวีดเสียงสูง
“อี๊... อะ... มะ… ไม่”
นางร้องประท้วงอย่างไม่ได้ศัพท์ แต่ร่างกายกลับตอบสนองเขา ขณะเดียวกันเต้างามสวยข้างหนึ่งถูกเขาควักจากร่มผ้าแล้วนวดเฟ้นสลับการดูดดุนยอดปลายถันสีชมพูเข้ม และเขาดูดรัวแรงราวกับต้องการคั้นน้ำหวานออกมากลืนกิน!