เฉินรุ่ยเผิงรู้สึกตัวเบาหวิว และอย่างไรไม่ทราบ เมื่อครู่ยังเดินหลงทางอยู่เลย และก็หลับไปแล้วด้วย หากตอนนี้เขากลับมาอยู่ทางหมารอดด้านข้างบ้าน ซึ่งเขาเคยแอบออกมาสองสามหน มันเกือบถูกปิดไปแล้ว แต่เด็กชายขอร้องพี่ทหารเอาไว้ ฝ่ายนั้นก็ใจดี แถมบอกว่า ออกจากบ้านตอนไหน ต้องแจ้งให้ทราบด้วย
เมื่อเขาหมุดเข้าไป กางเกงมันเกี่ยวกับบางสิ่ง ถึงอย่างนั้นก็พยายามดันตัวเองไปข้างหน้าสุดแรง
“หิวแล้ว...ไปกินข้าวดีกว่า”
เขาบอกตัวเองอย่างนั้น แล้วนึกถึงรสชาติอาหาร ที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องครัว และวันนี้ต้องร้องฮู้เร่ ออกมา
เด็กชายไม่เคยรู้มาก่อนว่าในห้องครัวมีของกินแปลกตาด้วย รู้แบบนี้เวลาที่พ่อให้คนไปส่งที่บ้านหลี่ เขาจะหาทางซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังนี้ ไม่ยอมไปไหน
ดวงตาเรียวมองไปยังผู้หญิงที่สวมชุดสวยงาม ใบหน้าของหล่อนยิ้มหวาน และดูใจดีกับเด็กเล็กอย่างเขา
“หม่าม้า” เฉินรุ่ยเผิงว่าแล้ววิ่งโผเข้าไปก่อนอีกฝ่าย เขากอดขาหล่อนแน่น พร้อมกันนั้นก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดมันทำได้ยากจริงๆ
“เผิงเผิง ไม่ได้ขี้แย เผิงเผิงหิว มะ มัน มีเสียงร้องจ๊อกๆ” เขาบอกอีกฝ่าย และยิ่งน่าแปลกใจกว่าเดิม เขาพูดชัด ไม่มีการติดอ่างหนักเหมือนที่ผ่านมา
เด็กชายว่าจบ หญิงสาวก็นั่งคุกเข่าลง และช่วยเขาเช็ดน้ำตา
“หนูรู้จักฉันด้วยเหรอ”
ฝ่ายอันหว่านถิงถาม
เอ๊ะ สิ่งที่เฉินรุ่ยเผิงได้ยินฟังแล้วเขาก็ไม่เข้าใจ แม่เป็นแม่ของเขานี่นา
“หม่าม้า... กลับบ้านมาหาเผิงน้อยแล้วใช่ไหม”
อันรุ่ยเผิงถาม คราวนี้เขาไม่ร้องไห้ หากยิ้มและตบมือเปาะแปะแสดงออกให้รู้ว่าดีใจมากแค่ไหน ที่แม่อยู่ตรงหน้าเขา
“ไม่มีใครเลย ป่าป๊า...ให้ไปอยู่บ้านหลี่ เผิงเผิงไม่ชอบ ถูกแกล้งด้วย”
เฉินรุ่ยเผิงบอก และทำหน้ามุ่ย ซึ่งเป็นตอนนั้นที่หล่อนเห็นว่า เสื้อผ้าเด็กชายมอมแมม
“แล้วใครมาส่งเผิงน้อย”
เขาได้ยินคำถาม ก็ยกนิ้วมือขึ้นจุ๊ปาก ก่อนพยักหน้าสองสามที แล้วเอ่ยเสียงเบาเหมือนการกระซิบเผื่อให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน
“วิ่งมาคนเดียว เผิงเผิงหนีคนใจร้าย คนใจร้ายชอบพ่นควันบุหรี่ และกินเหล้า”
พอเฉินรุ่ยเผิงบอก
“เผิงน้อย ตอนนี้แม่กลับมาแล้ว แม่... จะปกป้องลูกชายคนดีของแม่เองจ๊ะ”
หล่อนพูดแล้วก็อุ้มเด็กชายขึ้น ก่อนหอมแก้มมอมแมมเขาไปหนึ่งฟอดใหญ่
เฉินรุ่ยเผิงเขิน แต่เขาอยากให้แม่รักเขาแบบนี้เสมอมา ในตอนนั้น เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง มือเล็กๆ ขยุกขยิก ก่อนจะร้องเสียงดัง
“ไข่แตก... หม่าม้า ไข่แตกหมดเลย ไม่มีของกินแล้ว”
เด็กชายพึมพำอยู่อย่างนั้น ก่อนจะรู้สึกว่า ภาพของแม่ค่อยๆ หายไป
อิงซินออกมาด้านนอกบ้าน ตั้งใจเก็บมะเขือเทศ และดูไข่เป็ดสักหน่อย พอเห็นว่ามีร่างกลมๆ นอนอยู่ตรงแปลงผัก หญิงวัยกลางคนจึงตกใจ กึ่งก้าวกึ่งวิ่งจนล้มคว่ำ พอยืนขึ้นได้รีบตรงเข้าไปหา
“โอ้ คุณชายเผิง ทำไมมานอนตรงนี้”
อิงซินว่า แล้วอุ้มอีกฝ่าย แต่ถึงจะเห็นว่าตัวเล็กกว่าเด็กทั่วไป หากเฉินรุ่ยเผิงหนักอยู่พอสมควร
เธออุ้มเด็กชายตอนแรกตั้งใจจะพาเข้าไปที่บ้านของตน ทว่ากลัวเขาจะไม่สบายหนัก เลยต้องรีบไปแจ้งทหารยามที่ประตูหน้า ให้รีบส่งข่าวถึงเฉินซือหยาง
ในขณะที่เธอวุ่นวายอุ้มเด็กชาย ก็ปรากฏว่ามีทหารเดินเวรยามพอดี
“สหายยาม!”
ชายหนุ่มรีบหันขวับมาทางอิงซิน
“สหายแม่บ้าน มีสิ่งใด อ้าวนั้น คุณชายเผิง”
“ใช่ รีบส่งข่าวแจ้งนายท่านเฉินเดี๋ยวนี้เลย”
หวังเฮ่อ ผู้เป็นทหารยามพยักหน้ารับคำสั่ง จากนั้นก็เป่าลูกหวีดให้สัญญาทหารคนอื่น ขณะเดียวกันก็เตรียมรับเฉินรุ่ยเผิงจากอิงซินเข้าไปในรั้วอีกฝั่ง แต่เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่อันหว่านถิง ได้ยินเสียงดัง หล่อนก้าวออกมานอกชายคาเรือนพัก แล้วเห็นจุดนั้นมีคนสนทนาอยู่ ตอนแรกแต่ชะเง้อคอมอง ด้วยหลายสิ่งในโลกคู่ขนาน หล่อนยังไม่ทราบว่าใครดี ใครร้ายกับตนบ้าง ทว่าพอเห็นร่างที่อิงซินอุ้ม หล่อนก็ไม่รอช้าพุ่งตัวมาด้วยความเร็ว
“อุ๊ย นายหญิงเฉิน ระวังคะ คุณชายน้อยตัวหนัก”
อันหว่านถิงเองก็ตกใจ หล่อนเพิ่งทำแผลให้ตัวเองเสร็จ และได้ยาแก้ปวดที่อยู่ในกล่องกินตามลงไปเมื่อครู่ อาการไม่ได้ดีขึ้นมากเท่าไหร่ ทว่าความห่วงใยสายเลือดของตนนั้นไม่อาจรอช้า
“เผิงน้อย”
หล่อนเรียกเด็กชายเสียงดัง การแสดงออกที่เปี่ยมด้วยความห่วงใน ทำให้ทุกคนตาค้าง
“ลูกเผิง ไม่สบายตรงไหน”
น้ำเสียงหญิงสาวเครียดจัด พอหล่อนอุ้มเด็กชายแนบอก เตรียมพาเขาเข้าบ้าน อิงซินและหวังเฮ่อ ต่างอ้าปากหวอ พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้
แต่ไหนแต่ไร อันหว่านถิงไม่เคยตี ต่อว่าเด็กชาย และนั่นรวมถึงการอุ้มเขาสักเท่าไหร่ หน้าที่หลักๆ ในการเลี้ยงเฉินรุ่ยเผิงตกเป็นของพี่เลี้ยง แล้วก็อิงซิน หากพักหลัง อันหว่านถึงมีอารมณ์ไม่คงที่ หล่อนดื่มหนักในบางครั้ง จึงพาลใส่พี่เลี้ยงเด็กหาว่า คิดอยากเป็นเมียน้อยของเฉินซือหยาง รวมถึงอิงซินนั้นก็คือแม่เล้าที่คอยคัดสาวใช้กับพี่เลี้ยงเด็กมาบริการสามีของหล่อน
เรื่องเหลวไหลเหล่านี้ เพราะเครียด ทั้งยังถูกคุมพื้นที่ไม่ให้ไปร่วมวงสังสรรค์ที่เมืองหลวง ด้วยยามนี้ การเมืองค่อนข้างร้อนแรง และมีข่าวว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบใหม่ๆ ได้ทุกเมื่อ และอันหว่านถิงเป็นถึงภรรยาของผู้บัญชาการเมืองฝูเจียง หล่อนย่อมเป็นเป้าหมายที่อาจถูกเล่นงานได้ง่ายๆ
“นายไปเปิดประตูให้ฉัน และพี่สาว รีบบอกคนแจ้งข่าวคุณเฉินด่วน”
อันหว่านถิงบอกแล้วสาวเท้าก้าวๆ อุ้มเด็กชายไปยังประตู โดยได้หวังเฮ่อเปิดประตูให้
เมื่อเข้าไปถึงด้านใน อันหว่านถิงวางเด็กชายที่โซฟากว้าง และเขานอนหลับตา ร่างกายเพียงแค่อุ่นไม่ได้ร้อน เสื้อผ้ามอมแมม แต่มีกลิ่นบุหรี่ เรื่องนี้ที่ทำให้อันหว่านถิงรู้สึกโมโห และโกรธทั้งตัวเอง ทั้งคนดูแลเด็กชาย
เมื่อวางหลังมือสัมผัสหน้าผากเขา ประเมินคร่าวๆ ได้ว่า ไม่ได้เป็นไข้ อาจเพลียเท่านั้น หล่อนจึงโล่งใจไม่ต้องพาเขาไปหาหมอ ให้กินยาลดไข้ หรือเพื่อความสบายใจ ก็ให้หมอตีนเปล่าที่ประจำอยู่ในเขตนี้มาดูอาการได้
“ทหาร เธอช่วยงานที่นี่ใช่ไหม รีบไปเอาน้ำอุ่นมาให้ฉัน จะเช็ดตัวให้เผิงน้อย”
หวังเฮ่อเป็นพลทหารรับใช้ ตรวจยาม ดูแลทั้งงานส่วน และความสะอาดบ้าน โดยมีเขากับทหารอีกสองคนคอยสับเปลี่ยน ซึ่งทำหน้าที่ได้ดีเสมอมา บ้านพักหลังนี้จึงสะอาด เป็นระเบียบ แต่เดิมมีสาวใช้สามคน แต่อันหว่านถิงไล่ออกหมด
“นายหญิง จะเช็ดตัวให้คุณชายเผิงหรือขอรับ”
พอถูกยามย้ำ หญิงสาวก็หันมามองนายทหารหน้าอ่อน ไม่ได้โมโห หรือหงุดหงิด หล่อนขำด้วยซ้ำ เพราะหวังเฮ่อแสดงท่าทางพิลึก เหมือนไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินสิ่งนี้
“ฉันไม่ทำให้ลูกแล้วใครจะทำ นายรีบไปเอาน้ำอุ่น และหยิบผ้าขนหนูมาสักสองผืน อ่อ... เสื้อผ้าของเผิงน้อยด้วยล่ะ เอาตัวที่ใส่สบายๆ”
หวังเฮ่อพยักหน้าตาม และอมยิ้ม เขาสุขใจเหลือเกิน
“นายยิ้มอะไร”
“ผมมีความสุข คุณชายเผิงต้องมีความสุขเหมือนผมนี่แหละ เขาบอกว่า อยากให้นายหญิงอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าให้ และป้อนกับข้าวอร่อยๆ ผมกับเขาเคยอธิษฐานด้วยกันบ่อยๆ เพื่อให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
น้ำเสียงซื่อๆ ของพลทหาร ทำให้อันหว่านถิง รับรู้ได้ถึงความมีน้ำใจของหวังเฮ่อ พลางสัมผัสแก้มของลูกชาย โอ้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดสิ่งใดหนอ เจ้าของร่างจึงเลือกทิ้งโอกาสในการดูแลเด็กที่บริสุทธิ์และแสนน่ารักเช่นนี้