"ทานข้าวหน่อยนะลูก"
คุณหญิงมลทิพย์รีบป้อนข้าวต้มที่ยังเหลืออยู่เต็มถ้วยเพราะลูกชายแทบไม่แตะมันเลย
"ผมไม่หิว"
"ลูกอย่าเครียดไปเลยนะ หมอบอกว่าอีกไม่นานอาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้น"
"ผมอยากอยู่คนเดียวครับแม่"
"แต่ว่า"
"ให้ลูกพักผ่อนเถอะ"
พ่อเลี้ยง 'พงษ์พัฒน์' อดีตเจ้าของไร่ส้มจับไหล่บางของเมียรักเอาไว้เชิงห้าม เขาเข้าใจในความรู้สึกลูกชายตัวเองดีว่าเจ็บปวดแค่ไหนที่อยู่ๆ ต้องมามองไม่เห็นแบบนี้
แม้จะมองไม่เห็นแต่ประสาทสัมผัสทางหูก็ได้ยินเสียงคนเดินออกไป ภูผายกมือขึ้นแตะเบาๆ บนผ้าพันแผลสีขาวซึ่งพันรอบดวงตา เขาไม่มีน้ำตาสักหยด แต่มันเจ็บและสมเพชตัวเองมากเหลือเกิน
"อาการของคุณภูผาดีขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้วนะครับ วันนี้หมอจะถอดผ้าพันตาออกให้"
เสียงอาจารย์หมอเจ้าของไข้พูดขึ้น พร้อมกับใช้มือค่อยๆ แกะผ้าและอุปกรณ์ปิดดวงออก ความมืดมิดทำเอามือหนากำหมัดแน่นเพื่อข่มอารมณ์
"เมื่อไหร่ผมจะมองเห็น"
น้ำเสียงติดเย็นชา เอ่ยถามอาจารย์หมอประจำตัวที่ดูแลเขาอยู่
"เรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลา แต่โชคดีที่ดวงตาไม่ได้รับการกระทบกระเทือนมาก ทำให้มองไม่เห็นแค่ชั่วคราว อีกไม่นานระดับการมองเห็นจะค่อยๆ ดีขึ้นครับ"
หลายวันที่ชายหนุ่มต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เขานั่งทอดขาลงบนเตียงคนไข้ หูทั้งสองข้างได้ยินเสียงคนเดินไปมาเข้าออกห้องอยู่เป็นระยะ
"พ่อเลี้ยงครับ เดี๋ยวผมประคองพาไปแต่งตัวครับ"
ลูกน้องคนสนิทอย่าง 'มืด' เดินมาประคองเจ้านายหนุ่มอย่างระมัดระวัง เขารีบหาเสื้อและกางเกงมาใส่ให้ร่างสูงตรงหน้า
"มึงเป็นอะไร"
เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเบาๆ ทำเอาภูผาเอ่ยถามติดรำคาญ เขาไม่อยากให้ใครมาสงสารหรอกนะ
"ผมขอโทษครับพ่อเลี้ยง"
"รีบๆ กูเบื่อจะอยู่ที่นี่เต็มทนแล้ว"
"ครับ รถมารออยู่หน้าโรงพยาบาลแล้วครับ"
"ยกเลิกงานแต่ง!"
เสียงของคุณหญิงเจ้าของไร่ส้มถามอย่างตกใจ เธอมองคนตรงหน้าอย่างจับผิด
"พอดีว่ายัยป่านได้ทุนไปเรียนต่อโทที่อเมริกา ทางดิฉันก็ไม่อยากจะขัดลูก"
"แล้วเรื่องหนี้สินที่จะให้พวกฉันช่วยแปลว่ายกเลิกด้วยใช่ไหม"
"เปล่านะคะ! แต่จะให้ยัยปิ่นลูกสาวคนเล็กมาแต่งแทน"
ร่างบอบบางโดนผลักออกมา มือเรียวรีบยกมือขึ้นสวัสดีชายหญิงตรงหน้าทั้งสองด้วยความนอบน้อม
"หนูชื่อปิ่นเหรอ"
"ค่ะ หนูชื่อปิ่นมุกค่ะ"
"จะมาแต่งแทน แล้วรู้หรือเปล่าว่าลูกชายฉันตามองไม่เห็น"
"ทราบค่ะ"
คุณหญิงมลทิพย์มองเด็กสาวตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู ใบหน้าหวานที่แต่งเติมเครื่องสำอางน้อยนิด แต่กลับน่ามองกว่าคนที่เกือบจะแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้เสียอีก
ไม่อยากจะยอมรับว่าเธออยากได้คนตรงหน้ามาเป็นลูกสะใภ้ตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้าคาตาตอนไปทาบทามแล้ว วันนั้นยังรู้สึกเสียดายไม่ใช่น้อยที่ได้อีกคนมา
สงสัยดวงคงจะสมพงษ์กัน!
ดวงตาคู่สวยตวัดมองหญิงสาวรุ่นลูกที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังแม่ตัวเอง
"ดีจัง ต่อโททั้งๆ ที่เรียนไม่จบปริญญาตรี"
น้ำเสียงเรียบเย็นพูดขึ้นอย่างรู้ทัน ทำเอาสองแม่ลูกยืนเหงื่อตก ป่านแก้วรีบเงยหน้ามองหญิงมีอายุด้วยแววตาถือดี
อวดฉลาด!
"งั้นหนูปิ่นรีบเก็บของ พรุ่งนี้ฉันจะให้คนมารับไปเชียงราย"
"ไปพรุ่งนี้เลยเหรอคะ"
"ใช่จ้ะ เรื่องงานแต่งคงต้องเลื่อนไปก่อน เพราะลูกชายของฉันยังไม่หายดี"
"ไม่เป็นไรค่ะคุณพี่ ให้ยัยปิ่นไปดูแลตาภูผาที่ไร่ก่อนก็ดีเหมือนกันนะคะ"
ปิ่นมุกหันมองแม่ตัวเองที่ยืนยกยิ้มกว้าง โดยไม่ถามความเห็นเธอเลยสักคำ หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างสมเพชกับชีวิต
"ส่วนเรื่องเงิน ฉันจะให้คนมาจัดการให้"
มือเล็กยกขึ้นลูบศีรษะเด็กสาวตรงหน้าแผ่วเบา ก่อนจะยกยิ้มกว้างให้กับว่าที่นายหญิงไร่ส้มคนใหม่
"แล้วเจอกันจ้ะ ลูกสะใภ้คนสวย"
ปิ่นมุกกลับมาถึงบ้านเกือบจะค่ำ เพราะต้องออกไปซื้อของใช้ต่างๆ เพื่อเตรียมตัวไปเชียงรายในวันพรุ่งนี้
"อีแก่นั้นมันคงรู้ว่าหนูไม่อยากแต่งกับลูกชายตาบอดของมัน"
"พูดให้มันดีๆ หน่อยยัยป่าน"
แม้จะตามใจลูกสาวคนโตทุกอย่าง แต่คนเป็นแม่กลับนิ่งเฉยไม่ได้เมื่อได้ยินคำหยาบคายแบบนั้นออกมา
"ป่านไม่พูด หึ ยัยคุณนายนั้นสงสัยคงจะชอบยัยปิ่นมากกว่าป่านเสียอีก"
ทั้งท่าทาง น้ำเสียงที่เอ็นดูน้องสาวของเธอทำเอาร่างบอบบางหงุดหงิดขึ้นมาทันที ความรู้สึกขี้อิจฉาผุดขึ้นจากใต้จิตสำนึกทุกครั้งเมื่อเห็นคนน้องได้ดีกว่าตัวเอง
"ก็ดีแล้วนิ น้องแกจะได้ไปอยู่กับเขาโดยไม่มีปัญหาอะไร"
"แต่เราก็คิดถูกนะคะแม่ ปิ่นมันเหมาะกับพวกป่าพวกเขาถิ่นบ้านนอกแบบนั้น"
"แม่ง่วงแล้ว ไปนอนก่อน"
ปิ่นมุกนั่งพับเสื้อผ้าใส่ลงกระเป๋า หูทั้งสองข้างได้ยินทุกคำพูดของพี่สาวที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ความรักที่มอบให้น้องสาวอย่างเธอมีอยู่น้อยนิดจนแทบมองไม่เห็น
ร่างเล็กลากกระเป๋าใบใหญ่ออกมา ก่อนจะส่งให้คนขับรถยกใส่ท้ายรถ ดวงตาคู่สวยหันมองไปหน้าประตูบ้านอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเห็นแม่ตัวเองเดินเข้ามาใกล้ๆ
ปิ่นมุกยืนแข็งทือเมื่อโดนสวมกอด มือเรียวค่อยๆ ลูบแผ่นหลังลูกสาวคนเล็กแผ่วเบาอย่างรู้สึกผิด
"ถึงแล้วโทรมาหาแม่นะ"
ใบหน้าหวานพยักหน้าตอบ ทันทีที่ขึ้นรถ มือเล็กรีบปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างทำนบแตก ความรู้สึกน้อยใจ ความกลัว จู่โจมเข้ามาจนหญิงสาวตั้งรับไม่ทัน
นานหลายชั่วโมงที่แววตาเลื่อนลอยมองสองข้างทางด้วยความรู้สึกหวั่นๆ เขาคนนั้นจะดีกับเธอหรือเปล่านะ
สิ่งตรงหน้าเรียกความสนใจจากหญิงสาว ดวงตากลมโตเพ่งมองป้ายข้างหน้าเมื่อรถตู้หรูเลี้ยวเข้าไป
'ไร่ส้มเหนือภูผา'
ปิ่นมุกเกาะขอบกระจกรถเพื่อมองต้นไม้ที่มีลูกสีส้มเต็มไปหมด ไร่ที่นี่กว้างมากกว่าที่เธอคิดเสียอีก แถมคนงานในไร่มีเยอะจนตาลายไปหมด
"ถึงแล้วครับนายหญิง"
คำสรรพนามที่เรียกทำเอาร่างเล็กยิ้มแห้งส่งไป ขาเรียวสวยค่อยๆก้าวลงจากรถ คนงานในไร่และอีกหลายๆ คนยืนเข้าแถวต้อนรับเธออย่างอบอุ่น
"สวัสดีค่ะนายหญิง/สวัสดีครับนายหญิง"
เสียงพร้อมเพรียงพูดขึ้น หญิงสาวรีบยกมือขึ้นรับไหว้คนตรงหน้าด้วยความรู้สึกเคาะเขิน
"อิจฉาพ่อเลี้ยงเนอะ นายหญิงทั้งสวย ทั้งอ่อนหวาน"
"ใช่ๆ ขาวอย่างกับหลอดไฟเลย"
"สวยอย่างกับดาราในทีวีเลยเนอะ"
เสียงกระซิบหันไปพูดกัน เมื่อได้เห็นนายหญิงไร่ส้มคนใหม่ ก่อนจะรีบทำหน้าแตกตื่นเพราะได้ยินเสียงข้าวของดังจากบนห้องชั้นสองของบ้าน
"เสียงอะไรคะ"
ปิ่นมุกชะงักขาทันทีที่ได้ยินเสียงของหล่นแตกข้างบน พร้อมกับเหล่าคนงานในไร่ต่างหน้าเสียขึ้นหลังจากได้ยินคำถามนั้น
"กูบอกให้ออกไป!"
เสียงตวาดลั่น ทำเอาร่างกำยำของลูกน้องคนสนิทอย่างไ****ดวิ่งหนีตายออกมา
"พ่อเลี้ยงไม่กินข้าวอีกแล้ว"
"ไอ้มืด นี้คุณปิ่นมุก นายหญิงคนใหม่"
'ป้าหญิง' แม่บ้านคนเก่าแก่รีบเอ่ยบอกลูกชายที่วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องเจ้านายหนุ่ม
"นายหญิงเหมือนฟ้ามาโปรด ช่วยหว่านล้อมให้พ่อเลี้ยงทานข้าวหน่อยเถอะครับ"
"เดี๋ยวค่ะๆ เกิดอะไรขึ้นคะ แล้วเสียงดังข้างบนนี้คืออะไร"
ปิ่นมุกมองกองลูกน้องที่ยืนทำหน้าละห้อย เธอรีบเดินขึ้นมาชั้นสองของบ้าน มือเล็กเปิดประตูออกก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงนั่งอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาทำเอาหญิงสาวอดที่จะเผลอมองไม่ได้
"กูบอกว่าไม่กินไงไ****ด!!"
เพล้ง!
"ว้าย!"
ร่างบอบบางรีบกระโดดหลบแก้วน้ำที่ถูกปามาชนผนังจนแตกกระจาย เสียงกรีดร้องไม่คุ้นเคยทำเอาภูผาชะงักค้าง
.
.
.