สับสนปนโหยหา ตอนที่ 3

3076 Words
“หอม...หอมเป็นอะไร!” ตมิสาสะดุ้งตัวนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังพอสมควรอยู่ข้างๆ เธอ หญิงสาวละทิ้งความเหม่อลอยแล้วหันกลับไปมอง เพื่อนที่ทำงานของเธอนั่นเอง                                                                                               “มีอะไรเหรอแก้ว...”             “แก้วเรียกหอมตั้งนานแล้วนะคิดอะไรอยู่”                                       “เปล่านี่...กำลังคิดเรื่องงานนี่แหละแก้วมีอะไรเหรอ” หญิงสาวแก้เก้อยิ้มให้เพื่อนร่วมงานนิดหนึ่ง                                                                            “บอสให้แก้งานที่แก้วส่งไปเมื่อเช้า นี่ไง...” เพียงพรส่งเอกสารในมือให้เพื่อน “แก้เหรอ...แล้วพี่ยศว่ายังไงบ้าง ให้แก้ตรงไหน ยังไง” เธอทำหน้าเหลอหลารับเอาสิ่งนั้นมาตั้งบนโต๊ะทำงานตัวเอง รู้สึกผิดที่ไม่ตั้งใจทำงานให้ดีหญิงสาวรู้ตัวว่าไม่มีสมาธิเอาเสียเลย             “หัวหน้าขีดเอาไว้ให้แล้ว บอสสั่งมากับหัวหน้าน่ะแล้วฝากแก้วมาให้ หอมเป็นอะไรเหรอช่วงนี้ดูแปลกๆ ไปนะทะเลาะกับคุณกัณฑ์รพีรึไง” เพียงพรมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วงก่อนจะทอดร่างนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ กัน             “เปล่าไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน หอมคงนอนดึกติดต่อกันหลายวันก็เลยเบลอๆ ช่วงนี้คุณซีลทำงานกลับดึกทุกวัน หอมเลยอยู่คนเดียวแล้วนอนไม่หลับ” “เป็นแบบนี้เอง ถ้าอย่างนั้นวันไหนแฟนหอมไม่อยู่ หอมก็มานอนกับแก้วเหมือนเดิมสิ” เพียงพรเสนอ เนื่องจากทั้งคู่เคยพักอยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่สมัยตมิสาเข้ามาทำงานที่นี้ใหม่ๆ จนกระทั่งต่างก็มีแฟนจึงได้แยกย้าย                            “คุณซีลไม่ยอมหรอก อีกอย่างหอมเกรงใจแฟนแก้วด้วย” ตมิสาพูดอ้อมแอ้มแต่ยังยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อน             “นี่ๆ สองสาวคุยอะไรกันอยู่เห็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งของวันนี้หรือยัง” ทั้งคู่หันไปมองตามเสียงกระตือรือร้นที่ใกล้เข้ามายังพวกตน                                       “มีอะไรเหรอคะพี่แจ้” เพียงพรเอ่ยถาม เห็นรุ่นพี่ที่ตัวเองเรียกถือหนังสือพิมพ์มาด้วยพร้อมเพื่อนร่วมงานอีกสองคนตามหลังมาติดๆ                 “ข่าวจ้ะข่าว...เกิดขึ้นบนคอนโดตรงข้างบริษัทเรานี่เองดูสิๆ น่ากลัวมากๆ” แจ้ส่งหนังสือพิมพ์ให้สองสาวที่นั่งคู่กันดู สีหน้าของเธอบ่งบอกถึงความกลัวอย่างที่พูดจริงๆ เพียงพรรับเอามากางอ่านไปพร้อมๆ กับตมิสาที่อยากรู้ด้วยเช่นกัน “มีคนตายเหรอ...ตายจริง!”             “ก็ตายจริงๆ นะสิมีคนพบศพเมื่อวานวันนี้ก็ขึ้นหน้าหนึ่งเลย ยังจับฆาตกรไม่ได้ด้วย” แจ้ตอบเมื่อเพียงพรอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นพาดหัวข่าว             “เป็นแฟนกันนี่...โห...เล่นกันถึงตายเลยเหรอเนี่ย ไม่น่าเลยผู้หญิงก็สวยผู้ชายก็หล่อนะ” เพียงพรอุทานกึ่งบ่น เพราะหน้าหนังสือพิมพ์นั้นแปะรูปเบลอของศพผู้ตายซึ่งเป็นหญิง และรูปถ่ายของเธอก่อนเสียชีวิตรวมไปถึงรูปของฆาตกรซึ่งในข่าวระบุว่าน่าจะเป็นแฟนของผู้เสียชีวิต             “ใช่...พวกนี้ก็เป็นแบบนี้แหละแก้วเธอไม่รู้รึไง นี่ก็เล่นวิตถารกันจนพลั้งมือฆ่ากันตายคาเตียงเลยดูสิ คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจเห็นหล่อๆ สวยๆ ใครจะรู้ว่ามีรสนิยมพิสดารขนาดนี้ เธอลองอ่านข้างในสิเขาว่าตามตัวผู้หญิงที่ตายนะมีรอยช้ำเต็มไปหมดทั้งรอยกัด รอยตีด้วยแส้ แล้วยังมีน้ำตาเทียนอีกนะเธอ” แจ้ยังสาธยายต่อโดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นกำลังบั่นทอนหัวใจใครบางคนให้เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ “อึ๋ย...ไม่อ่านหรอกน่ากลัว...เธอจะอ่านไหมหอม” เพียงพรบอก             “ไม่...ไม่จ้ะ...ฉันก็ไม่อยากอ่านเหมือนกัน”             “อืม...อย่าอ่านเลยน่าขยะแขยงมาก ไม่รู้คบกันได้ยังไง ฝั่งผู้หญิงไม่รู้เหรอว่าแฟนตัวเองวิตถารขนาดนี้ ยังสาวยังสวยอยู่แท้ๆ แถมยังรวยอีกต่างหากน่าเสียดาย” เพื่อนอีกคนด้านหลังเอ่ยสมทบเพราะตัวเองอ่านรายละเอียดทั้งหมดแล้ว สามสาวที่รู้เรื่องเป็นอย่างดีต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วเบ้ปาก ทำหน้าแหยราวกับหวาดกลัวสุดฤทธิ์แล้วก็จับกลุ่มเม้าท์กันต่อ                                              “เขาอาจจะไม่รู้ตั้งแต่แรกก็ได้ ข่าวก็บอกปกติผู้ชายเป็นคนเรียบร้อย อ่อนโยน พวกญาติๆ ก็ไม่มีใครรู้เรื่องด้วยว่าเขาเอ่อ...ซาดิสม์ หรือไม่บางทีสองคนนี่เขาอาจมีรสนิยมเดียวกันก็ได้” แจ้ยังฟุ้งต่อไม่เลิกเพื่อนสาวอีกสองคนที่มาด้วยกันก็เออออลงความเห็น             “ช่วงนี้มีข่าวแบบนี้ออกบ่อยนะ วันก่อนก็มีนักท่องเที่ยวซื้อบริการผู้หญิงอย่างว่าไปแล้วฆ่าตายทำนองเดียวกับรายนี้แหละ”             “โอ๊ย! น่ากลัว ฉันว่าเดี๋ยวนี้นะจะเลือกผู้ชายสักคนนอกจากต้องระวังดูตาม้าตาเรือไม่ให้ไปลากเมียใครมาทำผัวแล้วยังต้องมาส่องอีกนะว่าเป็นโรคจิตหรือเปล่า เหลือดีๆ น้อยลงทุกวันชะนีเอ๊ย!! เฉาตายกันเป็นเบือ”             “จะหาดีๆ โธ่! หาที่มันเป็นผู้ชายแท้ๆ ให้ได้ก่อนเหอะ”             “ขอโสดมาราธอนดีกว่าถ้าต้องเจอแบบนี้ ไม่เอาด้วยหรอก”             สามสาวยังคงวิจารณ์ถึงเรื่องดังกล่าวอย่างเมามัน โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าทุกๆ คำพูดทุกๆ เหตุการณ์ที่กล่าวกันออกมานั้นได้ถูกซึมลึกและสร้างความขยาดให้กับใครคนหนึ่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพียงพรนั่งฟังเพื่อนๆ พูดคุยกันปกติโดยไม่แสดงความคิดเห็นอะไรเพียงแค่เออออด้วยกันพยักหน้าในฐานะที่อยู่ร่วมวงสนทนา                                                                                                                      แต่ตมิสากลับนั่งนิ่งหายใจติดขัดขึ้นทุกขณะ มือเล็กสั่นเทาเอื้อมไปกำปกเสื้อคอจีนที่ติดกระดุมถึงเม็ดสุดท้ายไว้แน่นราวกับอยากจะดึงทึ้งให้ขาดวิ่นปลดปล่อยความอึดอัดที่กำลังเล่นงานรอบด้าน                                                        ใบหน้าขาวนวลก่อนหน้าซีดเผือดเหงื่อเริ่มผุดพรายขึ้นมาตามไรผม หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอฝืดซ้ำๆ อยากจะหายตัวไปจากที่ตรงนี้เต็มที                       “คุยอะไรกันน่ะ งานการทำกันเสร็จแล้วรึไง” และแล้วระฆังช่วยชีวิตตมิสาก็ดังขึ้น นุติหัวหน้าแผนกของพวกเธอนั่นเอง เมื่อการมาเยือนแบบไม่มีใครได้ตั้งตัวชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาเข้มจึงถูกหันมองเป็นตาเดียวกัน             “โธ่!! พี่ยศมาไม่ให้สุ้มให้เสียงตกใจหมด งานน่ะทำแน่ค่ะ แต่พอดีไปเจอข่าวที่เหตุการณ์มันอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานเราเข้าก็เลยยาวไปหน่อย...แฮ่ๆๆ” ตัวตั้งตัวตีอย่างแจ้แถลง             “ยาวกันจบรึยังจะได้ไปทำงานกันต่อเรื่องอื่นเอาไว้ตอนเลิกงานก็ได้ พวกนี้นี่ไร้สาระกันไม่รู้จักเวล่ำเวลา” นุติติงสาวๆ สายตาพานเหลือบไปยังคนไกลสุดที่มีท่าทางผิดปกติ             “อ้าว! แล้วหอมเป็นอะไรล่ะนั่นหน้าซีดเชียว” เมื่อหัวหน้าเอ่ยปากบรรดาเพื่อนสาวก็หันไปให้ความสนใจตมิสาบ้าง เพราะก่อนหน้าต่างก็ไม่มีใครสังเกตเห็น             “ตายจริงหอม...หน้าเธอซีดมากเลยจะเป็นลมหรือเปล่าเนี่ย” เพียงพรถามพร้อมลุกเข้าไปประคองเพื่อน             “ไม่...ไม่เป็นไร ฉันแค่มึนหัวนิดหน่อย”             “ไม่สบายทำไมไม่บอก มา...ฉันช่วยปลดกระดุมให้ดีกว่าติดถึงคอซะขนาดนั้นเดี๋ยวก็ลมจับกันพอดี”                                                                    “ไม่ต้อง!!” เธอบอกเสียงดังอย่างตื่นตระหนกพร้อมปัดมือเพียงพรที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่กับคอเสื้อของตัวเอง ทุกคนพากันเป็นห่วงและจัดแจงหายาดมยาหม่องมาส่งให้             “พาไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ...” นุติบอก                                                     “หอมไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่นอนดึกเท่านั้นเองขอออกไปสูดอากาศข้างนอกก่อนนะคะเดี๋ยวคงดีขึ้น” หญิงสาวบอกเลี่ยงกระชับเสื้อเนื้อผ้าซาตินสีเขียวอ่อนตัดเย็บทันสมัยที่ปกปิดมิดชิดของตัวเองอย่างหวงแหน                              “นี่ยาดมจ้ะ...ให้เราไปเป็นเพื่อนไหม” แจ้ส่งยาดมของตัวเองให้เพื่อนรุ่นน้องก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง             “ไม่เป็นไรค่ะ หอมไปคนเดียวได้ หอมสบายดีนะคะ” บอกเสร็จเธอก็ลุกขึ้นก้มหน้าก้มตารีบเดินออกไปจากตรงนั้น ทุกคนมองตามด้วยความห่วงใยแต่ต่างก็คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก ตมิสาคงแค่นอนดึกอย่างที่เจ้าหล่อนว่าบวกกับเสื้อผ้าที่ชวนอึดอัดนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาอย่างที่เห็น             ทางเดินด้านนอกห้องทำงาน ตมิสาฝืนบังคับร่างซวนเซของตัวเองให้พ้นสายตาเพื่อนร่วมงานทั้งหลายมานั่งตรงระเบียงเธอหายใจคล่องขึ้นแต่ก็ยังรู้สึกหวิวๆ วิงเวียนเหมือนจะเป็นลมอย่างที่เพียงพรบอกเอาไว้จริงๆ             “ไม่นะ...คุณซีลต้องไม่เป็นแบบนั้นแน่ๆ เขาแค่ชอบ...แค่...” เธอพยายามหาเหตุผลมาลบล้างให้กับคนรักหนุ่มทั้งที่ใจนั้นหวั่นตระหนกจนแทบล้มทั้งยืน ที่ผ่านมาอะไรหลายๆ อย่างบ่งบอกชัดเจนว่ากัณฑ์รพีชอบความรุนแรงขณะหลับนอนกับเธอ แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าถึงขั้นที่เรียกว่าซาดิสม์หรือเปล่า เพราะเขาก็อ่อนโยนและปฏิบัติกับเธออย่างเอาใจใส่ทุกอย่าง แต่...ในข่าวที่พวกเพื่อนๆ เล่ากันผู้ชายที่พลั้งมือฆ่าแฟนตัวเองตายเพราะเล่นพิเรนทร์กันอย่างถึงพริกถึงขิงก็มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับกัณฑ์รพีมาก แค่คิดว่าต่อไปอาการของเขาจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนลืมตัวทำอะไรโดยไม่มีสติขึ้นมาจุดจบของเธอคงไม่ต่างจากผู้หญิงที่เป็นข่าวนั่น ความกลัวก็เกาะกินหัวใจจนชาหนึบไปหมด                                “เราจะทำยังไงดี...” ตมิสาบ่นกับตัวเอง เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจจริงๆ กับข่าวนั้นประกอบกับตัวเองก็ไม่ได้ชื่นชอบพฤติกรรมของคนรักเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแต่หากเพราะรักเขาจึงยอมตามใจ และตัวเขาเองก็เคยรับปากว่าจะไม่เลยเถิดถึงขั้นต้องเลือดตกยางออก                                                                        แต่ดูสิ...ทุกวันนี้เธอต้องห่อหุ้มตัวเองเพื่อปกปิดเนื้อหนังที่เต็มไปด้วยร่องรอยไม่ให้คนอื่นเห็น แล้วมันจะแตกต่างกันตรงไหนกับคำว่าทำร้ายร่างกาย             ผู้ร่วมงานหลายคนเดินผ่านไปมาเรื่อยๆ ทำให้ตมิสาตัดสินใจลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อหลบไปยังที่ไหนสักแห่งที่เธอจะปล่อยน้ำตาแห่งความกดดันนี้ให้ไหลชะล้างออกไปบ้าง กัณฑ์รพีดีกับเธอ เขารักเธอ ข้อนั้นหญิงสาวรู้ดี แต่หากยังทนอยู่กับความรู้สึกที่สวนทางกันอยู่แบบนี้ก็แทบมองไม่เห็นอนาคตเลยว่าจะเป็นอย่างไร หรือเธอกับเขาจะต้องอยู่กินกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมายรอเพียงให้วันหนึ่งแตกหักขึ้นมาจริงๆ แล้วก็แยกทางต่างคนต่างไป หากถึงวันนั้นแล้วไม่รู้ว่าเธอจะทำใจได้หรือเปล่าหากต้องเลือกระหว่างความรักที่ทั้งหอมหวานและทรมานไปพร้อมกันกับการต้องอยู่เหมือนตายทั้งเป็นเพราะไม่มีเขาแต่เธอจะไม่ต้องเจ็บปวดทางกายอีก ก็ไม่รู้ว่าอย่างไหนมันจะทุกข์ระทมมากกว่ากัน                                                 “คิดอะไรอยู่เหรอครับคุณซีล หรือว่าหนักใจเรื่องคืนพรุ่งนี้” ชายหนุ่มร่างใหญ่เอ่ยถามผู้เป็นนายที่ยืนเหม่อออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงาน                    “นิดหน่อย...” เขาตอบสั้นๆ เพราะที่ลูกน้องพูดมาก็มีส่วน หากเรื่องที่ทำให้ต้องคิดตระหนกจริงๆ กลับเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากที่ทำให้จิตใจอยู่ไม่สุขเอาเสียเลย                                                                                                   “ผมคิดว่าทางนั้นไม่กล้าลงมือช่วงแรกๆ นี่หรอกครับ คงยังไม่เคลื่อนไหวอะไรให้เป็นที่สังเกต”                                                                             “ไอ้โชคล่ะเป็นไงบ้าง...” กัณฑ์รพีเปลี่ยนเรื่องถามถึงหนอนบ่อนไส้ที่จับตัวมาได้เมื่อคราวก่อน สายตาของเขายังมองกวาดไปยังเบื้องหน้าขณะสนทนากับลูกน้องหนุ่ม                                                                                                        “ผมจัดการส่งมันกับน้องสาวไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วครับ”                             “ดีแล้ว ดูท่าทางมันคงถูกหลอกใช้ไม่รู้เรื่องลึกซึ้งอะไรจริงๆ ฉันไม่อยากทำร้ายใครโดยไม่จำเป็นถ้ามันไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยโดยตรง แต่สำหรับตัวต้นเหตุ...มันต้องได้รับบทเรียนจากฉันบ้าง...” ชายหนุ่มยังกล่าวเสียงเรียบทุ้มลึกทว่าฟังดูแล้วน่าขนลุกยิ่งนักเพราะวาทะนั้นเคลือบแฝงไว้ด้วยความกรุ่นโกรธที่อัดอั้นรอวันปะทุเดือดออกมา             “คุณซีลจะเอายังไงล่ะครับ เราก็มัวแต่ยุ่งๆ เรื่องร้านไม่ได้คุยเรื่องนี้กันเลย หรือรอให้ร้านเปิดก่อนสักระยะแล้วค่อยจัดการดีไหมครับ ผมว่าพวกนั้นยังไม่รู้แน่นอนว่าความชั่วถูกเปิดโปงหมดแล้วแต่มันก็คงระวังตัวอยู่เหมือนกันรอให้ตายใจอีกนิดเราจะเชือดได้ถนัดมือนะครับ”             “ไม่...ฉันจะเชือดมันฉลองคืนเปิดร้านนี่แหละ!” กัณฑ์รพีบอกอย่างแน่วแน่ ความสูญเสียทั้งหมดของเขาในเมื่อมันมีคนก่อมันผู้นั้นก็ต้องชดใช้             “อะ...อะไรนะครับ แต่คืนพรุ่งนี้ร้านก็จะเปิดแล้ว เราก็ยังไม่ได้วางแผนอะไรเลยแล้วจะเอายังไงล่ะครับ ผมทำไม่ถูกแล้วเนี่ย”                                          “จะตีเหล็กต้องตีตอนที่มันร้อนๆ จะเล่นงานใครต้องหาฤกษ์ที่มันนึกไม่ถึง คืนพรุ่งนี้ร้านจะเปิดอย่างเป็นทางการ ฉันในฐานะเจ้าของก็ต้องอยู่ดูแลทุกอย่างตามระเบียบ พวกที่จ้องจะขยี้ก็คงไม่อาจหาญลงมือซ้ำสองเพราะเพิ่งจะเกิดเรื่องไปหมาดๆ ขืนมีอะไรผิดสังเกตมันก็จะถูกจับได้ทันที แล้วแกลองคิดดูสิว่าหน้าไหนมันจะคิดได้ว่าเราตามไปเอาคืนในตอนนั้น...”                                             ชายหนุ่มแสยะยิ้มร้าย อาจมองว่าเขามีปัญหาวุ่นวายให้ต้องจัดการมากมายจนผลักเอาเรื่องไม่สำคัญเก็บเอาไว้สะสางทีหลัง แต่หากนั่นไม่ใช่นิสัยของกัณฑ์รพี เขาชอบ...ทำอะไรที่ใครก็คาดไม่ถึงเสมอ และทุกอย่างมันก็อยู่ในหัวอยู่แล้ว                                                                                                         “คุณมีแผนอะไร เอ่อ...พอจะบอกผมได้ไหมครับ แล้วต้องให้ผมจัดการยังไงบ้าง”                                                                                       “ไม่ต้อง...นายคอยอยู่ดูแลทุกอย่างที่ร้านแทนฉันสักครึ่งชั่วโมงก็พอ เพราะนายคือคนที่ฉันไว้ใจได้มากที่สุด ที่เหลือก็จัดหามือดีมาสักสี่ห้าคนมาให้ฉัน!” “แต่ว่า...” ลูกน้องหนุ่มมองตาผู้เป็นนายราวกับไม่อยากยอมรับหน้าที่นั้น ใจของเขามันอยากเคียงบ่าเคียงไหล่กัณฑ์รพีมากกว่า เพราะจะได้คอยให้ความช่วยเหลือหากมีเหตุการณ์คับขันและเขาก็ไม่ไว้ใจใครนอกจากตัวเองเท่านั้น             “ทำตามที่ฉันบอกอนุชาญ ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงแต่ฉันก็เป็นห่วงร้านเหมือนกัน แล้วที่ต้องลงมือจัดการด้วยตัวเอง เพราะฉันไม่ไว้ใจว่าใครจะทำงานสำคัญสองอย่างได้ดีไปพร้อมๆ กันได้เท่าฉันกับนาย...เข้าใจนะ” กัณฑ์รพีสรุป อนุชาญพยักหน้ารับรู้แม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม ที่เหลือก็รอแค่ให้เวลาในคืนสำคัญนั้น...มาถึง เมื่อธุระเสร็จมือขวาก็ออกจากห้องไปทำหน้าที่อย่างอื่นของตัวเองต่อทิ้งให้ผู้เป็นนายอยู่กับความโดดเดี่ยวอีกครั้ง เขายังคงยืนอยู่ท่าเดิมความรู้สึกเดิม แม้จะมีเรื่องสำคัญแทรกเข้ามาให้ต้องคิดเป็นระยะก็ตาม แต่ไม่ว่าจะทำอะไรหรือสิ่งนั้นจะสำคัญแค่ไหนมันก็ไม่เคยกลบปัญหาเล็กๆ เกี่ยวกับหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่กลางหัวใจเขาได้เลย                                                                                            ตมิสา...เธอช่างมีอิทธิพลกับเขามากมายเหลือเกิน ไม่เคยจำได้ว่าใครหน้าไหนจะมามีบทบาทในความรู้สึกได้เท่าเธอคนนี้นับตั้งแต่เสียบิดาและมารดาไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อสิบปีก่อน นับจากวัยยี่สิบต้นๆ ในตอนนั้นจนอายุล่วงเลยมาถึงสามสิบสองปีเต็ม ผ่านผู้หญิงมาก็นักต่อนัก บทรักร้อยพันรูปแบบแต่เหล่านั้นกลับไม่ตรึงใจเท่าผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบาง ดูจืดชืด ขี้อายและไร้เดียงสาเรื่องความรักอย่างเธอได้เลยสักนิด  หรืออาจเพราะตัวตนที่หิวกระหายอย่างหญิงสาวนางอื่นไม่ว่าในเรื่องใดก็ตามนั่นแหละที่เป็นคุณสมบัติสำคัญมัดใจเขาให้อยู่หมัดและมักใส่ใจเธอทุกเรื่องไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม และทำให้เขากลัดกลุ้มคิดไม่ตกอยู่อย่างนี้แหละ             หลายวันมานี้หลังจากรู้ตัวว่าปล่อยปละละเลยตมิสามากเกินไป เขาก็พยายามให้เวลากับเธอมากขึ้น แต่กลับกันเป็นตัวหญิงสาวเองที่ดูเหมือนจะอยากอยู่ห่างกับเขาเสียนี่ ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตมิสาดูขลาดกลัวเขาทุกเวลาตกใจและดูหวาดระแวง ซึ่งโดยปกติอาการแบบนั้นไม่ค่อยปรากฏให้เห็นชัดขนาดนี้ เว้นเสียว่าเป็นตอนที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันซึ่งมันก็กระตุ้นต่อมหิวกระหายเขาได้ดีทีเดียวล่ะ แต่พอได้สังเกตว่าตมิสาดูเปลี่ยนไปตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันแบบนี้ ใครล่ะมันจะมามีอารมณ์ไหว ถามก็ไม่บอก คุยด้วยก็หลบหลีก ดูเธอจะเกร็งๆ เพราะฝืนทำตัวให้เหมือนเดิมไม่ให้เขาจับพิรุธได้ กลายเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจยิ่งนัก รู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ                                                                                “เฮ้อ!! หอมนะหอมเธอทำให้ฉันตันไปหมดเลยรู้ไหม เอาไว้...เสร็จงานนี้ก่อนเราคงต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่องเสียที ไม่อย่างนั้นฉันคงอกแตกตายแน่ๆ” เขาพร่ำกับตัวเองเบาๆ สายตายังมองออกไปเบื้องหน้าราวกับจะสื่อความกระวนกระวายและคำพูดนี้ไปยังคนที่ตัวเองกำลังนึกถึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD