บทที่ 7. ตอน ในวันที่ไม่เหลือใคร
“ซืออิน...”
เสียงคุ้นหูเรียกชื่ออยู่ใกล้ๆ ทำให้หลิวซืออินลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าท่านย่า นางรีบลุกขึ้นสวมกอดท่านย่าด้วยความดีใจ
“ท่านย่า ท่านมาอย่างไร”
หลิวซืออินกอดรัดร่างของผู้เป็นย่าไว้แน่น น้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม
“ย่าเป็นห่วงเจ้า เป็นห่วงเหลือเกิน”
อ้อมกอดแสนอบอุ่นของท่านย่า โอบร่างของผู้เป็นหลานสาวไว้ หลิวซืออินเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเหี่ยวย่นของท่านย่า
น่าประหลาด... ใบหน้าซูบซีดของท่านที่เจนตามาตลอด กลับเปล่งปลั่งเหมือนคนปกติ แววตาดูสดใสสดชื่นไม่อมทุกข์เช่นก่อน ท่านย่ามาหานางได้อย่างไร นางอยู่บนเรือมิใช่หรือ...
หลิวซืออินเริ่มฉุกคิดเมื่อความดีใจผ่านพ้นไป
“ท่านย่า ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ”
คำถามนี้ไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงรอยยิ้มส่งมาให้ คนเป็นย่าลูบศีรษะหลานรักอย่างอ่อนโยน ดวงตาฝ้าฟางมองใบหน้างดงามนั้นด้วยแววตาอบอุ่นห่วงใย
“เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ต้องเข้มแข็งและมีชีวิตอย่างมีความสุขให้ได้”
คำสั่งสอนนั้นเจือรอยห่วงใยลึกซึ้ง คนฟังตื้นตันใจในความรักของท่านย่าจนน้ำตาซึม รีบพยักหน้ารับคำ
“เจ้าค่ะ ขอเพียงมีท่านย่าอยู่ข้างๆ ข้าก็มีความสุขแล้ว”
“หากไม่มีย่า เจ้าก็ต้องอยู่ให้ได้”
คนเป็นย่าบอกเสียงแผ่วพร่า แววตาหม่นแสงลง ขณะขยับกายลุกขึ้นยืน สร้างความแปลกใจให้หลานสาวมาก
“ท่านย่ายืนได้ ท่านย่าหายป่วยแล้วหรือเจ้าคะ”
หลิวซืออินมองร่างผอมบางอย่างตกตะลึง ท่านย่าส่งยิ้มอ่อนโยนให้หลานรัก ก่อนจะหมุนกายเดินไปยังประตู เมื่อเปิดประตูออก แสงสว่างจัดจ้าสาดส่องมา เห็นเพียงเงาร่างที่กำลังค่อยๆ เดินจากไป
“ท่านย่าอย่าไป อย่าทิ้งข้าไป!”
หลิวซืออินผวาตาม ร้องเรียกเสียงดังลั่น
นางผุดลุกขึ้นในท่าที่มือยังยื่นไปไขว่คว้า มองรอบกายด้วยความมึนงง ก่อนจะยกมือลูบใบหน้าชื้นเหงื่อ รับรู้ว่าตัวเองเพียงฝันไปเท่านั้น
“ข้าฝันไปหรือเนี่ย...”
นางนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เดินไปล้างหน้าให้สดชื่น แล้วเดินออกมานอกห้อง ข้างนอก
นางหนีเข้ามาในห้อง นอนหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ยามเว่ยเสียแล้ว
“เจ้าโจรชั่วนั่น หายไปไหนนะ”
หลิวซืออินมองหาร่างใหญ่ของคนผู้นั้น นางพาตัวเองเดินไปยังห้องครัว ก่อนจะหยุดนิ่งที่ประตู เมื่อเห็นเขากำลังทำอะไรง่วนหน้าเตาไฟ กลิ่นหอมๆ ลอยมาจากหม้อคล้ายกลิ่นต้มเนื้อ
“เจ้าทำอะไร”
หลิวซืออินส่งเสียงทักทายไปก่อน เยี่ยเหวินจ้าวหันมามอง ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างให้ ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนโยนน่ามอง
“ข้ากำลังทำเนื้อต้ม เจ้าชอบกินเนื้อหรือไม่”
“ผู้ใดบ้างไม่ชอบกินเนื้อ”
หลิวซืออินมานั่งรอที่โต๊ะ มองดูคนร่างใหญ่หยิบชามมาตักเนื้อต้มสองชาม วางตรงหน้านางชามหนึ่ง
“ข้าต้มไว้จนเปื่อยนุ่ม เจ้าลองชิมดู”
เขาวางชามข้าวพร้อมตะเกียบให้นาง แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม
"ข้าต้มเนื้อไว้เต็มหม้อ หากไม่พอตักเพิ่มได้"
จากจำนวนอาหารที่นางกินลงไปมื้อก่อนทำให้เขารู้ว่า สตรีตัวเล็กผู้นี้กระเพาะไม่ได้เล็กเลย นางสามารถกินอาหารได้เท่าผู้ชายตัวโตคนหนึ่ง
“ข้าทำขนมไม่เก่ง ทำได้แค่ถั่วแดงต้มน้ำตาล เจ้าลองกินดูก่อน”
เมื่อเห็นว่านางกินเนื้อต้มไปสามชามแล้ว เขาก็ลุกไปตักขนมหวานมาให้
"อืม ขอบคุณ มื้อต่อไปข้าจะทำกับข้าวให้เจ้ากินบ้าง"
"ได้ ในตู้นั่นมีข้าวสารและถั่ว พวกเนื้อแห้งแขวนไว้ตรงนั้น ของสดข้าเอามาทำหมดแล้ว เหลือแต่ของแห้ง"
"ข้ารู้แล้ว"
หลิวซืออินพยักหน้ารับรู้ นางยกจานชามไปล้าง เขาตามมาช่วย ต่างคนต่างเงียบไม่พูดสิ่งใด ล้างชามเสร็จนางจึงเดินหนีออกมาด้านนอกไปยืนมองดูแม่น้ำ นึกถึงความฝันเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะนางคิดถึงท่านย่ามาก จนเก็บเอามาฝัน
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
" ข้าสบายดี แล้วนี่พวกเรากำลังจะเดินทางไปที่ใดกัน"
หลิวซืออิน เก็บเรื่องราวความฝันของตัวเองเอาไว้ นางเอ่ยถามเขาถึงปลายทาง
" เมืองหนานไห่ พรุ่งนี้เช้าก็จะถึงท่าเรือแล้วข้าส่งมอบเรือเสร็จ ก็จะพาเจ้ากลับบ้าน"
///
เช้าวันต่อมาเรือก็มาถึงเมืองหนานไห่ ซึ่งเป็นเมืองติดชายทะเล เรือลำนี้ถูกขายต่อให้กับพ่อค้า ที่จะเดินทางไปยังแคว้นอื่น เยี่ยเหวินจ้าวรับหน้าที่นำเรือไปส่ง เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากจัดการกับหยวนจงเหลียงแล้ว ก็จะเดินทางไปพร้อมกับพ่อค้า แต่เขาพาตัวหลิวซืออินมาด้วย แผนการจึงต้องเปลี่ยนไป
หลังจากส่งมอบเรือเสร็จ เยี่ยเหวินเจ้าเช่ารถม้าคันหนึ่ง เพื่อพาหลิวซืออินไปส่งที่บ้านของนาง รถม้าใช้เวลาเดินทางเร็วกว่าเรือ เพียงครึ่งวันก็ใกล้ถึงอำเภอต้าโจวแล้ว
"หยุดพักที่นี่กันก่อน"
เยี่ยเหวินเจ้าสั่งให้คนขับรถม้าหยุดพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ตลอดทางทั้งสองไม่ได้พูดจากันเลย เขาบอกคนขับรถม้าว่าเขากับนางเป็นพี่น้องกัน กำลังเดินทางไปเยี่ยมญาติ คนขับรถม้าทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ถามสิ่งใด
"นี่ซาลาเปาไส้เนื้อที่ท่านสั่ง ข้าซื้อมาให้สิบลูก ข้าชิมไปแล้วลูกหนึ่ง รสชาติไม่เลว"
คนขับรถม้า จอดรถให้ม้าพักดื่มน้ำ ระหว่างนั้นเยี่ยเหวินจ้าวก็ให้เขาไปซื้อซาลาเปามาให้
"พี่ชายได้ยินข่าวอันใดน่าสนใจบ้างหรือไม่"
เยี่ยเหวินจ้าวรับถุงใส่ซาลาเปาส่งให้หลิวซืออิน ค*****นทอนให้เป็นสินน้ำใจกับคนขับรถม้า อีกฝ่ายรีบรับมาเก็บ พร้อมกับเล่าว่า
"เมื่อสี่วันก่อน หยวนจงเหลียงเจ้าของบ่อนในอำเภอต้าโจวถูกโจรฆ่าตาย เจ้าสาวที่เพิ่งรับขึ้นเกี้ยว ถูกโจรฉุดตัวไป คนสารเลวเช่นนี้ตายไป มีแต่คนยินดี"
ข่าวนี้ล้วนถูกกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง หยวนจงเหลียงเป็นเจ้าของบ่อนหน้าเลือด ย่อมมีคนเกลียดชังมากกว่านับถือ ตายไปไม่มีคนนึกเสียดายมีแต่สาปแช่ง
"ที่น่าสงสารคงจะเป็นครอบครัวเศรษฐีหลิว บุตรสาวถูกโจรฉุดจากเกี้ยวเจ้าสาวไม่พอ ยังโชคร้ายบ้านถูกไฟไหม้ คนในบ้านถูกไฟครอกตายจนหมด เฮ้อ... น่าเวทนาจริงๆ"
"ท่านว่าอะไรนะ ผู้ใดถูกไฟครอกตาย"
หลิวซืออินได้ยินข่าวนี้ ก็รีบถามขึ้นมา
"ก็ครอบครัวเศรษฐีหลิวน่ะสิ หลังจากส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว คืนนั้นไฟก็ไหม้บ้านจนไม่เหลือซาก พบเพียงศพถูกไฟครอก ยากจะแยกออกว่าเป็นผู้ใด"
คนขับรถม้าถอนหายใจออกมา ขณะที่หลิวซืออินนั่งตัวแข็งน้ำตาคลอ เยี่ยเหวินจ้าวขยับเข้ามาจับมือนางไว้
"อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ ข้าจะพาเจ้าไปดู"
"พาข้าไป พาข้าไปที"
หลิวซืออินน้ำตาไหล บีบมือเยี่ยเหวินจ้าวไว้แน่น คนขับรถม้าเห็นท่าทางของทั้งสองก็แปลกใจ เอ่ยถามว่า
"พวกเจ้ารู้จักครอบครัวเศรษฐีหลิวด้วยหรือ"
"พวกเขาเป็นญาติที่เรากำลังจะไปเยี่ยม พี่ชายท่านรีบพาเราไปเถอะ"
"ได้ๆ ข้าจะเร่งม้าให้เร็วที่สุด"
คนขับรถรีบกระโดดขึ้นรถ ฟาดแส้ให้ม้าวิ่งออกไป เพียงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงบ้านตระกูลหลิว ในช่วงเวลาเย็นเกือบค่ำ
"ถึงแล้ว พวกเจ้าลงมาดูเองเถอะ"
ภาพเบื้องหน้า ทำให้หลิวซืออินถึงกับร้องไห้ออกมา บ้านตระกูลหลิวที่นางเคยอาศัย บัดนี้เหลือเพียงเถ้าถ่าน ตัวบ้านถูกเผาจนจำสภาพเดิมไม่ได้ นางวิ่งไปมามองดูซากบ้าน หัวใจแตกร้าวไปหมด ภาพท่านย่าในความฝันผุดขึ้นมาในหัว
“เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ต้องเข้มแข็งและมีชีวิตอย่างมีความสุขให้ได้”
“หากไม่มีย่า เจ้าก็ต้องอยู่ให้ได้”
ถ้อยคำเหล่านี้ของท่านย่า คือการบอกลาเช่นนั้นหรือ
"ท่านย่า ท่านอา ท่านอาสะใภ้ เหตุใดพวกท่านทอดทิ้งข้า"
หลิวซืออินทรุดตัวลงร้องไห้คร่ำครวญ นางไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีท่านย่า ไม่เหลือผู้ใดอีกแล้ว
นางสูญเสีย สูญสิ้น หมดทุกสิ่ง มีเพียงลมหายใจกับร่างกายที่อ่อนระโหยโรยล้า ยังคงต้องฝืนมีชีวิตอยู่
"เจ้ายังมีข้า ไม่ต้องกลัว ข้าจะดูแลเจ้าเอง"
เยี่ยเหวินจ้าวเข้ามาดึงหลิวซืออินมากอดไว้ ให้สัญญากับนางและตัวเองว่า เขาจะดูแลนางไปชั่วชีวิต
///