บทที่ 13. ตอน ช่วงเวลาดีๆ ของสองเรา
เมืองหนานไห่เป็นเมืองท่าชายทะเล ผู้คนค้าขายกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะอาหารทะเล มีพ่อค้าจากเมืองต่างๆ มารับซื้อไปขายต่อ กุ้งหอยปูปลาสดๆ ราคาถูก อาหารที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องของสดจากทะเล
ยามค่ำคืน จะมีแผงขายอาหารและของกินเล่น ชาวบ้านล้วนมาเดินเล่นดื่มกินกันเป็นเรื่องปกติ ยามเมื่อมีเทศกาลโคมไฟ ยิ่งคึกคักมากกว่าเดิม ตามถนนบ้านเรือน ประดับโคมไฟสวยงาม
เยี่ยเหวินจ้าวพาหลิวซืออินออกมาเดินเล่น ชมความคึกคักของผู้คน รวมถึงอยากให้นางลองชิมอาหารทะเลสดๆ ด้วย เขาจูงมือภรรยาสาว เดินชมโคมไฟไปตามถนน เขาหยุดซื้อโคมไฟรูปผีเสื้อให้นางอันหนึ่ง
"ให้เจ้า"
"ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านพี่"
หลิวซืออินรับโคมไฟมาดูด้วยท่าทางตื่นเต้น
"เจ้าชอบหรือไม่ หรืออยากได้แบบอื่น"
เยี่ยเหวินจ้าวเอ่ยถาม เขามองใบหน้างามที่ตอนนี้ ดูตื่นเต้นดีใจเพียงแค่ได้โคมไฟอันหนึ่ง
"ข้าชอบมากเจ้าค่ะ นับตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่จากไป ไม่เคยมีผู้ใดซื้อโคมไฟให้ข้าอีกเลย"
คำพูดของนางทำให้คนฟังสะท้อนใจ เขาเองโชคดีท่านลุงรักและเอาใจใส่ จึงไม่ขาดแคลนสิ่งใด แต่หลานหรือจะสู้บุตรแท้ๆ ท่านป้าสะใภ้มักจะให้สิ่งที่ดีกว่ากับหลินตง ตัวเขากับจางเฉียนได้ของรองลงมา เทียบกับหลิวซืออินเขานับว่าดีกว่านางมาก
"เอาไว้ข้า จะซื้อให้เจ้าอีก ถ้าเรามีลูกข้าจะซื้อให้เขาด้วย"
เยี่ยเหวินจ้าวกุมมือนางไว้ พาเดินไปยังจุดปล่อยโคมลอย
"เจ้าดูสิ ผู้คนพากันปล่อยโคมไฟอธิษฐาน เราไปปล่อยโคมกันดีหรือไม่"
เมืองหนานไห่ มีการปล่อยโคมให้ลอยขึ้นฟ้า โดยเชื่อว่าหากเขียนคำอธิษฐานไว้บนตัวโคม จะส่งสารถึงเทพบนสวรรค์ช่วยประทานพรให้สมหวัง ตัวโคมทำจากกระดาษวาดลวดลายสวยงาม ด้านล่างร้อยเส้นลวดมัดผ้าดิบชุบน้ำมัน ยามเมื่อจุดไฟควันจะเข้าไปในตัวโคม ทำให้ลอยขึ้นฟ้าได้ จนกว่าไฟที่จุดจะมอดดับลง
บนท้องฟ้ามีโคมหลายร้อยใบ ลอยอยู่คล้ายกับดวงดาว ลมทะเลทำให้โคมลอยได้สูง ยามเมื่อผู้คนพากันปล่อยโคมพร้อมกัน ยิ่งดูงดงามราวกับฝูงหิ่งห้อยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
"ท่านลุง ข้าซื้อโคมอธิษฐานใบหนึ่ง"
เยี่ยเหวินจ้าวส่งเงินให้คนขาย ตามราคาที่ติดป้ายไว้ เขาหยิบพู่กันมาเขียนชื่อของตนกับหลิวซืออิน และเขียนคำว่า
'ครองคู่มิพรากจาก ชั่วฟ้าดินสลาย'
"พ่อหนุ่ม เจ้าคงเพิ่งแต่งภรรยาสินะ แม่หนูช่างโชคดีนัก มีสามีที่รักเจ้าสุดหัวใจเช่นนี้ ข้าแถมพู่คู่รักให้พวกเจ้าไว้แขวนโคมนะ"
คนขายเห็นคำอธิษฐานของเยี่ยเหวินจ้าว ก็รู้สึกชอบใจ คนที่มาซื้อโคมอธิษฐานของเขา ล้วนขอพรให้ร่ำรวยบ้าง ให้อายุยืนบ้าง มีชายหญิงคู่นี้ ที่ขอพรให้ได้ครองคู่กัน ตัวเขาภรรยาตายจากและไม่คิดแต่งงานใหม่ จึงยกย่องคู่หนุ่มสาวที่มั่นคงในความรักเช่นนี้
"ขอบคุณท่านลุง"
ทั้งสองเอ่ยขอบคุณ แล้วรับพู่มาห้อยใต้โคมอธิษฐาน แล้วเริ่มจุดไฟให้ควันลอยเข้าไปในโคม ตัวโคมเริ่มพองขึ้นเรื่อยๆ ดันให้ลอยขึ้น
"เจ้าขอพรสิ คืนนี้ดวงจันทร์เต็มดวง พวกเราเชื่อว่า จะทำให้คำขอเป็นจริง"
เยี่ยเหวินจ้าวถือโคมไว้ เขาให้หลิวซืออินได้ขอพร นางมองหน้าเขาก่อนจะยิ้มแล้วหลับตาขอพรในใจ
"ข้าขอพรเสร็จแล้ว ตาท่านบ้าง"
นางมาช่วยจับโคมให้ เยี่ยเหวินจ้าวมองใบหน้าของนางแล้วยิ้มละมุน เขาเอ่ยว่า
"หากเทพเซียนบนสวรรค์ จะให้ข้าสมหวังเรื่องใด ขอให้พรนั้นจงเป็นของเจ้า ให้คำขอของเจ้าสมหวังทุกสิ่ง"
เขาไม่ขอพรให้ตัวเอง แต่ขอให้นางสมหวัง หลิวซืออินได้ฟัง ก็รู้สึกตื้นตันใจ คนผู้นี้คิดถึงนางก่อนตัวเอง นางไม่เคยมีผู้ใดสนใจนอกจากท่านย่า เติบโตมาได้ด้วยความยากลำบาก เสื้อผ้าล้วนเป็นของเก่าเหลือใช้จากหลิวชิงหลิน อาหารก็ได้กินอิ่มท้องบ้าง ไม่อิ่มบ้าง ปีหนึ่งจะได้กินของดีๆ อย่างเนื้อหมูแค่วันปีใหม่ บางครั้งนางหิวจนต้องแอบเอามันเทศที่เลี้ยงหมูมาเผากิน สุดท้ายนางเป็นได้แค่ต้นหลี่ที่ตระกูลหลิวสละทิ้ง
"ข้าขอบคุณท่าน"
นางเอ่ยขอบคุณออกมาจากใจ มองใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษผู้ที่นางร่วมแต่งงานผูกผม ครั้งแรกนางคิดว่าการได้พบเขาคือโชคร้าย แต่ตอนนี้นางรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นภรรยาของเขา
"มาเถอะ เราปล่อยโคมกัน"
เยี่ยเหวินจ้าวจุดไฟที่พู่แล้วปล่อยให้โคมลอยขึ้นฟ้า ดอกไม้ไฟที่ห้อยติด พ่นละอองไฟกระจายลงมา โคมดวงนั่นค่อยลอยสูงขึ้นเรื่อย ไปรวมกับโคมอีกหลายร้อยดวงบนฟ้า
หลิวซืออินแหงนหน้ามองดูโคมไฟด้วยใจอิ่มสุข ข้างกายมีร่างสูงใหญ่ยืนเคียง แขนของเขาโอบไหล่นางไว้ ถ้อยคำที่เขาเขียนประทับอยู่ในความทรงจำ
"เจ้าชอบกินปูหรือไม่ ด้านนั้นมีแผงขายปูนึ่ง ข้าเคยกินครั้งหนึ่งรสชาติไม่เลว"
เมื่อเดินกลับเข้ามาในเมือง เยี่ยเหวินจ้าวเดินผ่านแผงขายของทะเล จึงคิดอยากให้หลิวซืออินลองกินปูทะเลนึ่ง
"ข้าไม่เคยกินปูมาก่อน ข้าไม่รู้ว่ามันรสชาติเป็นอย่างไร หากท่านพี่บอกว่ารสชาติไม่เลว ข้าก็คิดว่าน่าจะลองกินดูสักครั้ง"
หลิวซืออินไม่เคยกินปูมาก่อน แม้แต่ไก่กับหมู นางก็แทบจำรสชาติไม่ได้ อยู่บ้านตระกูลหลิวมีข้าวให้กินอิ่มท้อง ก็ดีมากแล้ว จะให้เลือกกินคงไม่ได้
"เช่นนั้นเราไปกินปูนึ่งกัน"
เยี่ยเหวินจ้าวจูงมือพานางไปยังแผงขายปูนึ่ง สั่งปูสดสองชั่งให้ร้านนึ่งให้ เขานั่งรอที่โต๊ะ สั่งของกินเล่นจากแผงข้างๆ มาให้นางกินระหว่างรอ
"ขนมสลัดงา เจ้าลองกินดู มีหลายไส้ ทั้งหวานและเค็ม"
เขาสั่งขนมสลัดงา ไส้ถั่วกวนกับไส้กุ้งสับมาให้นางกิน ตัวขนมทำจากแป้งปั้นเป็นลูกกลมๆ ด้านในมีไส้ต่างๆ ด้านนอกคลุกงาจนทั่ว นำไปทอดจนสุกพอง
"ระวังร้อน เพิ่งทอดมาใหม่ๆ"
เขาเอ่ยเตือนเมื่อเห็นนางทำท่าจะกัด หลิวซืออินยิ้มเขิน ไม่กล้าเอาเข้าปาก
"มาข้าบิให้ เจ้ากัดไปแบบนั้นลวกปากพองพอดี"
เยี่ยเหวินจ้าวหยิบขนมในมือนาง มาบิแบ่งครึ่ง ใช้ปากเป่าให้คลายร้อน ก่อนจะยื่นส่งให้นาง
"นี่เป็นไส้กุ้งสับ เจ้าลองชิม"
"ขอบคุณเจ้าค่ะ"
นางรับมากิน รสชาติขนมทำให้แทบหลั่งน้ำตา มันอร่อยยิ่งนัก แป้งข้างนอกกรอบข้างในนุ่ม มีไส้กุ้งปรุงรสด้วยเครื่องเทศอย่างดี ให้รสชาติกลมกล่อม นางเคี้ยวกลืนอย่างมีความความสุข
"ไส้ถั่วกวนก็หวานอร่อย"
เยี่ยเหวินจ้าวหยิบขนมไส้ถั่วกวนมาบิ แล้วส่งให้นางลองชิม หลิวซืออินกินอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้คนมองรู้สึกเอ็นดู
"ปูนึ่งมาแล้ว ร้านเรามีน้ำจิ้มรสเด็ด เชิญกินตามสบาย ถ้าไม่พอสั่งเพิ่มได้"
เจ้าของร้านยกปูนึ่งร้อนๆ มาส่งให้ กลิ่นหอมของมัน ทำให้หลิวซืออินเลิกสนใจขนม นางมองดูเจ้าสัตว์ทะเลเปลือกแข็ง ที่ตอนนี้ถูกนึ่งจนเปลือกกลายเป็นสีส้มน่ากิน
"ข้า... ข้าแกะไม่เป็น"
แม้อยากกินเพียงใด แต่จนปัญญาเมื่อนางแกะปูไม่เป็น ได้แต่มองตาปริบๆ น่าสงสาร
"เดี๋ยวข้าแกะให้เจ้ากินเอง"
เยี่ยเหวินจ้าวหยิบปูมาวาง ใช้พัดที่เจ้าของร้านวางไว้บนโต๊ะ มาพัดให้ปูคลายความร้อน เขาค่อยๆ แกะเนื้อปูทีละส่วน วางเรียงใส่จานเปล่า เมื่อแกะเสร็จตัวแรก ก็ส่งจานใส่เนื้อปูให้นาง
"ลองชิม สองส่วนนี้อร่อยที่สุด"
เขาชี้ที่ก้ามปู และกรรเชียงปู หลิวซืออินจึงใช้ตะเกียบคีบเนื้อปูมาจิ้มน้ำจิ้ม น้ำมันพริกผสมงา ให้รสชาติเผ็ดและหอมงา มีรสเปรี้ยวจากน้ำส้มหมัก รสชาติแปลกลิ้น แต่ก็อร่อยยิ่งนัก นางอยากหลั่งน้ำตาเป็นครั้งที่สองกับรสชาติของปู
"อร่อย... ท่านพี่ ท่านกินด้วยสิ"
นางคีบปูส่งให้เขาบ้าง วันนี้นางทำตัวเห็นแก่กินจนน่าเกลียดไปแล้ว จึงต้องชวนเขากินด้วย
"เจ้ากินให้อิ่ม ข้าจะแกะให้เจ้าอีก"
เยี่ยเหวินจ้าวส่ายหน้า เขาเคยกินปูนึ่งหลายครั้งแล้ว จึงไม่ได้อยากกินมากมาย เห็นนางกินได้ก็อยากให้นางกินมากสักหน่อย เขาแกะปูในถาดวางใส่จานให้นาง มองนางกินด้วยสายตาเอ็นดู นางผอมไม่ค่อยมีเนื้อหนัง เขาจะขุนให้นางอ้วนกลมขาวกว่านี้ จะได้คลอดบุตรแข็งแรงให้เขาสักคนสองคน
มุมหนึ่ง มีใครบางคนกำลังจ้องมองทั้งสองอยู่ รอจนทั้งคู่เดินกลับบ้าน ก็เร่งฝีเท้าตามติดไป
///