บทที่ 8
ชั่วโจ๊กชามเดียว
ร่างเล็กในชุดสีฟ้าอ่อนเดินเคียงข้างบุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก ชุ่ยฮองเฮามองภาพเบื้องหน้าแล้วยกยิ้มมุมปาก ต่อให้องค์ชายสิบเก้าสำคัญกับองครักษ์เฉินขนาดไหนก็ไม่มีทางมีความสำคัญไปกว่าสายเลือดของเขากระมัง
มือใหญ่กำมือเล็กของเด็กน้อยเอาไว้มั่น ไม่รู้เพราะเหตุใด หากแต่คล้ายมีบางอย่างทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องเด็กน้อยนี่ขึ้นมา มันเหมือนมีเส้นใยบางๆ ระหว่างเขากับนางอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าชื่ออะไร”
“เยว่เอ๋อร์เจ้าค่ะ”
เยว่เอ๋อร์ ดวงจันทร์อย่างนั้นหรือ สองเท้าหยุดชะงักหันมาจ้องใบหน้ากลมๆ ของเด็กน้อยด้านข้าง มุมปากหนายกยิ้มอบอุ่น ก่อนกุมมือเล็กเดินต่อไปเบื้องหน้า เยว่เอ๋อร์มองคนตัวสูง ดวงตาของเขาแฝงความเศร้าบางอย่างเอาไว้จนน่าใจหาย สิ่งใดกันที่ทำให้เขาดูเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้
“ข้าเรียกท่านว่าท่านอาได้ไหม”
“ข้าปฏิเสธได้หรือ”
นับจากที่นางป่าวประกาศว่าเขาคืออาของนาง เขาก็คงไม่สามารถมีสถานะอื่นได้อีก ใบหน้ากลมย่นยู่บ่นงุบงิบฟังไม่ได้ศัพท์ เห็นแล้วให้รู้สึกขบขันยิ่งนัก
เมื่อเข้ามาในเขตเรือนพักด้านหลังภาพเบื้องหน้าก็ทำให้เยว่เอ๋อร์อดประหลาดใจไม่ได้ เรือนไม้สภาพมิเก่ามิใหม่ ด้านในปราศจากเครื่องเรือนตกแต่งคล้ายเป็นเพียงเรือนพักชาวบ้านธรรมดา มิน่าจะใช่เรือนรับรองในพระตำหนักนอกวังของชุ่ยฮองเฮา เมื่อเข้ามาภายในแยกออกเป็นส่วนห้องโถง และด้านหลังเป็นห้องพักอีกหลายห้อง เฉินมี่ถงพานางไปที่ห้องทางปีกซ้ายสุด ด้านหน้ามีนางกำนัลสองนางนั่งเฝ้าหน้าประตู เมื่อเข้ามาด้านในมีเพียงโต๊ะกลมและเตียงตั้งอยู่กลางห้อง ม่านสีแดงคลุมรอบด้านทั้งสี่ทิศแต่ยังคงมองเห็นร่างเล็กของเด็กชายอยู่ด้านในรางๆ นั่นคงเป็นองค์ชายที่พวกเขาพูดถึงกัน ข้างเตียงมีนางกำนัลอีกสองนางนั่งขนาบข้างแม้จะก้มหน้ามิเอ่ยวาจาหากแต่แววตากลับสอดส่องดูนางตลอดเวลา เช่นนี้การที่นางจะทำตามแผนคงมิใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
“องครักษ์เฉิน…”
เสียงเล็กแหบแห้งดังมาจากในม่าน เฉินมี่ถงเดินไปประชิดขอบเตียงย่อตัวลงด้านข้าง ร่างเล็กของเด็กชายด้านในค่อยๆ ขยับลุกขึ้นอย่างช้าๆ ดูอ่อนแรงจนนางยังเห็นใจ
“องค์ชายประสงค์สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าอยากออกไปเดินเล่น”
“พระองค์ทรงประชวรอยู่มิควรออกไปด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
เยว่เอ๋อร์มองร่างเล็กในม่านถอนหายใจยาวก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ไม่นานนางกำนัลนางหนึ่งก็เดินเข้ามา ในมือถือถ้วยโจ๊กมาด้วยกลิ่นหอมฟุ้งจนเยว่เอ๋อร์น้ำลายสอ
“ได้เวลาเสวยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่หิว”
พูดจบร่างเล็กในม่านก็ยกผ้าห่มคลุมโปงหนี เฉินมี่ถงถอนหายใจยาวอย่างจนใจ องค์ชายแม้ดูภายนอกจะเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่แท้จริงแล้วตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ถ้วยโจ๊กวางที่ข้างเตียงส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เยว่เอ๋อร์ยกยิ้มมุมปากเดินไปนั่งข้างเตียงตักโจ๊กในชามกินในทันที
“บังอาจ! เจ้ากล้ากินอาหารขององค์ชายได้อย่างไร”
เสียงนางกำนัลที่ยกเครื่องเสวยตวาดใส่เยว่เอ๋อร์ ใบหน้ากลมพอโดนดุก็น้ำตาคลอส่งสายตาสำนึกผิดไปที่เฉินมี่ถง
“ท่านอา... ข้าหิวมากเลยเจ้าค่ะ ในเมื่อองค์ชายไม่เสวยเช่นนั้นสู้มิให้ข้ากินเสียดีกว่าหรือเจ้าคะ”
เฉินมี่ถงถอนหายใจยาวหากแต่นางกำนัลคนเดิมกลับมิยอมเลิกรา นางจับแขนกลมป้อมยกร่างเล็กจนลอยออกมาที่กลางห้อง
“ถึงหิวเพียงใดก็ต้องอดทน ทำตัวเยี่ยงขอทานไร้มารยาท”
เฉินมี่ถงได้ยินนางกำนัลตวาดเด็กน้อย ดวงตาคมก็วาววาบขึ้นมาจดจ้องไปที่นางกำนัลผู้นั้น คล้ายมีพลังปราณบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวเขา นางกำนัลที่เดิมทีกำลังเกรี้ยวกราดเด็กน้อยกลับรู้สึกคล้ายหายใจไม่สะดวก ยิ่งหันมาสบตากับราชองครักษ์ยิ่งทำให้นางคล้ายโดนเข็มเล็กนับพันพุ่งมาทิ่มแทง
“แค่โจ๊กชามเดียวเหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
ร่างเล็กในม่านเอ่ยเสียงแหบ ทั้งที่ยังคงอยู่ใต้ผ้าห่ม หากแต่กลับหนักแน่น ทุกคนในห้องหันมายืนนิ่งสงบ
“นางอยากกินก็ยกให้นางไป แล้วพวกเจ้าก็ออกไปให้หมดข้าจะพักผ่อน”
คล้ายเป็นคำประกาศิต ทุกคนในห้องแม้แต่องครักษ์เฉินเองก็เดินออกไปจนหมด ร่างป้อมน้อยตรงไปหาชามโจ๊กที่หัวเตียงไม่สนใจสายตาดุของเหล่านางกำนัล กลับทิ้งตัวลงตั้งหน้าตั้งตากินโจ๊กอย่างเอร็ดอร่อย เฉินมี่ถงได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วเดินออกไป
“เร่งกินแล้วตามออกมา”
ใบหน้ากลมมีโจ๊กในปากจนแก้มยุ้ยพยักหน้ารับ มือเล็กตักโจ๊กคำต่อไปใส่ปากอีกคำ เมื่อในห้องเหลือเพียงนางกับองค์ชายน้อย เยว่เอ๋อร์จึงวางชามโจ๊กในมือลงขยับไปประชิดเตียงมือบางเอื้อมไปที่ผ้าห่มสีทองแต่ยังมิทันได้สัมผัสผ้าห่มเสียงแหบแห้งก็ดังขึ้น
“หากยังอยากมีชีวิตจงออกไปห่างๆ ข้า”
เยว่เอ๋อร์แม้แปลกใจที่เขาคล้ายมีตาทิพย์มองเห็นการกระทำของนางหากแต่ก็มิได้เก็บมาใส่ใจอะไร ใบหน้ากลมวางลงบนเตียงทับม่านสีแดงบางๆ
“แต่หากพระองค์อยากมีชีวิตก็ต้องให้หม่อมฉันอยู่ใกล้ๆ”
น้ำเสียงยอกย้อนสดใสแตกต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง องค์ชายน้อยพลิกตัวหันมาสบตากลมใสกระจ่างผ่านม่านเตียง สายลมอ่อนพัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เกิดภาพเด็กน้อยหลังม่านที่ตรึงใจมิน้อย เยว่เอ๋อร์ยกยิ้มอ่อนโยนนิ้วป้อมๆ หยิบบางอย่างออกมาจากมวยผมกลมๆ คล้ายซาลาเปาของนางส่งให้เขา
“วิหคขาวฝากให้หม่อมฉันนำมาถวายเพคะ”
ดวงตาคมจดจ้องร่างเล็กตรงหน้าอย่างประหลาดใจ วิหคขาวคือหนึ่งในฉายาของทหารราชองครักษ์ของเขา นางเป็นเพียงเด็กน้อยวัยไม่น่าจะเกินห้าปี เหตุใดจึงรู้จักกับวิหคขาวได้ หรือนี่จะเป็นแผนการของชุ่ยฮองเฮา ดวงตาคมหลังม่านมีแววลังเลและหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด จนเยว่เอ๋อร์กลัวว่านางกำนัลด้านนอกจะบุกเข้ามาตวาดนางอีกครั้ง และแผนการครั้งนี้คงพังไม่เป็นท่าแน่นอน
“หม่อมฉันใช้เวลาในการกินโจ๊กชามเดียวได้ไม่นานหนัก หากยังทรงลังเลหม่อมฉันก็จนใจจะหาสิ่งใดมายืนยัน”
สายตาคมเหลือบไปมองโจ๊กบนโต๊ะที่หัวเตียงก่อนตัดสินใจหยิบยาเม็ดสีดำในมือป้อมของนางใส่ปากกลืนในพริบตา เยว่เอ๋อร์ยกยิ้มสดใสหันไปกินโจ๊กต่อจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไป ทิ้งสายตาสงสัยและหวาดระแวงของคนในห้องไว้เบื้องหลังโดยมิแม้แต่จะหันมามอง