บทที่ 7 อาสา

1820 Words
บทที่ 7 อาสา ปลายยามจื่อ (เท่ากับเวลา 23.00 น. จนถึง 24.59 น.) จันทร์จิราที่ตอนนี้มีนามว่าเยว่เอ๋อร์กำลังหลับขดตัวใต้ผ้าแพรผืนเก่าผ่านการปะชุนมานับไม่ถ้วน สะดุ้งตื่นเนื่องจากได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันที่ด้านในศาลเจ้า เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ลุงผู้ดูแลศาลเจ้าจะมาเปิดศาลเจ้า แล้วเสียงที่นางกำลังได้ยินเวลานี้เป็นใครกัน ดวงตาหวานคมเบิกกว้าง ขโมยอย่างนั้นหรือ! ใบหน้ากลมแนบเข้ากับผนังแอบฟังเสียงที่เล็ดลอดเข้ามา “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี” เสียงทุ้มบ่งบอกว่าคนพูดน่าจะมีอายุไม่น้อยเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด “องค์ชายเหลือเวลาอีกเพียงสามวันเท่านั้น หากช้ากว่านี้ข้าเกรงว่าพิษจะแล่นเข้าสู่หัวใจ...” เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้นพร้อมๆ กันบ่งบอกความห่วงใยของพวกเขาที่มีต่อบุคคลที่สามที่เรียกว่าองค์ชาย “เช่นนั้นครั้งนี้ข้าจะบุกเข้าไปเอง” “อาฟง เจ้าใจเย็นๆ ก่อน หากเจ้าบุ่มบ่ามเข้าไป นอกจากช่วยองค์ชายไม่ได้แล้ว แม้แต่ตัวเจ้าเองก็คงเดือดร้อนไปด้วย” โครม! ชายห้าคนลุกขึ้นพร้อมกับพุ่งตรงไปที่ด้านหลังรูปปั้นพระพุทธรูป มองร่างเล็กกลมของเด็กน้อยผู้หนึ่งที่พุ่งทะลุกำแพงเข้ามา เยว่เอ๋อร์ค่อยๆ ลุกขึ้นจดจ้องชายวัยฉกรรจ์ตรงหน้าแล้วกะพริบตาปริบๆ ใช้ท่าทางเด็กน้อยเสแสร้งให้น่าสงสาร “นางแอบฟังพวกเรา” กระบี่เล่มคมจ่อมาที่คอของเยว่เอ๋อร์ ไม่นะ นางเพิ่งได้มีชีวิตอีกครั้งจะตายง่ายๆ เพียงเพราะเจ้ากำแพงผุนี่พังอย่างนั้นหรือ ใบหน้ากลมพยายามบีบน้ำตาและใช้แววตาของเด็กวัยห้าขวบให้น่าสงสารที่สุด หากแต่ชายทั้งห้าคนดูไม่มีท่าทางใจอ่อนเลยสักนิด “ข้าช่วยพวกท่านได้” อ่า... ผีตนใดเจาะปากนางกัน เหตุใดนางจึงเอ่ยคำพูดร้ายกาจเช่นนั้นออกไป กระบี่ที่จ่อที่คอของนางถูกลดลง ชายทั้งห้ามองนางอย่างสงสัย “เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา” เมื่อกระบี่คมลดลงไปและน้ำเสียงของชายที่ดูมีอำนาจสูงที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนก็ทำให้เยว่เอ๋อร์ถอนหายใจยาว ดวงตาคมนิ่งไปสักพัก เอาน่า... อย่างน้อยก็ไปตายเอาดาบหน้า “เจ้าค่ะ” “เจ้ารู้หรือไม่ว่าปัญหาของพวกข้าคือสิ่งใด” “พวกท่านคงต้องการส่งยาไปให้กับองค์ชาย หากแต่มีใครสักคนขัดขวางเอาไว้” ชายตรงหน้าคล้ายลังเล คล้ายประหลาดใจ ก่อนยกยิ้มบาง พอใจกับความฉลาดของเด็กน้อยตรงหน้ามิน้อย เขามิสามารถดูแคลนสมองน้อยๆ นี่ได้จริงๆ “แล้วเจ้าจะช่วยข้าอย่างไรกัน” เยว่เอ๋อร์นิ่งไปสักพัก หากประเมินสถานการณ์ในตอนนี้คนพวกนี้คงเป็นพวกที่จงรักภักดีต่อองค์ชายผู้นั้น และองค์ชายของพวกเขาคงต้องถูกพิษร้ายแรง ซึ่งแน่นอนว่าคนที่วางยาองค์ชายของพวกเขาก็คือคนที่ดูแลองค์ชายของพวกเขาอยู่ตอนนี้เป็นแน่ “ในนั้นมีใครที่พวกท่านไว้ใจได้บ้าง” ทั้งหมดนิ่งเงียบไปสักพัก ในตำหนักนอกราชวังเป็นที่ขององค์ฮองเฮา องครักษ์อย่างพวกเขาไม่สามารถแฝงตัวเข้าไปได้ เยว่เอ๋อร์ถอนหายใจยาวท่าทางไม่เหมือนกับเด็กน้อยสักนิด “อาเฉิน…” เสียงของชายที่เอากระบี่จ่อคอของนางเมื่อครู่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง ดวงตาหวานเบิกกว้างเมื่อได้ยินชื่อที่เขาเอ่ยมา จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า... อาเฉินที่คนตรงหน้าเอ่ยถึงจะเป็นอาเฉินคนเดียวกับที่นางเคยพบเจอ “แต่จะให้นางเจออาเฉินได้อย่างไร” “พวกท่านมีรหัสลับระหว่างกันหรือไม่” “วิหคไร้ขนมิอาจโผบิน” เยว่เอ๋อร์พยักหน้ารับ เพียงเท่านี้ก็พอที่จะทำให้นางมีความหวังว่าจะสามารถทำงานนี้สำเร็จ “หากข้าทำสำเร็จ ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากขอจากพวกท่าน” พระตำหนัก นอกเขตวังหลวง ตำหนักซึ่งอยู่ในการดูแลของชุ่ยฮองเฮา ร่างหญิงสาววัยสี่สิบต้นๆ นั่งอิงกึ่งนั่งกึ่งนอนมีนางกำนัลคอยบีบนวดอย่างเอาใจ ใบหน้าที่ยังคงเค้าความงามอยู่มิสร่าง รอยยิ้มอย่างพอใจยกขึ้นน้อยๆ เพิ่มความงดงามให้นางราวภาพวาดประติมากรรมชั้นเอกก็มิปาน “เสียงเอะอะโวยวายอะไรกัน” “ทูลฮองเฮามีเด็กน้อยผู้หนึ่งมานั่งร้องไห้ที่หน้าวังพ่ะย่ะค่ะ” “ให้ทหารไล่ไป” “เอ่อ... นางแจ้งว่าเป็นหลานสาวของราชองครักษ์เฉิน” ดวงหน้างามมีแววสนใจในทันที ราชองครักษ์เป็นคนที่มากฝีมือ ยามนี้แม้จะจงรักภักดีต่อองค์ชายสิบเก้า หากแต่อีกเพียงไม่นานหากเจ้าเด็กนั่นตายจากไป การได้ความภักดีจากคนผู้นี้ย่อมดีมิน้อย “เช่นนั้นจงให้คนไปเอาตัวนางมา” เยว่เอ๋อร์ถูกนำตัวมาด้านใน ใบหน้ากลมมีน้ำตาอาบแก้มดวงตาหวานสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวคล้ายกวางน้อย ท่าทางเช่นนี้เรียกความน่าสงสารจากผู้คนได้อย่างอัศจรรย์ เมื่อมาอยู่หน้าชุ่ยฮองเฮาร่างน้อยๆ ก็ทรุดตัวนั่งลงในทันทีอย่างรู้ความ ชุ่ยฮองเฮามองเด็กน้อยตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วสงสัยในที เด็กน้อยตรงหน้าวัยไม่น่าจะเกินห้าขวบ แต่ท่าทางคล้ายรู้ความเกินวัย แม้แววตานั้นจะคล้ายกำลังหวาดกลัว แต่นางใช้ชีวิตในวังหลวงมาเกือบค่อนชีวิตทำให้ไม่สามารถเชื่อหรือไว้ใจใครได้อย่างสนิทใจ “เจ้าชื่อแซ่อะไร” “หม่อมฉันแซ่เฉิน ชื่อเยว่เอ๋อร์เพคะ” ใบหน้างามของสตรีสูงศักดิ์สะกดดวงตาของเยว่เอ๋อร์ให้มิอาจละสายตาได้ ช่างงดงามหาใครเทียบได้ยากจริงๆ “บังอาจจ้องฮองเฮาเยี่ยงนี้อยากตายหรือไร” ใบหน้ากลมก้มลงในทันทีตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ชุ่ยฮองเฮายกมือปรามนางกำนัลคนสนิท มองท่าทางของเด็กน้อยตรงหน้าแล้วยกยิ้มพอใจ เด็กวัยเพียงเท่านี้บางทีนางคงคิดมากเกินไปกระมัง “เจ้าเป็นอะไรกับองครักษ์เฉินอย่างนั้นหรือ” “ข้า... เอ่อ... หม่อมฉันเป็นหลานของท่านอาเฉินเพคะ” “อย่างนั้นหรือ” มือเรียวยกชาขึ้นจิบอย่างเชื่องช้าแต่คงความสง่างามเอาไว้ “เสื้อผ้าเจ้ามอมแมมเยี่ยงนี้เข้าไปพบอาของเจ้าคงไม่เหมาะเท่าไร เหยาเหยา เอานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสียหน่อย” “เพคะ” เยว่เอ๋อร์ถูกนางกำนัลสาวประคองตัวไปเปลี่ยนชุด หึ! สมแล้วที่เป็นฮองเฮาผู้อยู่เหนือสตรีใด ใบหน้างามแต่อาบด้วยพิษร้าย ร่างเล็กถูกนางกำนัลสาวจับเปลื้องผ้า นี่มิต่างจากการค้นตัวดีๆ นั่นเอง การที่ชุ่ยฮองเฮาใช้วิธีซับซ้อนเช่นนี้นั่นแสดงว่าราชองครักษ์เฉินคงมีความสำคัญกับนางมิน้อยเช่นกัน หลังแต่งกายเสร็จร่างน้อยในชุดคุณหนูสูงศักดิ์ก็เดินออกมา ใบหน้ากลมหวานดูงดงามน่ารักขึ้นมาจากเดิมในทันที เยว่เอ๋อร์ถูกพามาที่อุทยานอีกครั้ง ชุ่ยฮองเฮายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ด้านหน้ามีชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนอย่างสง่างามโดดเด่นจนมิสามารถมีผู้ใดมาบดบังรัศมีได้ อาเฉิน เป็นเจ้าจริงๆ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ใบหน้ากลมมีน้ำตาไหลอาบสองแก้มเนียนความรู้สึกคล้ายเจอญาติสนิทที่พลัดพรากจากกันมานานอย่างไรอย่างนั้น ชุ่ยฮองเฮามองเด็กน้อยที่จดจ้องราชองครักษ์ตรงหน้า แววตาเช่นนี้มิใช่การเสแสร้งเป็นแน่ ยิ่งคำยืนยันจากนางกำนัลว่ามิพบสิ่งใดผิดปกติยิ่งทำให้นางมั่นใจว่าเด็กน้อยผู้นี้จะทำให้ราชองครักษ์เฉินอยู่ในกำมือนาง “เด็กน้อยผู้นี้กล่าวว่านางเป็นหลานสาวของเจ้า” เฉินมี่ถงมองหน้าเด็กน้อยตรงหน้าแล้วได้แต่ขมวดคิ้วเข้ม แววตาของนางเขาคล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อนหากแต่ชั่วชีวิตเขาไร้ญาติขาดมิตรจะมีหลานสาววัยน้อยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน “ท่านอา...” เสียงเล็กๆ สั่นเครือก่อนวิ่งมาโอบกอดเขา หากแต่เฉินมี่ถงกลับเบี่ยงตัวหลบทำให้ร่างเล็กเสียหลักล้มลงบนพื้นหญ้า ดวงหน้ากลมมีน้ำตาไหลอาบแก้มนวล “ข้ามิเคยมีหลานสาว…” “ท่านอา…” ร่างน้อยสั่นราวลูกนกร้องไห้จนตัวโยน ชุ่ยฮองเฮามองคนสองคนเบื้องหน้าขมวดคิ้วเรียวอย่างสงสัย “ท่านอาข้ารู้ข้ามิควรแสดงตัว แต่ท่านแม่ของข้า... นาง... นางสิ้นใจแล้ว ข้ามิเหลือใครแล้วนอกจากท่าน” ร่างเล็กพยายามกล่าวทั้งที่น้ำตายังไหลอาบแก้มนวล เสียงเล็กสั่นเครือสะอื้นอย่างน่าสงสาร หากแต่มิใช่สำหรับเฉินมี่ถง ดวงตาคมจดจ้องดวงตาอาบน้ำของนางแล้วหันไปทางชุ่ยฮองเฮา “กระหม่อมไม่รู้จักนาง ขอทูลลา” ไม่นะ! หากเขาจากไปเช่นนี้แผนการทั้งหมดของนางจะต้องล้มเหลวเป็นแน่ ที่สำคัญแม้แต่ชีวิตของนางก็คงไม่สามารถรักษาไว้ได้ “ท่านอา... ท่านจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ ปีที่แล้วท่านไปเยี่ยมข้ากับท่านแม่ ท่านยังเล่านิทานเรื่องวิหคไร้ขนมิอาจโผบินให้ข้าฟังอยู่เลย... ท่านอา ข้าขอโทษที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งท่าน ข้าขอโทษที่มาหาท่าน ทั้งที่ท่านห้ามเอาไว้ แต่... แต่ข้าไม่มีที่ไปจริงๆ ... ท่านอา” คำคร่ำครวญของเด็กน้อยมิอาจทำให้เฉินมี่ถงใจอ่อนได้แม้แต่น้อย แต่ประโยคที่นางเอ่ยออกมาวิหคไร้ขนมิอาจโผบิน นี่มิใช่รหัสลับในหน่วยราชองครักษ์ขององค์ชายสิบเก้าอย่างนั้นหรือ แล้วเด็กน้อยผู้นี้รู้รหัสลับนี้ได้อย่างไรกัน “ท่านอา...” เมื่อเฉินมี่ถงชะงักฝีเท้าเยว่เอ๋อร์ก็รีบโผเข้าไปกอดเขาในทันที ร่างเล็กโอบเอวหนาใบหน้าซุกที่หน้าท้องแบนราบแข็งแกร่งของเขา อ่า... เจ้าหุ่นดีมิน้อยเลยอาเฉินของข้า “เจ้ารู้ผลที่จะตามมาหรือไม่” ใบหน้ากลมพยักหน้ารับ นางรู้เพียงหากมิสามารถทำให้เขายอมรับตอนนี้นางต้องตายแน่ๆ อนาคตผลที่จะตามมาเอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD