บทที่ 4
ตายอีกครั้ง
เฉินมี่ถงและจันทร์จิราวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานจวบจนกระทั่งตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า พลันรอบตัวของจันทร์จิราและเฉินมี่ถงก็ถูกล้อมด้วยกลุ่มคนร้ายนับสิบคนอีกครั้ง แม้จันทร์จิราจะเชื่อในฝีมือของเฉินมี่ถงแต่ด้วยจำนวนคนร้ายมากขนาดนี้นั่นย่อมทำให้เกิดความยากลำบากเป็นแน่ พลังสายสีเขียวอาบไล้ไปทั่วตัวเฉินมี่ถง เขาคือผู้มีวรยุทธ์และมีพลังปราณสายพละกำลังขั้นสี่ แม้รอบตัวเขาจะมีผู้มีปราณสายพละกำลังขั้นสาม หลายนายรายล้อมเขาก็มิหวั่นเกรง สิ่งเดียวที่วิตกคือหญิงสาวข้างกาย มือหนากุมมือบางเอาไว้แน่น จันทร์จิราเหงื่อไหลอาบทั่วตัว แขนข้างหนึ่งโอบกอดทารกน้อยแนบอกอีกข้างกุมมือหนาไว้แน่น แสงสีเขียวนวลตาอาบไล้รอบกายชายหนุ่มแม้จะแปลกใจกับสิ่งที่เห็นหากแต่ก็คงไม่มีอะไรที่ทำให้เธอแปลกใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว
ชายชุดดำกรูกันเข้ามาในระยะประชิด เฉินมี่ถงดึงร่างบางแนบอกกระบี่ในมือยกขึ้นรับการจู่โจมอย่างรวดเร็วและหนักแน่น จันทร์จิราหลับตามิได้สนใจสถานการณ์รอบตัวปล่อยตัวให้คนตัวโตกว่าจับนางหมุนไปมาอย่างที่เขาต้องการ สิ่งเดียวที่ห่วงใยคือเด็กน้อยในอ้อมแขน แม้เฉินมี่ถงจะมีปราณสายพละกำลังขั้นสี่ หากแต่การถูกจู่โจมด้วยคนที่มีปราณสายพละกำลังขั้นสามหลายคนเช่นนี้เขาเองก็ลำบากมิน้อย
และในที่สุดสิ่งที่จันทร์จิรากังวลก็เกิดขึ้นเมื่อเฉินมี่ถงถูกกันออกห่างจากจันทร์จิรา เฉินมี่ถงแทบหยุดหายใจเมื่อข้อมือบางหลุดจากมือเขาไป ร่างบอบบางของนางยังคงโอบกอดเด็กน้อยสายเลือดมังกรแนบอก ดวงตาหวานมีแววหวาดกลัวและตื่นตระหนก เขาพยายามฝ่าวงล้อมไปหานางหากแต่ด้วยจำนวนคนที่ค่อนข้างมากจึงเป็นอุปสรรคมิน้อย ชายชุดดำสวนใหญ่ล้อม เฉินมี่ถงไว้ มีเพียงสามคนที่พุ่งตรงมาล้อมจันทร์จิรา ดวงตาหวานเบิกกว้างเมื่อดาบเล่มหนึ่งพุ่งตรงมาที่จันทร์จิราและเป้าหมายก็คือทารกในอ้อมอก จันทร์จิราไม่ทันแม้แต่จะตัดสินใจหรือทบทวนให้ดีนัก เธอหมุนตัวใช้ร่างบางบังคมดาบที่พุ่งตรงไปที่ทารกในอกของเธอ ทำให้คมดาบทะลุเข้ากลางลำตัวของจันทร์จิรา ความเจ็บแล่นไปจนทั่วร่างกาย เลือดจำนวนมากไหลทะลักออกมาเมื่อดาบคมถูกถอนออก เฉินมี่ถงหันมาเห็นภาพจันทร์จิราถูกดาบเสียบเข้าที่กลางลำตัว ใบหน้าคมที่มักนิ่งเฉยเผยความเจ็บปวดอย่างสุดกลั้น นางคือหญิงคนแรกที่เขาคิดจะเปิดใจรับเข้ามาในชีวิต มันผู้ใดกล้าทำร้ายนาง แม้วิญญาณก็จงดับสูญ
ชายชุดดำเมื่อเห็นแววตาของเฉินมี่ถงคล้ายพยัคฆ์ที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อก็ทำให้พวกมันเกิดความหวั่นเกรง ด้วยเดิมทีการต่อสู้กับเขาซึ่งเป็นผู้มีพลังปราณสายพละกำลังขั้นสี่นั้นก็ตึงมือมากพออยู่แล้ว แต่เวลานี้ชายตรงหน้าคล้ายมีพลังเพิ่มขึ้นมาอีก พวกเขาส่วนใหญ่ที่เหลือตอนนี้ก็เป็นเพียงผู้มีพลังปราณสายพละกำลังขั้นสาม สุดท้ายเพียงพริบตาชายชุดดำนับสิบก็กลายเป็นร่างไร้วิญญาณ เฉินมี่ถงรู้สึกเสียใจยิ่งนักที่ไม่สามารถจัดการพวกมันได้ตั้งแต่แรก ร่างสูงตรงเข้าไปประคองร่างบางที่นอนจมกองเลือดอย่างเจ็บปวด เมื่อพลิกร่างนางขึ้นมา พบใบหน้าซีดเผือดลมหายใจรวยรินของนางทำเอาเขาแทบหยุดหายใจในทันที
“ไม่นะ เป็นแบบนี้ไม่ได้ ข้าไม่ยอม!”
น้ำเสียงของเขาร้อนรน จันทร์จิรายิ้มอ่อนโยนให้เขา ร่างบางถูกเขารั้งเข้าไปกอดแนบอก อ่า... ทำไมเป็นแบบนี้ นางเอกอย่างนางทำไมถึงได้ตายอนาถเยี่ยงนี้กัน แม้เนื้อตัวของเฉินมี่ถงเองจะได้รับบาดเจ็บมิน้อยแต่เมื่อเทียบกับหญิงตรงหน้าแล้วช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาค่อยๆ คลายอ้อมกอดของตนสบตากลมที่เคยสดใสเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา บัดนี้นางกำลังยิ้มอ่อนโยนให้เขา น่าโมโหนักเวลาแบบนี้เขามิอยากมีพลังสายพละกำลังเลยสักนิด เขาอยากมีปราณสายฟื้นฟูรักษาเพื่อถ่ายปราณรักษานางหรือเป็นสายเวทมนตร์ก็ยังดี อย่างน้อยเขาก็จะได้ใช้เวทมนตร์ในการห้ามเลือดนาง จันทร์จิราค่อยๆ ส่งทารกในอ้อมอกให้กับชายผู้ร่วมเดินทางพร้อมกับรอยยิ้ม ในเวลานี้ภาพเบื้องหน้าขาวโพลนไปหมด ชีวิตของเธอช่างตลกเสียจริงเพิ่งตายมาได้ไม่นานก็ได้ตายซ้ำสองอีกแล้ว จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ จันทร์จิราค่อยๆ หลับตาลง ลมหายใจแผ่วเบาจนกระทั่งสิ้นไป เฉินมี่ถงน้ำตาไหลอาบแก้มดึงร่างบางเข้ามาแนบอก
“ข้าขอโทษ ขอโทษที่มิอาจปกป้องเจ้าได้ แต่ข้าสัญญาทั้งชีวิตของข้าเจ้าจะเป็นหนึ่งในใจตลอดไป”