บทที่ 10 หนี

2019 Words
บทที่ 10 หนี สายลมอ่อนๆ พัดผ่านมาในที่สุดองค์ชายน้อยหยวนหรงหย่งหมิงก็เผลอหลับไป เฉินมี่ถงจะเข้าไปอุ้มองค์ชายน้อยหากแต่ร่างกลมป้อมกลับดึงรั้งเขาไว้ “พระเขนยขององค์ชายมีกลิ่นบางอย่างให้องค์ชายทรงบรรทมที่นี่เถิดเจ้าค่ะ” คำพูดธรรมดาคล้ายมิต้องการจะบอกสิ่งใด เฉินมี่ถงมองร่างเด็กน้อยตรงหน้าแววตาของนางใสซื่อมิได้ต้องการจะสื่อสิ่งใดเป็นพิเศษแต่เขากลับจับความผิดปกติได้ ร่างสูงเดินเข้าไปด้านในห้องบรรทมเรียบง่ายขององค์ชายสิบเก้า สายตาคมสอดส่องไปทั่วห้องก่อนหยุดที่หมอนใบใหญ่สีแดงปักลายมังกรสีทอง มีดสั้นถูกปักเข้าที่ด้านหนึ่งของหมอนก่อนกรีดเป็นรอยเล็กๆ พอที่มือหนาจะซุกเข้าไปได้ เมื่อสำรวจดูด้านในจึงพบถุงผ้าใบหนึ่ง เฉินมี่ถงหยิบถุงผ้านั้นออกมาเปิดดูด้านในพบสมุนไพรหลายชนิดที่เขาไม่รู้จัก แน่นอนเขาไม่มีทางเชื่อว่านี่จะเป็นสมุนไพรที่ทำให้องค์ชายสิบเก้าบรรทมหลับสบายแน่นอน ช่างน่าเจ็บใจนัก เขาสู้อุตส่าห์เฝ้าระวังทุกอย่างดูแลองค์ชายอย่างดี หากแต่กลับมิได้เฉลียวใจกับสิ่งใกล้ตัวนี่แม้แต่น้อย มือหนากำถุงผ้าแน่น เยว่เอ๋อร์ห่มผ้าแพรสีเหลืองนวลให้องค์ชายน้อย ดวงตาหวานมองใบหน้าคมซีดดวงตาคมของเขาปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอผ่านมาสิบสองปีแล้วหรือนี่ จากเด็กน้อยทารกในวันนั้นบัดนี้เติบใหญ่มาได้ถึงเพียงนี้แล้วหรือ “เจ้าผู้หลุดเข้าไปในห้วงเวลาที่มิสมควร หากแต่ยังได้กระทำการที่มิสมควรยิ่งกว่า เจ้าทำให้กำเนิดสิ่งที่ไม่ควรกำเนิดและขัดขวางสิ่งที่ไม่ควรมีชีวิตให้ได้ดำรงชีวิต” คำพูดขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ดังขึ้นในความคิด มือเล็กที่กำลังจะเกลี่ยเส้นผมบนใบหน้าคมชะงักค้างในทันที โทษของข้าเกิดจากการช่วยเหลือเจ้า เพราะฉะนั้นจงมีชีวิตอยู่ และอยู่อย่างมีความสุข สายลมอ่อนพัดผ่านร่างเด็กสาวตัวน้อยนั่งเคียงข้างองค์ชายน้อยสูงศักดิ์ช่างเป็นภาพที่งดงามตรึงใจผู้คนมิน้อย ปลายยามอุ้ย (เท่ากับเวลา 13.00 น. จนถึง 14.59 น.) องค์ชายหยวนหรงหย่งหมิงค่อยๆ ลืมตาตื่น ผ้าแพรสีเหลืองนวลยังคงห่มอยู่บนตัวสายตาคมทอดมองร่างกลมป้อมที่ฟุบหลับอยู่ข้างๆ เขา ใบหน้ากลมคล้ายซาลาเปา ริมฝีปากเล็กจ้อยสีแดงสดช่างงดงามน่ารักเหลือเกิน นิ้วยาวเกลี่ยแก้มขาวป้อมอย่างเบามือ มือป้อมน้อยยกขึ้นปัดป้องอย่างรำคาญเรียกรอยยิ้มจากชายต่างวัยทั้งสองคน “เจ้าอุ้มนางไปนอนที่ห้องเถิดองครักษ์เฉิน ลมเริ่มแรงแล้ว ข้าเองก็จะกลับเข้าห้องแล้วเช่นกัน” เฉินมี่ถงพยักหน้ารับคำสั่งก่อนช้อนร่างกลมขึ้น ผ้าแพรสีเหลืองนวลวางบนร่างเล็กป้อมอย่างเบามือ เฉินมี่ถงมององค์ชายสิบเก้าด้วยแววตาสงสัย ความหวั่นใจบางอย่างเกิดขึ้นในใจ ร่างกลมป้อมถูกวางบนเตียงนุ่มอย่างแผ่วเบา เจ้าเด็กน้อยราวคนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน ตอนนี้พอได้นอนในที่นอนที่สบายจึงเหยียดกายเต็มที่ ผ้าแพรสีเหลืองนวลเมื่อครู่ถูกนางถีบออกไปกองอยู่ปลายเท้าอย่างไม่ไยดี ช่างไม่สมเป็นกุลสตรีสักนิด นางถูกเลี้ยงมาอย่างไรกัน หลังจากที่พบสมุนไพรในหมอน เฉินมี่ถงก็มิวางใจสิ่งใดอีก เขามักแอบไปซื้ออาหารจากนอกวังแล้วนำมาสลับสับเปลี่ยนให้องค์ชายน้อยเสมอ จวบจนเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน ร่างกายที่เคยซูบผอมเริ่มกลับมามีเนื้อหนังมากขึ้น องค์ชายสิบเก้าเริ่มลุกขึ้นทำหลายสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเองหรือแม้แต่เดินปราณฝึกฝนก็สามารถทำได้โดยไม่รู้สึกอ่อนล้าเช่นเมื่อก่อนอีก เยว่เอ๋อร์ได้รับอนุญาตให้เข้าออกห้องบรรทมได้อย่างอิสระจนเหล่านางกำนัลต้องถลึงตาใส่นางบ่อยครั้ง “องค์ชายทรงทำอะไรหรือเพคะ” เยว่เอ๋อร์มองร่างของเด็กชายที่นั่งอยู่หลังม่านสีแดง เขาคล้ายกำลังนั่งสมาธิหากแต่รอบกายกลับคล้ายมีแสงสีเขียวเรืองๆ รอบตัว คล้ายๆ กับยามที่เฉินมี่ถงเคยต่อสู้กับพวกนักล่าในตอนนั้นไม่มีผิด ดวงตาคมค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนหันมายกยิ้มน้อยๆ ให้เด็กน้อยผ่านม่านแดง “ฝึกปราณ เจ้ารู้จักหรือไม่” หัวกลมคล้ายซาลาเปาส่ายไปมาจนผ้าผูกผมสีแดงทั้งสองข้างปลิวไปตามแรง ประชาชนทั่วไปที่จะมีพลังภายในนั้นก็ใช่ว่าจะหาง่ายๆ นางเองเป็นเพียงเด็กน้อยอีกทั้งยังเป็นสามัญชนธรรมดาหากจะไม่รู้จักวิธีการฝึกปราณคงมิแปลกอะไร “อีกหนึ่งเดือน ข้าจะออกจากที่นี่เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อม” ออกจากที่นี่ มิใช่ว่ารอบๆ ตำหนักแห่งนี้ถูกควบคุมอย่างแน่นหนาหรือไร มิเช่นนั้นกลุ่มวิหคคงมิต้องใช้นางปลอมตัวเข้ามาเช่นนี้ ลำพังนางออกจากวังไปคงไม่มีใครสงสัยหรือว่ากล่าว เพียงค้นตัวเล็กน้อยก็ไปได้ แต่สำหรับองค์ชายน้อยตรงหน้าการลักลอบออกจากที่นี่ก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ เวลาผ่านไปรวดเร็วราวสายน้ำไหล เยว่เอ๋อร์มาอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ร่วมสองเดือนแล้ว เวลานี้เด็กน้อยอย่างนางกำลังนั่งเหงื่อตกอีกครั้งเพราะชายต่างวัยสองคนกำลังเตรียมตัวที่จะลักลอบออกจากที่นี่ ใบหน้ากลมซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวจับใจแม้จะเตรียมใจมาเป็นเดือนแล้วแต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็อดหวาดกลัวมิได้ ยามโฉ่ว (เท่ากับเวลา 01.00 น. จนถึง 02.59 น.) เงาร่างสามร่างปรากฏขึ้น เฉินมี่ถงอุ้มเยว่เอ๋อร์เอาไว้แนบอก ก่อนใช้วิชาตัวเบาทะยานออกจากพระตำหนัก ทุกสิ่งทุกอย่างดูราบรื่นจนเยว่เอ๋อร์ถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจ หากแต่เพียงปลายเท้าของเฉินมี่ถงและองค์ชายหยวนหรงหย่งหมิงแตะพื้นเท่านั้น เงาร่างชายชุดดำหลายสิบคนก็ล้อมพวกเขาเอาไว้ ชีวิตนางเอกเช่นนางนี่น่าสงสารจริงๆ จะกี่ภพกี่ชาติก็ล้วนโดยไล่ล่า เฉินมี่ถงเดินปราณในกายแสงสีเขียวนวลตาปรากฏรอบๆ ตัว ดวงตาหวานหันไปมององค์ชายน้อยที่สวมชุดสีแดงเข้มเลือดนกปักลายพยัคฆ์สีเงิน รอบตัวเขาก็ปรากฏแสงสีเขียวนวลตาเช่นกัน คงมีเพียงนางที่เป็นเด็กน้อยไร้พลังใดๆ ชายชุดดำพุ่งเข้าโจมตีพวกเขาทั้งสาม เฉินมี่ถงอุ้มเยว่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขน กระบี่ในมือพุ่งทะยานฟาดฟันใส่ศัตรูทุกขบวนท่าล้วนโดนจุดสำคัญสามารถปลิดชีพได้ทุกครั้ง เยว่เอ๋อร์รู้สึกวิงเวียนยิ่งนักนางถูกเขาจับหมุนไปหมุนมาอีกทั้งกลิ่นคาวเลือดยังฟุ้งกระจายไปทั่ว ดวงตาหวานมองไปที่ร่างขององค์ชายน้อย ร่างเด็กชายในชุดสีแดงเลือดนกยืนสง่างามท่ามกลางวงล้อมของชายชุดดำ ใบหน้ากลมมองเขาอย่างห่วงใย จะอย่างไรเขาก็เป็นเพียงเด็กชายวัยสิบกว่าปี ถูกชายชุดดำร่วมสิบชีวิตล้อมวงรุมเช่นนี้จะต้านได้สักเท่าไรเชียว ขณะที่นางกำลังกังวลใจแทนเขานั้น องค์ชายน้อยกลับยืนเด่นสง่ากลางวงล้อมไม่มีแววตาหรือท่าทางหวาดกลัวแม้เพียงนิด ชายชุดดำเริ่มพุ่งเข้าโจมตี เขาเพียงเบี่ยงตัวหลบเบาๆ ให้พ้นวิถีใช้ปราณผ่านฝ่ามือซัดเข้าที่จุดตายของศัตรูทุกกระบวนท่า เมื่อเห็นว่าองค์ชายน้อยตรงหน้ามิใช่หมูในอวย ชายชุดดำจึงใช้วิธีบุกโจมตีพร้อมกัน กระบี่ยาวพุ่งเข้าหาเขาเพียงพริบตาในมือขององค์ชายน้อยก็ปรากฏกระบี่เล่มบาง นางมองแทบมิทันด้วยซ้ำว่าเขาเอากระบี่บางนั้นซ่อนไว้ที่ใด เพียงพริบตาร่างชายชุดดำเกือบสิบชีวิตก็ไร้ลมหายใจ ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็นเขาใช้วรยุทธ์จึงอดกังวลแทนองค์ชายน้อยมิได้แต่มาตอนนี้เห็นทีคนที่นางต้องห่วงคงเป็นตัวเองเสียมากกว่า “ฝีมือมิเลว” เสียงเข้มดังมาจากด้านบนกำแพง เฉินมี่ถงและองค์ชายหยวนหรงหย่งหมิงขยับตัวมาประชิดกัน เยว่เอ๋อร์มองไปตามเสียงเข้มก้องกังวานนั้น ปรากฏชายชุดสีดำสนิทสวมหน้ากากสีดำไร้ลวดลายใดๆ พริบตาชายผู้นั้นก็มายืนประจันหน้ากับพวกนาง รอบกายของชายผู้นั้นมีแสงสีน้ำเงินเข้มปรากฏ “พลังปราณระดับห้า องค์ชายเห็นทีงานนี้คงลำบากเสียแล้ว” “หึ! เพียงปราณระดับห้าขั้นต่ำต่างจากข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าจะหวั่นไปไย” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นแต่ในใจของหยวนหรงหย่งหมิงก็หวั่นมิน้อย เป็นที่รู้กันว่าพลังปราณแต่ละระดับนั้นมีความต่างกันมหาศาล เขาอยู่ในระดับสี่ขั้นสูงจะอย่างไรก็มิสามารถรับมือกับชายตรงหน้าที่มีปราณระดับห้าขั้นต่ำได้อย่างแน่นอน ชายชุดดำยกยิ้มเย็นเล็กน้อยก่อนดึงกระบี่คู่ออกมาแล้วตรงเข้าประชิดทั้งสอง เยว่เอ๋อร์ถูกปล่อยตัวออกจากอ้อมอกของเฉินมี่ถงเมื่อเจอศัตรูที่ร้ายกาจเขามิอาจอุ้มนางไว้ในอ้อมอกได้อีก การปะทะกันของผู้มีปราณขั้นสี่ขึ้นไปคนที่ไม่มีพลังปราณอย่างนางอาจได้รับอันตรายได้ เยว่เอ๋อร์หลบที่หลังต้นไม้ใหญ่ดวงตาหวานจดจ้องการปะทะกันของชายทั้งสาม พลังปราณระดับห้ามิธรรมดาจริงๆ แม้เฉินมี่ถงและองค์ชายหยวนหรงหย่งหมิงจะรวมพลังกันหากแต่ก็มิสามารถเอาชนะเขาได้ อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บมิน้อย “องครักษ์เฉินข้ากับเจ้ามิได้มีความแค้นส่วนตัวกัน หากวันนี้เจ้ามิขัดขวางงานของข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” เฉินมี่ถงถ่มเลือดลงบนพื้น ดวงตาดุดันจ้องมองชายชุดดำอย่างโกรธแค้น มือหนากุมกระบี่เข้าประชิดชายชุดดำอีกครั้ง “แม้ตายข้าก็จะปกป้ององค์ชาย” กระบี่อาบแสงสีเขียวนวลปะทะเข้ากับดาบคู่อาบแสงสีน้ำเงินเป็นภาพที่งดงามและหาชมได้ยาก หากแต่เวลานี้เยว่เอ๋อร์กลับรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เฉินมี่ถงถูกพลังปราณของชายชุดดำซัดเข้าที่กลางอก ร่างสูงเซถลาไปหลายจั้ง องค์ชายหยวนหรงหย่งหมิงรีบเข้าไปประคองก่อนที่จะลุกขึ้นเข้ารับมือกับชายชุดดำ “คนที่เจ้าต้องการคือข้า ปล่อยคนของข้าไป” “องค์ชาย…” พูดมิทันจบประโยคเฉินมี่ถงก็กระอักเลือดออกมาคำโต ชายชุดดำยกยิ้มมุมปากมิต้องเปิดเผยดวงตาเยว่เอ๋อร์ก็รู้ว่าเขาต้องกำลังส่งสายตาเย้ยหยันมาที่เฉินมี่ถงเป็นแน่ ขณะที่หยวนหรงหย่งหมิงกำลังจะปะทะกับชายชุดดำก็ปรากฏคนอีกกลุ่มขึ้นมา เยว่เอ๋อร์จำได้ดีว่าคนกลุ่มนี้คือกลุ่มเดียวกับที่นางเจอในศาลเจ้านั่นเอง “พวกกระหม่อมมาช้าไป องค์ชายโปรดอภัย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD