มหาวิทยาลัยเอกชน A
คณะจิตวิทยา
เวลา 14.40 น.
“อาการส่วนใหญ่ที่เราจะพบได้ในตัวผู้ป่วย มีอยู่หลายประเภท การมองโลกใบนี้ต่างออกไปควบคู่กับอาการประสาทหลอน การหลงผิดเพราะความคิดผิดปกติ บกพร่องทางด้านอารมณ์แสดงออกไม่เหมาะสม ส่วนสุดท้ายคือความคิดทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตาย...”
เสียงของอาจารย์ประจำภาควิชาดังก้องไปทั่วห้องโสต เบื้องหน้าปรากฏรูปภาพของผู้ป่วยจากเครื่องฉายภาพ ฉันกำปากกาก้มๆ เงยๆ และจดสิ่งที่ได้เรียบรู้ในวันนี้ลงสมุดอย่างขะมักเขม้นและที่กำลังบันทึกลงสมุดนั้นฟังดูเข้าข่ายกับคำพูดของใครบางคนซึ่งมีความคิดไม่ปกติ
‘วิถีของการมีชีวิตในโลกคือการไม่มีกฎ ถ้าอยากรู้ว่าโลกเป็นยังไงมันก็ต้องหัดแหกกฎกันบ้าง…’
“สิ่งเดียวที่พวกคุณห้ามลืมเวลาต้องเข้าช่วยบำบัดผู้ป่วยคือความเห็นใจในความเป็นมนุษย์ เพราะมีความรู้สึกเหมือนกับคนปกติ”
“...”
“ก่อนจบคลาสนักศึกษามีอะไรจะถามผมไหม?” สิ้นเสียงถาม ปากกาในมือก็ถูกวางลง ฉันเงยหน้ามองตรงไปยังด้านหน้าคลาสเรียนและพบว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งกำลังยกมือ “ว่ามาครับคุณนภารัตน์...”
“ในบรรดาผู้ป่วยทางจิต เป็นไปได้ไหมคะว่าที่เขามีอาการเหล่านั้นเพราะขาดความรัก”
“เป็นคำถามที่ใช้ได้... ครับ...ผู้ป่วยทางจิตบางคนมีการเลี้ยงดูที่ต่างกันออกไป ความรักและความอบอุ่นจากทางครอบครัวหรือคนรอบข้างจึงเป็นสิ่งที่เขาต้องการ”
‘เวลาเรามองสวย เราสงสัยมาตลอดเลย...ว่าเวลาจูบ แว่นนี่จะเกะกะไหม?’ ขาดความรักงั้นเหรอ...
“อย่างที่ผมพูดไว้ข้างต้น การบำบัดผู้ป่วยคุณต้องใช้ความอดทนและอย่าลืมว่าพวกเขายังมีชีวิตจิตใจและความรู้สึก...” คำพูดอธิบายของอาจารย์เงียบลงพร้อมกับฉันที่ยกมือขึ้นจากทางด้านหลังห้อง “ว่าไงคุณอรวรา?”
พอถูกขานชื่อทุกสายตาก็เหลียวมองมาอย่างพร้อมเพรียง
“แล้วผู้ป่วยที่เป็นโรคสไตเรียซิสกับโรคสองบุคลิกล่ะคะ ผู้ป่วยสองประเภทนี้ถูกจัดว่าขาดความรักหรือเปล่า?”
“อย่างที่ผมพูดไว้ มันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยซึ่งมีต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้ป่วยมักจะมีการต่อต้านยามที่ต้องเข้าหาบุคคลไม่คุ้นเคย หากว่าเขาสามารถเข้ากับคุณได้นั่นแปลว่าเขาอาจจะรู้สึกดีกับคุณและพร้อมที่จะรับการบำบัด ซึ่งเรื่องนี้ผู้ป่วยโรคสไตซีเรียอาจใช่และไม่ใช่ในกรณีที่ผมกล่าวถึง อย่างที่รู้โรคนี้มันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นโรคโหยหาความรัก...”
พอได้ฟัง ฉันจึงค่อยๆ ลดมือลงท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมคลาส แต่ดูเหมือนว่าความเป็นจุดสนใจจะไม่ยอมสิ้นสุดลงง่ายๆ เมื่ออาจารย์เอ่ยปากถามเชิงแซวขึ้นมา
“แต่ในกรณีนักศึกษาสวยๆ อย่างคุณอรวรา ผู้ป่วยหลายคนอาจจะอยากเข้าหาเป็นเรื่องปกติ ความสวยของคุณอาจจะดึงดูดผู้ป่วยให้สนใจก็ว่าได้...” เมื่ออาจารย์ว่าจบเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมคลาสนับสิบก็ดังขึ้น
รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่ชอบเข้าสังคม เพราะฉันเกลียดบรรยากาศแบบนี้ ฉันไม่ชอบที่ต้องเป็นจุดสนใจ เกลียดการถูกห้ามและขัดจากสิ่งที่ชอบ อีกทั้งบรรยากาศแบบนี้มันจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดจนไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรต่อ ทว่า ตอนนั้นเองเสียงหนึ่งในหัวกลับดังแทรกเสียงหัวเราะเหล่านั้นขึ้นมา
และมันดังมากจนแทบกลบเสียงรอบตัวจนหมดสิ้น...
‘สนุกกับมัน...เหมือนเจ้าหมูโสโครกตรงหน้าสิ...’
เหมือนเจ้าหมูโสโครก...ตรงหน้างั้นเหรอ?
ความคิดกล่าวทวนเสียงของ JOKER ก่อนหยุดลงเมื่อฉันเงยหน้าหวาดสายตามองนักศึกษาและอาจารย์ประจำภาควิชาตรงหน้า สิ่งที่สะท้อนผ่านสายตากลับมาคือภาพของหมูสกปรกในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลคและเหล่าหมูโสโครกอีกหลายสิบตัวซึ่งกำลังนั่งเรียงกันอยู่บนที่นั่งในสภาพของนักศึกษา
เจ้าหมูโสโครกตัวใหญ่หน้าคลาสพยายามโบกมือเรียกฉันที่มองเหม่อ พร้อมทั้งถามขึ้นโดยเคล้าเสียงร้องแบบสัตว์
“คุณอรวรา...Oink oink[1] คุณเงียบทำไม มีอะไรจะถามผมอีกไหม...Onik onik”
เจ้าหมูตัวนั้นตัวตลก...และน่าขำ
“คิกๆ...”
“คุณอรวรา...Oink oink”
“ฮ่ะๆ” หยุดพูดสักทีเจ้าหมูโสโครก
“คุณอรวรา...คุณ...Oink oink”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” บ้าชะมัด หมูพวกนี้กำลังทำฉันขำท้องแข็ง
ใครก็ได้ช่วยหยุดพวกมันที!!
“!! ”
- KER TALK –
หากอยากมองความเคลื่อนไหวของทุกสิ่งรอบตัวให้ชัดเจนและทั่วถึง สถานที่สูงจึงเป็นจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะแบบนั้นผมจึงพาตัวเองขึ้นมานอนเหยียดกายพิงหลังอยู่บนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ซึ่งพอรับน้ำหนักของมนุษย์ได้
ต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างตึกคณะจิตวิทยาและตึกคณะนิเทศฯ และการที่อยู่ตรงนี้มันเลยทำให้ผมสามารถมองเห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาหน้าตาสวยสะดุดทุกสายตาให้หันมอง กำลังถูกอาจารย์ประจำคลาสเรียนไล่ออกจากห้องโสต
“หึๆ” ผมกระตุกยิ้มทันทีที่เห็น ไม่ใช่เพราะรู้สึกสมน้ำหน้าที่เธอถูกอาจารย์ไล่ออกจากห้อง แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าเธอกำลังหัวเราะอย่างสุดเสียงถึงขั้นใช้มือกดท้องตัวเองไว้ เสียงหัวเราะของเธอดังมาถึงบริเวณที่ผมนอนอยู่ และรู้ไหมว่าเสียงหัวเราะของเธอวันนี้มันต่างจากที่ผมเคยได้ยิน
เสียงหัวเราะของเธอครั้งนี้ มันน่าพิสมัยกว่าที่เคยได้ยินมา...
ผมมองเธอและจ้องอยู่อย่างนั้น ขณะหูเงี่ยฟังเสียงหัวเราะเปี่ยมด้วยเสน่ห์อย่างพึงพอใจ เพียงไม่นานเสียงบางอย่างก็เริ่มเปลี่ยนความสุนทรีให้กลายเป็นการกวนใจ
“นี่ช่วงนี้ได้ข่าวอะไรของ JOKER บ้างมะ?” การรับฟังถูกหันเหไปยังนักศึกษาหญิงคู่หนึ่งซึ่งพากันเดินมานั่งหลบแดดใต้ต้นไม้ หากทว่าสายตายังคงมองเป้าหมายเก่าไม่วางตา
ประมานว่าเสียงเท่านั้นที่ดึงดูดความสนใจ ส่วนสายตาสามารถมองเธอได้แค่คนเดียว...
“ไม่นี่ ข่าว JOKER ช่วงนี้เงียบจะตาย ตั้งแต่พี่พลอยเฌอฉันก็ไม่เห็นได้ข่าวอะไรอีกเลย”
ผมเงี่ยหูฟังบทสนทนาของเด็กสาวหน้าตาดี 2 คนใต้ต้นไม้อย่างสนใจ และหลับตาลงหลังจากหญิงสาวที่สนใจเดินหายเข้าไปในตัวอาคาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้เสียงเล็กๆ ของพวกเธอดังชัดในโสตประสาทมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า
“ใครว่าล่ะ พี่ผู้หญิงที่เรียนคณะนิเทศฯนั่นไง...” พวกเธอกำลังพูดถึงผู้หญิงหน้าตาพอไปวัดไปวาแต่ชอบวางอำนาจคนนั้น “ได้ข่าวว่าเมื่อวานพี่เขาสติแตกอะไรไม่รู้ วันนี้ทำเรื่องขอลาออกไปแล้ว เขาลือกันว่าพี่เขาเจอกับ JOKER มาถึงได้เสียสติแบบนั้น...”
พอฟังมาถึงจุดนี้ ผมก็เริ่มรู้สึกหน่ายกับสิ่งที่ได้รับรู้ จำต้องหยุดการรับรู้ทุกอย่างเพื่อพาตัวเองไปจากตรงนั้น
ฟึ่บ! ตุบ!!
“ว้ายย!” การกระโดดลงจากที่สูงดูจะทำให้นักศึกษาหญิงทั้งคู่ดูตกใจเป็นอย่างมาก
นักศึกษาหญิงคู่เดิมจ้องผมไม่วางตา อาจเพราะกระโดดลงมาจากที่สูงในสภาพปกติอย่างปลอดภัย หรือไม่ก็เพราะบนใบหน้าผมตอนนี้ไม่ได้สวมแว่นหนาจนเป็นเอกลักษณ์คุ้นเคยของคนในมหาวิทยาลัยก็ได้ และพวกเธอยิ่งทำหน้าแตกตื่นปนตกใจเข้าไปใหญ่ ก็ในตอนที่ผมยิ้มและเอ่ยปากบอกพวกเธอออกไปด้วยประโยคสั้นๆ แสนเรียบง่าย
“พูดถึง JOKER มาก ระวังพวกน้องจะเจอดีนะครับ...”
เอ่ยจบผมก็เดินปลีกตัวออกมาแบบไม่สนใจว่าเด็กสาวสองคนนั้นจะพูดอะไรต่อ พลางหยิบแว่นสำรองจากกระเป๋ากางเกงขึ้นสวมเพื่อกลับเป็นเกอร์คนเดิม
“♪~” ผมฮัมเพลงละครสัตว์แสนโปรดในลำคอตรงกลับหอพักของตัวเองอย่างอารมณ์ดี
แต่อารมณ์ดีได้ไม่นานก็ต้องเจอเรื่องอารมณ์เสีย
“ไง มึงจะไปไหนไอ้โรคจิต!?” เดือนคณะนิเทศฯ ผู้เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์และพรสวรรค์ทางด้านการเสแสร้งและความมาดร้ายต่อผู้ที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า “วันนี้ถ่ายใต้กระโปรงใครไปบ้างแล้วล่ะ เอามาแบ่งกูดูบ้างเร็ว”
ผมไม่ตอบเพราะไม่อยากเสวนาด้วย จึงเลือกที่จะเดินผ่านเลยไป ทว่า
ฟึ่บ!
“เฮ้ย พูดด้วยแล้วหยิ่งเหรอวะไอ้แว่น!?” มันกลับกระชากคอเสื้ออย่างแรงเพื่อรั้งผมไว้กล่าวปรามาสและดูถูกอย่างไม่ไว้หน้า “กูบอกเอารูปแอบถ่ายมาแบ่งบ้างไง ใจคอคิดจะเก็บไว้ว่าวคนเดียวเหรอวะ!?”
“…” ผมไม่ตอบแต่เลือกจ้องลึกผ่านนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยบาปนับประการ จับจ้องจนกระทั่งอีกฝ่ายเงียบเสียงลงไปเอง
“เฮ้ย! กูพูดด้วยเนี่ย หูตึงหรืองะ...อะ” รูม่านตาที่เริ่มขยายกว้างขึ้นขณะที่มองสู้ตากัน ทำผมยกยิ้มอย่างพอใจ พร้อมกันนั้นมือซึ่งเคยกำกระชับคอเสื้อก็เริ่มคลายออกอย่างช้าๆ จนปล่อยตัวผมเป็นอิสระในที่สุด
“นอนลงไปบนพื้น...แล้วทำตัวให้เหมือนพวกหมาขี้เรื้อนสิ” และนั่นคือคำพูดประโยคเดียวที่มันจะได้ยินจากปากสมอย่างที่มันต้องการ
ผมก้าวเท้าเดินกลับจุดหมายของตัวเองอีกครั้ง มือพลางจัดแต่งปกคอเสื้อนักศึกษาที่ยับให้กลับมาเรียบร้อยและจัดทรงแว่นให้เข้าที่เข้าทางอย่างไม่คิดหันกลับไปสนใจนักศึกษาหนุ่มซึ่งกำลังสลัดเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามของตัวเองออกจนหมด แล้วมอบลงในท่าคลานเข่าก่อนเริ่มวิ่งไปรอบๆ
ราวกับหมาขี้เรื้อน...