EP03
-ปะทะJOKERครั้งที่3-
‘ที่ฉันพูดน่ะ ไม่ใช่การสอน...แต่มันคือการพูดบำบัดจิตระหว่างนายกับฉัน ฐานะผู้ป่วยทางจิตกับนักศึกษาจิตวิทยาคลีนิก’
สังเกตสีหน้าเขาหลังพูดจบ ฉันรู้สึกได้ว่า เขาดูไม่สบอารมณ์กับคำว่า ‘ผู้ป่วยทางจิต’ เท่าไหร่นัก แต่อีกนัยหนึ่งก็ดูไม่ได้แยแสหรือให้ความสนใจคำพูดดังกล่าวเช่นกัน
“No no no~ ฉันไม่ได้บ้า” ยังคงความทะลึ่งตึงตังผ่านน้ำเสียงอาจเพราะรอยยิ้มสีแดงที่ลากยาวเกือบถึงใบหูก็ได้เขาเลยดูเหมือนกำลังยิ้มตลอดเวลา ไหนจะท่าทางที่เขากำลังแสดงออกขณะพูดด้วยการชูสองนิ้วเป็นหูกระต่ายกระดิกไปมาให้เข้ากับคำพูดของตัวเอง “ฉันแค่อารมณ์ดี...”
“คนบ้า มักบอกไม่ได้บ้า เนื่องจากจิตใต้สำนึกถูกภาพความคิดปลอมๆกัดกินจนเชื่อมั่นว่า ทุกการกระทำของตัวเองคือเรื่องที่คนปกติทำกัน…” ประโยคยืดยาวถูกเอ่ยแย้งเสียงขี้เล่น ทำคนฟังทำหน้าฉงนแต่ว่ายังคงภาพลักษณ์ของตัวตลกวิปลาสอันน่าค้นหาอย่าง JOKER ไว้ได้อย่างแยบยล
คนตัวสูงพยักหน้าคล้ายกับเข้าใจซึ่งแท้จริงมันก็แค่การแสดงออกแบบขอไปทีเท่านั้น ในเมื่อสิ่งที่เขาสวนกลับมา ดูเหมือนกำลังเปิดสงครามคำพูดมากกว่าจะยินยอมและรับในสิ่งที่เป็น
“คำพูดเธอน่าสนใจ...” JOKER หรี่ตามองราวกับพยายามจับผิดในสิ่งที่ถูกวินิจฉัย เขาเอามือไขว้หลังก่อนเบือนหน้าเชิดและเริ่มก้าวเดินวนไปรอบตัวฉันเป็นวงกลม
ฉันลอบมองหน้าเขาเป็นพักๆเพื่อระวังการจู่โจม และสังเกตได้ว่า JOKER ยังคงทำตัวเป็นปกติทุกอย่างทั้งสีหน้า เขาไม่ได้แสดงความไม่พอใจแต่เหมือนกำลังเล่นสนุกในบทบาทของตำรวจซึ่งทำการสอบปากคำนักโทษเสียมากกว่า
“ไหนลองบอกสิ ว่าพฤติการณ์ไหนของ JOKER ที่คุณหมอคิดว่ามันไม่ปกติ?”
“...”ตอนแรกมันก็น่าดีใจและสนุกไม่ใช่น้อยที่คนธรรมดาอย่างฉันมีโอกาสไล่ต้อนปีศาจที่ใครต่อใครว่าร้ายกาจให้จนมุม
“ลักษณะท่าทางภายนอกหรือเพราะฉันแค่สนองความปรารถนาให้พวกผู้หญิงโดยมีของแลกเปลี่ยนนิดๆหน่อยๆเป็นชีวิตและร่างกายล่ะ หืม?” แต่เวลานี้ดูเหมือนว่าเขาจงใจจะต้อนฉันคืน โดยการถามถึงเรื่องที่มีแค่เขาเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ
กว่าจะหาคำตอบดีๆเพื่อใช้ต่อสู้กับสงครามประสาทที่อีกฝ่ายตอบโต้มาให้ ก็เล่นใช้เวลาคิดอยู่พอสมควร โชคดีที่คำพูดของใครคนหนึ่งดังแวบเข้ามาในหัว จนชวนให้จับมาผูกเป็นประเด็นสำหรับจับผิด
“นายน่ะเหมือนคนที่ฉันรู้จักเลยรู้ไหม?” ทั้งที่มันอาจไม่เกี่ยวกัน แต่ว่าฉันก็ยังจับประเด็นเรื่องที่เกอร์เคยทิ้งไว้ผูกเกี่ยวกับเรื่องนี้จนได้
‘KER น่ะเหรอ?’
‘ไม่ใช่ KER…แต่เป็น JOKER ต่างหาก’ ไม่ใช่เพราะสงสัยเรื่องตัวตนระหว่าง JOKER กับเกอร์แต่ฉันกำลังหาเหตุผลใช้เชื่อมโยงในสิ่งที่เขาสงสัยอยู่ต่างหาก
“คนๆนั้นค่อนข้างขี้อาย นิสัยต่างจากนายตอนนี้สุดขั้ว...” คนฟังยอมหยุดเท้าลงเมื่อได้รับคำตอบโดยคงรอยยิ้มกระหยิ่มไว้บนใบหน้า เขาไม่แสดงท่าทางหวั่นวิตกยามถูกต้อนให้เห็นสักนิด เพราะงั้นเกมจิตวิทยาระหว่างเราจึงเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ “เรื่องเดียวที่คล้ายกันก็คือ การใช้เรือนร่างของบุคคลต่างเพศสนองความต้องการของตัวเองในทุกเหตุผล...”
“อ่าฮะ...” JOKER พยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจกับข้อสันนิฐานก่อนเริ่มก้าวเท้าช้าๆ ส่วนปากก็ถาม “เพราะงั้นเธอเลยกล่าวหาทุกคนที่เหมือนผู้ชายคนนั้นว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตสินะ”
“หึ!” ฉันกระตุกยิ้มอย่างนึกตลก เมื่อได้ฟังคำถามและคิดว่าเขากำลังแสดงจุดบอด โชว์ความผิดพลาดของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว พานให้ความคิดพุ่งเป้าไปยังเรื่องซึ่งถูกยกขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับเป็นเหตุผลและแก้ต่างข้อครหาของเขาในตอนแรก ทันที “ ตอนแรกฉันบอกว่า นายเหมือนคนรู้จัก แต่ไม่ยักจำได้ว่าบอกนายด้วย...ว่าคนคนนั้นเขาเป็นเพศอะไรนี่นา คิกๆ... ”
ฉันจงใจแสร้งพูดติดตลกเพื่อจับพิรุธแบบซึ่งๆหน้า แต่อีกฝ่ายดันไม่ได้ทำท่าผิดสังเกตหรือแสดงอาการร้อนรนอย่างใด กลับกันเขายังผายมือพร้อมเอ่ยปาก
“ว่าต่อสิ คุณผู้หญิง...”
“คำถามก็คือ...” แม้ว่าท่าทางซึ่งเหมือนไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดใดจะทำฉันไขว้เขว แต่ในเมื่อเขาเสนอฉันจึงไม่รอช้าเพื่อสนอง “ตอนนี้ฉันชักสงสัยแล้วสิว่า นายน่ะคือคนเดียวกับเกอร์ รูมเมทฉันหรือเปล่า?”
คนถูกถามหลุดหัวเราะคล้ายกับชอบใจพลางปรบมือดังแปะๆไปด้วยซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เท้าของเขาหยุดลงเบื้องหลังฉันพอดี ก่อนให้คำตอบในสิ่งที่ฉันต้องการ
“แล้วถ้าใช่ล่ะ เธอจะว่าไง?” คำตอบสุดช็อกแบบไม่คิดจะปิดบัง ทำฉันหมดคำพูด ไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบเขากลับไปอย่างไร ต่อให้สิ่งที่เราพูดกันอยู่นั้น เป็นเพียงสงครามประสาทขนาดย่อมที่ต่างฝ่ายต่างสาดคารมใส่กัน คงเพราะฉันไม่พูด JOKER ถึงได้พูดขึ้นเอง “แต่ถ้าฉันเป็นคนที่พูดถึงจริงๆ เธอคงลำบากหน่อย...”
“หมายความว่าไง...อ๊ะ!” ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆคนตัวสูงจู่โจมแบบไม่ให้เตรียมตัวเตรียมใจ
ฟึ่บ!
มือของ JOKER พุ่งเข้ารวบเอวกระชากเข้าชิดลำตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะได้ส่งเสียงหรือโวยวาย ฝ่ามือเย็นเฉียบข้างที่ไม่สวมถุงมือกลับพุ่งเข้าเชยคางฉันให้เชิดขึ้นจบพบกับรอยยิ้มชวนขนลุกในแบบที่ปีศาจพึ่งจะมีและคำตอบของคำถามที่ต้องการ
“ฉันไม่เหมือนมนุษย์ที่เธอพูดถึงหรอก...เพราะฉันเลือกทำแค่บางคนด้วยข้อตกลงและเหตุผล... ”
“จะทำอะไร!?” ฉันพยายามดิ้นออกจากการถูกจับกุมเมื่อรู้สึกว่าสถานการณ์ที่เกิดไม่สู้ดีนัก แต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรวบกายแน่นขึ้นจนคล้ายกับเป็นการล็อกตัวเสียมากกว่าแถมยังพูดออกมาไม่หยุดเหมือนไม่ได้ฟัง
“อีกอย่างอารมณ์ฉันก็แปรปรวนง่ายด้วย ยกตัวอย่างเช่น... ”
“ปะ ปล่อย!”
“ตอนแรกอยากขำ แต่เปลี่ยนใจแล้ว...” JOKER ไม่สนใจเสียงปรามของฉันด้วยซ้ำ เขาโน้มใบหน้าลงมาหาเรื่อยๆและพูดต่อเติมประโยคที่ค้างไว้จนจบ
“ตอนนี้ อยากกัดปากเธอมากกว่า...”
เมื่อไม่สามารถดิ้นให้หลุดจากการถูกรวบตัวได้ ฉันจึงใช้วิธีการอื่นเพื่อป้องกันการถูกช่วงชิงริมฝีปากจากเขาแทน มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็วสอดนิ้วชี้แทรกผ่านระยะห่างระหว่างริมฝีปากของเราทั้งคู่ ปิดทับผิวปากฉันจนสนิทและเป็นจังหวะเดียวกับที่ JOKER ประกบริมฝีปากทาบลงมาบพอดิบพอดี
คนตัวสูงไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจผ่านแววตาคู่คมซึ่งกำลังจ้องลึกเข้ามาในตา อีกทั้งไม่จับมือฉันเพื่อลดปลายนิ้วที่ขวางกั้นริมฝีปากของเราทั้งคู่ออก แต่เขากลับกดผิวปากอุ่นของตัวเองบดเบียดเข้าหาปลายนิ้วเสมือนว่ากำลังทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่
ทั้งที่สัมผัสของเขาถูกคั่นกลางด้วยนิ้วของฉันเองแท้ๆ แต่น้ำหนักบดขยี้และความร้อนจากริมฝีปากเคลือบสารลิปสติกที่ได้รับมากลับไม่ได้ต่างไปจากการจูบกับเขาแบบตรงๆเลยสักนิด การที่เป็นแบบนั้นเลยทำให้ร่างกายทุกส่วนเริ่มเกิดอาการวูบร้อนอยู่ภายในอย่างน่าแปลกโดยเฉพาะในยามที่เขาจงใจใช้ปลายลิ้นเลียไปตามแนวของนิ้ว
JOKER ใช้เวลารุกรานนิ้วฉันด้วยจูบอยู่ครู่สั้นๆ ไม่รู้เป็นเพราะร่างกายฉันมันเริ่มสั่นเพราะการกระทำของเขาอยู่หรือเปล่า ถึงได้ทำให้อีกฝ่ายยอมคลายวงแขนที่กอดรัดรอบกายออกไปพร้อมนิ้วที่ใช้บีบเชยคาง รวมถึงสัมผัสจากริมฝีปากร้อนแบบไม่รีบไม่ร้อน ราวกับต้องการฝากทิ้งไออุ่นและความรู้สึกประหลาดไว้ที่ตัวฉันให้มากที่สุด
แม้จะไม่ชินและรู้สึกแปลกกับสิ่งที่ได้รับมา ถึงงั้นฉันก็มีสติดี เมื่อถูกปลดปล่อย ร่างกายก็รีบตักตวงอิสรภาพไว้กับตัวทันที ด้วยการรีบผละตัวถอยห่างจากผู้ชายท่าทางแปลกโดยมีเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอคล้ายกับชอบใจดังอยู่ตลอดเวลา
เมื่อตั้งหลักได้และมองเขาตรงๆ อีกครั้ง คำถามใหม่ก็ถูกถามขึ้นอย่างคนอารมณ์ดี
“อาการแบบเนี่ย...ไม่ทราบว่าคุณหมอจะรักษาให้หายได้ไหม?” เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง ถ้าสังเกตดีๆ ดูเหมือนว่าคราบลิปสติกสีแดงของเขาบางส่วนจะเริ่มจางหายไป เมื่อก้มมองที่นิ้วตัวเองถึงได้รู้ว่า ส่วนที่จางไปมันได้มาติดอยู่ที่นิ้วของฉันนั่นเอง
“ฉะ ฉันไม่ใช่หมอ ไม่ได้มีหน้าที่รักษาจนหาย” ยอมรับว่าฉันไม่เคยลงพื้นที่จริง ไม่เคยเจอคนป่วยทางจิตหรือผู้ป่วยที่ต้องการการบำบัด ไม่แปลกเลยหากฉันจะเกิดอาการสั่นบ้างเมื่อถูกเขาจู่โจมแบบนี้
แต่ถ้าคิดว่าอาการสั่นและความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นกับร่างกายฉันในตอนนี้คือความกลัวล่ะก็ บอกเลยว่าไม่ใช่ กลับกัน ฉันกำลังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ต่างหาก
“แต่หน้าที่ของฉันคือการตรวจวินิจฉัยและบำบัดรักษาให้ทุเลาลงต่างหาก”
“ถ้างั้น...”
“ฉันจะรับนายเป็นคนไข้ ถ้านายยินยอม...” ฉันขัดน้ำเสียงยียวนของคนตรงหน้าที่พยายามจะพูดแทรก นั่นทำให้คนตัวสูงแสยะยิ้มคล้ายกับจะท้าทายโดยเฉพาะคำพูด
“ถ้ากล้า...ก็ลอง”
“ฉันกล้า” ตอนนี้ระหว่างเราไม่ใช่สงครามประสาทอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือการท้าทายความสามารถและความกลัวมากกว่า
“แต่ฉันไม่มีของตอบแทนให้หรอกนะ เพราะถ้าอยากได้เธอต้องทำสัญญาผูกมัดวิญญาณและร่างกายกับฉันเหมือนคนอื่นเท่านั้น...” JOKER พยายามเล่นลิ้นแสดงให้ฉันรู้ว่า ต่อให้จะรับปากบำบัดหรือไม่ สิ่งที่ฉันจะได้จากเขามันคือความเสียเวลาเปล่าและนี่คือจิตวิทยาแขนงหนึ่งทีเขาใช้พูดล้อเล่นกับความคิดและความรู้สึกของคน
“ฉันไม่ต้องการของตอบแทน…” ในเมื่อเขากล้าที่จะใช้มันกับนักศึกษาจิตวิทยาบำบัดอย่างฉันล่ะก็ ฉันจะทำให้เขารู้สึกด้วยตัวเอง ว่ามันคือความผิดพลาดที่เขาพูดอะไรพรรค์นั้นออกมาเอง “แค่นายรับปากฉันเฉยๆก็พอ ว่าหลังจากการบำบัดสิ้นสุดลง...”
คนฟังทำหน้าแปลกใจพลางขยับกายไปยืนในท่ากอดอกอย่างสนอกสนใจ พลางใช้มือหนึ่งหนึ่งผายขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับเป็นการบอกให้ฉันพูดต่อ
“นายต้องมาเจอฉันในสภาพปกติที่ไม่ใช่ JOKER”
“...”
“กล้าพอรับปากไหม? หรือปอดเกินไปจนไม่กล้าล่ะ?”
วันต่อมา...
“ค่ะพี่ตี๋...สวยกำลังเดินไป”
[เมื่อวานพี่รอสวยตั้งนาน ไม่มาทำไมไม่โทรมาบอกล่ะครับ?]
“ขอโทษค่ะ พอดีสวยติดธุระอยู่”
[งั้นเจอกันที่ชมรมนะครับ ห้ามเบี้ยวพี่อีกนะ]
“ค่ะ” หลังจากตอบรับคำฉันก็ลดโทรศัพท์ลงแล้วจัดการเก็บใส่กระเป๋าสะพาย ขณะเท้าสองข้างยังคงก้าวเดินไปยังสถานที่ที่เป็นจุดหมาย
เส้นทางที่ใช้เดินก็เป็นเส้นทางเดียวกับเมื่อวาน ฉันต้องเดินผ่านตึกนิเทศฯเพื่อใช้เป็นเส้นทางลัดสำหรับตรงไปห้องชมรม ทั้งที่ความจริงแล้วจะเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นได้ แต่ว่า ฉันอยากแวะมาดูอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง
“อยะ อย่าเข้ามานะ!” ดูเหมือนว่าตึกคณะนี้จะมีเรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวันจริงๆ
“แกเป็นอะไร...ใจเย็นๆ สิแก”
“อย่ามาแตะตัวฉัน...มะ ไม่...ไม่....ไม่ อย่าเข้ามา” เสียงกรีดร้องของนักศึกษาหญิงในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงในชุดนักศึกษาหลุดลุ่ย เสียงร้องความสนใจของผู้คนแถวนั้นให้หันมอง รวมไปถึงฉันด้วยเช่นกัน
ถ้ามองไม่ผิด เธอคือนักศึกษาสาวคนเดียวกับที่เคยแกล้งเกอร์เมื่อวาน และเป็นเหยื่อคนเดียวกับที่ถูก JOKER เล่นงานเมื่อคืน สภาพเธอเวลานี้เหมือนคนเสียสติ พยายามไล่ตีผู้คนที่เดินเฉียดผ่านตัวเอง
“อย่า...อย่าทำฉัน มะ...มันจะมาแล้ว!” กรีดร้องเหมือนคนบ้า
“อะไร แกเป็นอะไร ใครจะมา นี่...อย่าเล่นแบบนี้สิ ฉันกลัวนะ”
“จะ โจ๊กเกอร์...นั่นไง มันจะมาแล้ว....ปล่อยฉัน! ปล่อย!” ปลายนิ้วสั่นเทาของเธอชี้ผ่านผู้คนไปยังพื้นที่ว่างเปล่าปราศจากร่างของมนุษย์ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ คล้ายกับเธอกำลังเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นไม่มีผิด แต่ว่า สายตาฉันดันไม่ได้หยุดลงตรงพื้นที่ว่างเปล่า กลับมองต่อยอดไกลออกไป และหยุดลงบริเวณทางเดินของตึกฝั่งตรงข้ามกับตึกนิเทศฯแทน
ที่ตรงนั้นฉันได้พบเข้ากับร่างสูงของใครบางคนยืนในท่ากอดอก เขาแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาสภาพเรียบร้อยไม่หลุดลุ่ยอย่างเช่นปกติ ใบหน้าคมเข้มฉาบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตานิ่งงันมองตรงไปยังนักศึกษาหญิงคนเดิมคล้ายกับกำลังชื่นชมผลงานตัวเอง หากแต่บนดวงหน้าไม่ได้ปรากฏรอยยิ้ม
เกอร์...
ภาพลักษณ์ของเขาในครั้งนี้ต่างจากปกติที่เคยเห็น เขาไม่ได้สวมแว่นสายตาหนาเตอะ ภาพการแสดงสีหน้าและท่าทางของเขาในมุมที่ต่างออกไป ทำฉันหวนนึกถึงข้อตกลงระหว่าง JOKER เมื่อคืน
‘หลังจากการบำบัดสิ้นสุดลง...นายต้องมาเจอฉันในสภาพปกติที่ไม่ใช่ JOKER’
‘...’
‘กล้าพอรับปากไหมหรือปอดเกินไปจนไม่กล้าล่ะ?’
‘เป็นข้อเสนอที่น่าสนุกดี...ฉันยอมรับข้อตกลงนั่นก็ได้ แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งนะ…’
‘...’ ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนหัวหมอมากแค่ไหนซึ่งไม่แปลกใจเลยหากคนอย่างเขาจะมีข้อแม้เพื่อใช้ต่อรองสวนกลับมา
‘อย่าเป็นบ้าตาม ก่อนจะบำบัดเสร็จล่ะ...เพราะหลังจากนี้ฉันจะตามดูเธอทุกฝีก้าว’
‘…’
‘ทั้งยามเรียน ยามกิน ยามนอน ยามอาบน้ำ...หรือแม้แต่วันที่เธอกลายเป็นบ้าเหมือนฉัน’
ฉันยืนจับตามองท่าทางแปลกๆ ของเกอร์อยู่ในมุมที่เขาไม่ทันสังเกตเห็น แต่ไม่นานนักหรอก เขาก็หันหลังเดินไปจากพื้นที่ตรงนั้นด้วยท่าทีที่นิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะเดียวกันอาการของนักศึกษาสาวคนเดิมก็เริ่มสงบลง
การที่เหตุการณ์ทั้งหมดบังเอิญประติดประต่อกันได้อย่างต่อเนื่องเหมือนเรื่องบังเอิญ ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้คำพูดที่เคยใช้ต้อนให้ JOKER จนมุมชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะตอนนี้ฉันเริ่มปักใจเชื่อแล้วว่าสิ่งที่พูดออกไปแบบไม่คิดในตอนนั้น อาจมีบางส่วนเป็นความจริงก็ได้...
“นี่!”
เสียงทักทายพร้อมฝ่ามือที่วางพาดลงบนไหล่ ทำฉันสะดุ้งเล็กน้อย ละสายตาไปจากแผ่นหลังของเกอร์ที่เดินทิ้งห่างไปไกล หันมองเจ้าของเสียงทักทายดังกล่าวทันที
“ตกใจเหรอ ฮ่าๆ มายืนทำอะไรตรงนี้?” เธอคือเกรซ สาวสวยแห่งคณะออกแบบดีไซน์ หนึ่งในสังคมสวมหน้ากากที่ฉันพยายามหลีกเลี่ยง
“ฉันกำลังจะไปทำธุระ”
“จริงเหรอ เหมือนกันเลย เดินไปด้วยกันไหม?” เธอยิ้ม
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” เอาเข้าจริงแล้ว ในบรรดาแก๊งหน้าฟ้าสวมหน้ากาก เกรซเป็นคนเดียวที่ฉันรู้สึกว่าเธอดูจริงใจกว่าใครเพื่อน แต่เพราะอยู่ในกระแสสังคม เธอจึงต้องตามน้ำ ไหลไปตามสิ่งที่ทุกคนอยากให้เป็น
เธอรู้จักวางตัวและเลือกทำ นั่นคือข้อดี แต่ข้อเสียคือ เธอดันตามเกมในสิ่งที่ทุกคนต้องการให้เป็น ไม่ใช่ต้องการเป็น...
“แล้วนี่สวยมีธุระที่ไหนเหรอ ถึงต้องเดินมาทางลัดแบบนี้?” เกรซพยายามชวนคุยตลอดทางที่เราเดินมาด้วยกัน
“จะไปชมรมน่ะ”
“ชมรมเหรอ?” เธอทำเสียงแปลกใจ “อย่าบอกนะว่า เธอก็ถูกทิชารบเร้าให้ไปเหมือนกัน”
“หมายความว่าไง?”
“ก็ทิชาน่ะสิ ตื้อให้ฉันไปชมรมขนหัวลุกเป็นเพื่อน ไม่เข้าใจเลย ปกติเห็นเหน็บเธอจะตายแล้วไหงถึงอยากให้ทุกคนไปที่นั่นนัก”
ดูเหมือนสิ่งที่เกรซบ่นจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เมื่อสถานที่ฉันตั้งใจไปดันเป็นที่เดียวกับที่เธอมา แถมที่นั่นยังมีคนรออยู่ก่อนแล้วถึง 3 คนประกอบด้วย พี่ตี๋ ยะหยา และทิชา พูดง่ายๆก็คือ ชมรมเรื่องลี้ลับตอนนี้ นอกจากชื่อชมรมแล้วมันได้รวมทุกอย่างที่ฉันอยากอยู่ให้ไกลเข้าไว้ด้วยกันหมด
“มากันสักที...ขอบคุณที่ยอมมากันนะครับ” พอมากันครบองค์ประชุมพี่ตี๋ก็เริ่มทำหน้าที่เจ้าของและผู้นำชมรมทันที “พี่ชื่อตี๋ครับ...ปี4คณะจิตวิทยาคลีนิกเหมือนน้องสวย เป็นคนก่อตั้งชมรมลี้ลับนี้ครับ”
นอกเหนือจากฉันที่รับปากพี่ตี๋ว่าจะมายังชมรมนี้แล้ว ทุกคนดูเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับสามสาวซึ่งหน้าเบื่อโลกราวกับนัดกันมา
“พี่รู้ว่ามันน่าเบื่อที่ให้น้องๆมารวมตัวกันที่ชมรมวันนี้...แต่ทั้งหมดนี่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวน้องๆเอง”
“นี่...” เสียงกระซิบกับแรงสะกิดช่วงต้นแขนทำฉันเหลือบเจ้าของการกระทำจากหางตา “ที่แท้ทิชาก็ถูกบังคับมาอีกที ยัยนั่นร้ายจริงๆที่พาทุกคนมานั่งแก่วที่นี่”
“เรื่องที่พี่จะพูดวันนี้มันเกี่ยวกับบุคคลที่น้องๆ รู้จักกันดี...พี่จะพูดเรื่องของ JOKER ครับ” แต่ความสนใจฉันดันไม่สนใจกับสิ่งที่เกรซบอกเลย แต่กำลังพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่พี่ตี๋พูดมากกว่า
“สำหรับน้องๆแล้ว JOKER อาจเป็นปีศาจซึ่งพี่เองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่า...นับจากข้อมูลและเหตุการณ์ที่มีนึกศึกษาหญิงที่ตกเป็นเหยื่อลาออกจากมหา'ลัยหลังถูกมันเข้าเล่นงาน...”
เพราะหัวข้อที่เขาจั่วหัวไว้มันน่าสนใจ...
“พี่คิดว่า JOKER คืออาชญากรคนหนึ่ง พูดง่ายๆก็คือเขาคือปีศาจในคราบของมนุษย์”
“แล้วยังไงอ่ะคะ พวกหนูเกี่ยวอะไรด้วย?” คนที่ถามคำนี้ด้วยเสียงเบื่อหน่ายอย่างสุดๆคือทิชา ไม่ใช่แค่เสียงแต่รวมถึงสีหน้าของเธอก็ด้วย “จากข้อมูลที่พี่มี JOKER มักจะเล่นงานแต่ผู้หญิงที่หน้าตาดี ยกตัวอย่างน้องพลอยเฌอที่ตอนนี้ลาออกไปแล้ว...”
“...”
“สิ่งที่พี่อยากให้น้องช่วยมันไม่ยากหรอกครับ พี่กับคนในชมรมประชุมกันเมื่อวานแล้วว่า พวกเราทั้งหมดจะช่วยกันกระชากหน้ากากจอมปลอมของ JOKER คนที่ทำตัวเทียบชั้นกับซาตานปรปักษ์ของพระเจ้า..."
เห็นไหม...ฉันบอกแล้ว หัวข้อเขามันน่าสนใจ...