EP04
-ปะทะJOKERครั้งที่4-
‘พวกเราทั้งหมดจะช่วยกันกระชากหน้ากากจอมปลอมของ JOKER คนที่ทำตัวเทียบชั้นกับซาตานปรปักษ์ของพระเจ้า...’
“สะ...สรุปแล้ว JOKER เป็นปีศาจหรือคนแน่คะ?” คงเพราะคำพูดซึ่งฟังดูอลังการแถมยังดูใหญ่โตจะเหมือนเป็นเรื่องระดับชาติล่ะมั้ง มันเลยทำให้ทิชาซึ่งดูไม่สนใจกับอะไรถามขึ้นแบบนั้น
“พี่ก็ไม่แน่ใจครับ...” ขณะเดียวกันคำถามของทิชาก็ทำผู้นำทีมที่เพิ่งประกาศก้องเกิดความลังเลในน้ำเสียง
“ที่เรียกพวกหนูมาที่นี่ พี่อย่าบอกนะคะว่าจะเอาพวกหนูเป็นตัวล่อ!?” อย่าว่าแต่ทิชาเลย ยะหยาเองก็ดูสนอกสนใจไม่ต่างกันเมื่อได้ฟังคำตอบ
“ครับ...ก็คิดไว้แบบนั้น...”
“พี่จะบ้าเหรอคะ!? ถ้ามันเป็นปีศาจไม่ใช่คนล่ะ พวกหนูก็แย่น่ะสิ!”
“คือพี่คิดว่า...”
“พี่จะเอาพวกหนูไปเสี่ยงกับตัวประหลาดแบบนั้นไม่ได้นะ!” ยะหยาดูหัวเสียอย่างสุดๆ เมื่อรู้ถึงเหตุผลที่พี่ตี๋เรียกพวกเราทุกคนมาที่นี่วันนี้ ถึงเอาแต่ขัดไม่ยอมฟังอะไร
“พี่มั่นใจว่าพวกน้องจะต้องปลอดภัย คนในชมรมพี่มีตั้งเยอะ ดูแลทุกคนได้ครบถ้วนอยู่แล้ว...”
“แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ใช่ไหมคะ ว่าพวกหนูจะปลอดภัย!?”
สถานการณ์ตอนนี้เหมือนไม่ใช่การเรียกคุย แต่เป็นการเรียกมาเถียงกันมากกว่า
“ถ้าน้องเชื่อใจพี่ พี่สัญญาพี่จะปกป้อง...”
“หนูไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนโรคจิตหรอกค่ะ!”
“คิกๆ...” อ่า แย่แล้ว! ฉันคิดว่าตัวเองกำลังเสียมารยาท แต่มันก็อดหัวเราะไม่ได้จริงๆนี่
“เธอหัวเราะอะไร!?” และเป็นไปอย่างที่คิด เสียงหัวเราะหยุดการถกเถียงกันเหมือนเด็กๆลง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันหยุดหัวเราะได้เลย
“ตลก...คิกๆ” ฉันบอกไปขำไป
“ธะ...เธอตลกอะไรอ่ะสวย” เกรซที่เงียบมานานเอ่ยถามเสียงค่อยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในจังหวะเดียวกับตอนที่ฉันลุกจากที่นั่งภายในห้องชมรม แล้วให้ตอบ
“ฉันตลกที่ทุกคนเอาแต่เถียงกันเป็นเด็ก...” บ้าจริง ถึงตอนนี้ฉันยังหยุดหัวเราะไม่ได้เลย “คิกๆ แผนของพี่ตี๋ ฟังแล้วหนูค่อนข้างสนใจนะคะ แต่...”
ฉันตวัดหางตามองหน้าเจ้าของชมรมลี้ลับ ก่อนไล่เรียงไปยังใบหน้าสวยต่างสไตล์ของนักศึกษาสาวแต่คนจนหลุบมองพ้นผ่านประตูทางเข้าชมรมออกไป
“ถ้าจับ JOKER มันง่ายขนาดนั้น ป่านนี้มิคาเอล[1]หรือไม่ก็ตำรวจคงจับตายเขาได้นานแล้วล่ะค่ะ...” รอยยิ้มเล็กๆ กระตุกขึ้นมุมปากหลังพูดจบ
ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น ฉันจึงตัดสินใจก้าวเท้าพาตัวเองเดินออกมาจากห้องชมรม โดนถูกสายตา 4 คู่จ้องมองเป็นตาเดียวกัน แต่การถูกมองไม่ใช่เรื่องน่าสนใจตรงไหน ที่คิดอยู่ในหัวน่ะ มันคือวิธีการที่พี่ตี๋จะใช้จับ JOKER ยังไงตางหาก...
อย่างที่บอก แผนของเขาน่าสนใจ แต่มันจะไปสนุกอะไร หากฉันต้องมีศัตรูที่มีเป้าหมายจ้องจะกระชากหน้า JOKER เหมือนกัน
ในเมื่อความสนุกของเกม มันคือการท้าทายผู้เล่นว่ามีความสามารถแค่ไหนต่างหาก ถ้าต้องเล่นเป็นทีม ความสามารถมันจะไปจำเป็นได้ยังไง
จริงไหม?
เมื่อธุระตามที่รับปากพี่ตี๋ไว้เสร็จสิ้นลง ฉันก็รีบพาตัวเองกลับหอพักทันที แต่วันนี้น่าแปลก ที่ห้องพักปราศจากตัวตนของรูมเมทเฉกเช่นปกติ เกอร์ยังไม่กลับมาที่ห้อง
ความเงียบซึ่งเงียบกว่าปกติแถมยังมืด ทำฉันยืนนิ่งลังเลอยู่ระหว่างแทงแยกฝั่งระหว่างสองเตียงนอน สายตากวาดมองฝั่งที่พักของเกอร์อย่างถือโอกาส
ยิ่งไม่เห็นอะไรที่ตรงอย่างที่ใจคิด ฉันก็ยิ่งอย่าทำลายกฎที่มี ก้าวรุกล้ำเขตแดนที่ถูกห้ามไว้ ทว่า วินาทีที่ตัดสินใจ เสียงลูกบิดประตูดันดังขัดขึ้นมาเสียก่อน จำต้องละทิ้งความคิดและโอกาสที่มี เดินย้อนกลับไปยังฟากฝั่งของตัวเองอย่างเสียไม่ได้...
กึก!
เพราะภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ แถมทั้งห้องยังถูกดึงม่านปิดจนทึบ โชคดี ที่สายตาสามารถปรับสภาพกับความทึบภายในห้องได้ เลยทำให้เห็นท่าทางที่ต่างออกไปของรูมเมทขณะเขาเดินเข้ามาภายใน
เกอร์ในตอนนี้ไม่ได้สวมแว่นตา แต่เขาเหน็บมันไว้ที่หน้าอก เขาเหมือนไม่เห็นฉัน ถึงได้เอื้อมมือเปิดสวิตซ์ไฟภายในห้องตามนิสัย
พรึ่บ!
“สะ...สวย!” เขาส่งเสียงอย่างตกใจเมื่อแสงสว่างภายในห้องทำให้เราเห็นหน้ากันและกันชัดขึ้น
“ไง!” ฉันทักทายตามปกติ เพิ่มเติมแค่ยกมือขึ้นเล็กน้อยอย่างมีจริตขณะนั่งลงบนเตียงของตัวเอง “วันนี้นายกลับช้านะ”
“ระ เราออกไปทำธุระมา” เขารีบร้อนหยิบแว่นขึ้นสวมและถ้าสังเกตดีๆ ดูเหมือนปลายแขนเขามันแดงๆ
“แขนนาย เป็นอะไรน่ะ”
“เอ่อคือเรา...” เขาพยายามซ่อนรอยแดงที่แขนแต่ดูเหมือนความพยายามของเขามันห่วยสุดๆ ยิ่งเขาแสดงอาการร้อนรน ฉันก็ยิ่งจับพิรุธเขาง่ายขึ้น
“ขอดูหน่อย” อาจเพราะเขาคงรู้ตัวว่าไม่สามารถที่มาของรอยแดงตรงปลายแขนได้มิด เกอร์จึงยอมโชว์รอยดังกล่าวให้ฉันได้เห็นเป็นขวัญตา จนได้พบว่าที่มาของรอยแดงบนแขนเขามันก็คือ ตัวอักษรภาษาอังกฤษถูกสลักติดผิวเป็นคำว่า ‘Damaged (แปลว่า การทำลายล้าง)’
“สวยดีนี่...”
“ขะ ขอบคุณนะสวย” เขาบอกเขินๆ พลางลูบมือไปตามรอยนูนของตัวอักษรแบบเก้ๆ กังๆ
เอาเข้าจริงแล้วฉันไม่ได้สนใจนักหรอกว่ารอยสักใหม่บนตัวเขาจะสวยมากน้อยแค่ไหนหรือว่าเขาจะชอบการสักลายบนผิวหนังเท่าไหร่ ที่สนใจตอนนี้ คือใบหน้าคมคายในมุมที่ต่างออกไปภายใต้แว่นสายตานั่นต่างหาก
“นี่ ทำไมถึงใส่แว่นล่ะ” คนตัวสูงสะดุ้งเล็กน้อย เขาแสดงอาการกระวนกระวายเล็กน้อยผ่านแววตาก่อนจงใจเลี่ยงสายตาดังกล่าวให้พ้นไปจากถูกจ้องมอง “ในเมื่อตอนไม่ใส่แว่นนายออกจะดูดีกว่าตั้งเยอะ...”
“สะ สวยพูดอะไร...เราสายตาสั้นนะ”
“ไม่จริงหรอก...วันนี้ฉันเห็นนะ อีกฟากของตึกนิเทศฯน่ะ”
“...”
“อีกอย่างตอนนายเข้ามาในห้อง นายก็ไม่ได้ใส่แว่นนี่...ก็เห็นว่าปกติดี” ความเงียบเข้าแทรกซึมเราทั้งคู่ยิ่งกว่าเคยเมื่ออีกฝ่ายถูกต้อนด้วยคำพูดรู้ทัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ปล่อยให้บรรยากาศเงียบลงไปกว่านี้
“ตะ...ตอนนั้น เราแค่ลืมแว่นไว้น่ะ ส่วนเมื่อกี้เราแค่อยากลองถอดแว่นดู เราก็เลย...” เขาพูดไปพลางปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของตัวเองไป ทำคล้ายว่าจะเปลี่ยนเสื้อ แต่ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ จากเขานักจึงชิงพูดแทรกออกไป
“ตอนนี้นายอยากทำเรื่องแบบนั้นกับฉันหรือเปล่า?” แน่นอนว่า สิ้นเกอร์รีบเหลียวมองฉันทันที วินาทีเดียวกันนั้นฉันก็ได้ทำในสิ่งที่เขาคงไม่คิดว่าจะกล้าเช่นกัน
ฉันจงใจขยับขาออกจากกันทิ้งระยะให้อีกฝ่ายได้กลืนน้ำลายลงคอ เมื่อนัยน์ตาคมส่อแววขี้อายตลอดเวลาแต่เต็มไปด้วยความต้องการ มองลอดผ่านเข้ามาภายใต้กระโปรงนักศึกษา ก่อนจะหุบขากลับอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยคำถามต่อมา
“ถ้าอยาก...นายก็ถอดแว่นเทอะทะนั่นออกซะ”
ความเงียบเข้าจู่โจมเราทั้งคู่อีกครั้ง พื้นที่คับแคบภายในห้องห้องเหลือเพียงแค่สายตาคุกคามจากฉันที่พยายามต้อนคนตัวสูงให้จนมุม ไม่ว่าเขาจะใช่ JOKER หรือไม่ใช่อย่างที่คิดแต่อย่างน้อย ถ้าได้พิสูจน์สักครั้งมันคงไม่เสียหายอะไรนี่จริงไหม
“ว่าไงล่ะ...ไม่อยากทำเหรอ?” คำถามเดิมถูกเอ่ยซ้ำเป็นหนที่สอง ซึ่งในครั้งนี้มันได้ทำให้คนฟังยอมลดมือจากกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายบนตัวลง
ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ได้เห็นแววตาของเกอร์มันเกิดขึ้นจากการยัดข้อหากับหลายๆ ความสงสัยใส่เขามากเกินไปหรือเปล่า เวลานี้ฉันถึงรู้สึกว่าแววตาขี้อายของเขามันเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่นั้นแต่ทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มขยับตัว ทุกอย่างที่ฉันเคยเข้าใจเกี่ยวกับตัวตนของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย
เกอร์ทำลายกฎภายในห้องระหว่างเราสองคน ด้วยการหันหน้ามาทางฉันตรงๆ และก้าวเดินข้ามอาณาเขตตรงเข้าหาอย่างช้าๆ ทีละก้าว วินาทีนั้นใจฉันกลับเต้นรัวขึ้นมาอย่างน่าแปลก เพราะสายตาดันถูกสะกดด้วยรอยสักมากมายภายใต้อาภรณ์ซึ่งยังปลดกระดุมออกไม่เสร็จดี
รอยสักรูปหัวกะโหลกใส่หมวก JOKER รวมถึงกองไพ่ JOKER และนานาตัวอักษรภาษาอังกฤษ HA ถูกถมจนเต็มแผ่นอกและผิวกายซ่อนรูปจนเต็มพื้นผิวดูน่าค้นหาขัดกับบุคลิกขี้อายที่เขาเป็นจนเผลอคิดว่าเขาคือคนละคนกับเกอร์ที่เคยรู้จัก
ขณะเดียวกันสิ่งที่เห็นก็ดูคล้ายกับเป็นคำตอบที่ฉันต้องการเช่นกัน...
กึก!
และแล้วเท้าของเขาก็หยุดลง เมื่อระยะระหว่างเราห่างกันเพียงแค่ช่วงแขน ถึงอย่างนั้นสายตาของเราก็ยังสบประสานกันอยู่ เกอร์เหมือนถูกสะกดให้เดินเข้ามาหาด้วยการกระทำของฉันเมื่อครู่จนดูเหมือนว่าเขาคงจะลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองกำลังทำผิด
“นายกำลังทำผิดกฎของเรานะ รู้ตัวหรือเปล่า?”
“ไม่ผิดหรอก…” เขาแย้งอย่างทันควันเหมือนไม่สนใจฟัง และในตอนที่ฉันกำลังจะต่อว่าออกไปอีกครั้ง
“ถ้ายังไม่ออกไป ฉันจะถือว่าทุกอย่างที่ชวนไปเป็นโมฆะ...อ๊ะ!!”
ฟึ่บ! กึก!!
ฉันกลับต้องเบิกตากว้าง เมื่ออดีตผู้ชายขี้อายพุ่งมือเขาคว้าแขนฉันอย่างรวดเร็ว ก่อนใช้เรือนร่างกำยำภายใต้เสื้อผ้ากดตัวฉันจนหงายหลังลงไปนอนราบกับพื้นเตียง
“เราไม่ผิด สวยนั่นแหละที่ผิด...” แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เกอร์ค่อยใช้มือข้างที่เหลือหยัดลงกับเตียงในสภาพคร่อมกายฉันไว้ในท่านั่ง จากนั้นก็โน้มกายเข้ามาหาเปลี่ยนอากัปกิริยาเป็นการคร่อมตัวจนเหมือนกักขังร่างกายฉันไว้ในที่สุด
กลิ่นหอมหวานราวกับน้ำหอมผู้หญิงลอยปะทะจมูก แบบเดียวกับที่ฉันรู้สึกในยามที่ถูก JOKER จู่โจมยิ่งเร่งอัตราการเต้นของหัวใจให้ผิดจังหวะ โดยเฉพาะเมื่อเขาเอ่ยประโยคถัดมา
“ทำไมถึงชอบ ทำให้เราอยากนักนะ...” ฉันสะดุ้งเฮือกอย่างที่ไม่เคยเป็น เมื่อเกอร์แทรกช่วงหัวเข่าผ่านเข้ามาระหว่างขาสองข้างอย่างช้าๆ
วินาทีนี้สิ่งเดียวที่ฉันควรทำคือการตั้งรับและตั้งสติ เพราะฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้ายังสามารถควบคุมสติเอาไว้ได้ โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตกอยู่ในการควบคุมของตัวเรา ไม่ใช่คนอื่น
ฟึ่บ!
พอคิดได้แบบนั้นมือข้างที่ยังเป็นอิสระจึงคว้ากระชากปกคอเสื้อหลุดลุ่ยของคนตัวใหญ่เข้าหาตัว แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาแสดงท่าทางตกใจให้เห็นเลย ไม่ว่าจะทางสีหน้าหรือแววตา
“อยากแล้วต้องทำยังไงล่ะ?” ฉันถาม ด้วยระยะห่างเพียงแค่ปลายนิ้ว ริมฝีปากกระตุกยิ้มบางขณะสายตามองผ่านเลนส์แว่นของผู้ชายเบื้องหน้า
เกอร์ไม่ตอบแต่เขากลับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ทุกกิริยาที่เขาแสดงออก ไม่มีตรงไหนผิดแผกแตกต่างไปจาก JOKER เลยสักนิด เว้นแต่สำเนียงการพูดซึ่งยังคงความเป็นคนขี้อายของเขาเท่านั้น
“รู้ไหม เวลาเรามองสวย เราสงสัยมาตลอดเลย...” เขาไม่ใช่แค่บอกแต่เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน เขาก็ยอมปล่อยมือที่คุมขังแขนฉันเอาไว้ออกไปด้วย “ว่าเวลาจูบ แว่นนี่จะเกะกะไหม?”
ว่าจบมันก็เป็นเกอร์เองนั้นแหละที่กดใบหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเราแตะโดนกันแบบผิวๆ กรอบแว่นเทอะทะมันทำให้เขาทำตามใจไม่สะดวกนัก ฉันจึงถือโอกาสนั้นโฉบเฉี่ยวผิวปากตัวเองผ่านริมฝีปากอุ่นของตรงหน้าช้าๆ อย่างยั่วยวน ซึ่งการที่ทำเช่นนั้นดูเหมือนจะเป็นการกระตุ้นความต้องการของเกอร์ให้ประทุรุนแรงมากขึ้นอีกระดับ ผลสุดท้ายเขาก็ยอมดึงแว่นเทอะทะนั่นออกตามอย่างที่ฉันต้องการจนได้
จังหวะที่แว่นหนาถูกเขาถอดออกอย่างรีบร้อน ฉันก็รีบใช้แรงทั้งหมดที่มีดันตัวเขาให้ออกห่างทันที ทว่า
ฟึ่บ! กึก!
อีกฝ่ายกลับไม่ยอมเป็นเช่นนั้น เขาโยนแว่นสายตาที่อ้างว่าสำคัญต่อการมองเห็นทิ้งก่อนอาศัยช่วงเวลาที่ฉันออกแรงเบียดตัวไปข้างหน้าฉวยโอกาสโน้มใบหน้ามาประกบริมฝีปากบดเบียดเข้ามาอย่างแนบแน่น
ริมฝีปากของเขาร้อนจัดราวกับคนจับไข้ยิ่งเมื่อเขาเพิ่มแรงบดขยี้ลงมาด้วยแล้ว ราวกับความร้อนของพิษไข้ดังกล่าวจะแพร่กระจายมาถึงฉันยังไงอย่างงั้น ลมหายใจปกติถูกทำให้ปั่นป่วนเมื่อเรียวลิ้นร้อนเลียไปตามรอยแยกของริมฝีปาก ความไม่เคยและไม่คุ้นชินต่อสัมผัสและการดังกล่าวเริ่มทำให้ฉันควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่
มันต่างจากตอนที่ JOKER ละเลงริมฝีปากและลิ้นไปตามข้อนิ้วอย่างสิ้นเชิง
“อื้อ...” และเขากำลังทำฉันหายใจไม่ออกด้วยจูบนั่น
มือที่กำคอเสื้อเกร็งจัดพอจะทำให้เขารับรู้ได้ว่าฉันกำลังจะหมดลม ถึงได้ยอมผ่อนความดุดันอันเร่าร้อนลง ให้ฉันได้ใช้ช่วงเวลานั้นเผยอปากหอบรับอากาศหายใจเข้าสู่ปอดอีกครั้ง แต่นั่นเหมือนเป็นกับดักมากกว่าความเห็นใจ
เมื่อเกอร์ดึงดันที่จะกดริมฝีปากลงมาอีกครั้งด้วยความรุนแรงระดับเดิม หากแต่สิ่งที่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องจนตั้งตัวไม่ติดดันเป็น
ลิ้นร้อนที่เขาใช้สอดแทรกผ่านช่องว่างระหว่างกลีบ ปากบนและล่างเข้ามาภายใน...
“อื้อ...หือ..” ลมหายใจซึ่งเดิมก็ปั่นป่วนอยู่แล้ว เวลานี้กลับยิ่งปั่นป่วนรุนแรงมากเข้าไปใหญ่
หลายต่อหลายครั้งที่ฉันพยายามหลบหลีกลิ้นร้อนซึ่งกำลังรุกรานอยู่ภายในช่องปากอย่างถือดี หลบหลีกจนเหนื่อย รับรู้ได้ถึงการถูกต้อนอย่างดุดัน แต่ไม่สามารถต่อกรกลับได้ มันต่างจากเวลาปะทะกันด้วยคำพูดซึ่งถูกกลั่นออกจากความคิด ปราศจากช่องโหว่และจุดบอด เดาทางหรืออ่านความคิดไม่ออก
การกระทำเหล่านี้เหมือนสารเคมีร้ายแรงกัดกลั่นทุกอย่างในหัวให้ละลายจนกลายเป็นว่างเปล่า
“อื้มม..” ไม่รู้ว่าเกอร์รุกรานฉันด้วยความรู้สึกแปลกปลอมเหล่านั้นอยู่นานเท่าไหร่
“อะ อื้อ...” เขาไม่ปล่อยให้ฉันหายใจจนสุดด้วยซ้ำและพยายามกระหวัดลิ้นต้อน ช่วงชิงลมหายใจไปจากจากฉันอยู่ตลอดเวลาที่จู่โจม จนร่างกายซึ่งเคยเป็นปกติเริ่มอ่อนแรง จำต้องปล่อยมือจากคอเสื้อเขาไปในที่สุด
สุดท้ายเกอร์ก็ไม่ได้สนองความต้องการของตัวเองหรือทำอะไรไปมากกว่านั้น เขาเพียงแค่ฝากฝังไว้เพียงรสหวานจากลิ้นร้อนและริมฝีปากเคล้ากลิ่นกายหอมหวานเหมือนผู้หญิงและคำพูดสั้นๆ
“สวยพูดถูก...เวลาถอดแว่นจูบง่ายกว่าเยอะเลย”
นับจากเหตุการณ์ตอนนั้นเกอร์ก็กลับไปยังฝั่งของตัวเองปล่อยฉันให้นอนนิ่งสนิทต่อสิ่งที่เขาเพิ่งกระทำลงไป และนับตั้งแต่ตอน ดูเหมือนแว่นสายตาจะกลายเป็นของไร้ค่า เขาไม่แตะมันอีกและปล่อยทิ้งไว้บนพื้นข้างที่นอนฉัน เสมือนซินเดอเรล่าทิ้งรองเท้าแก้ว
ที่สำคัญเขาทำตัวเหมือนปกติต่างจากฉันที่พอคืนสู่อิสระในหัวก็เริ่มคิดถึงอะไรมากมาย จนท้ายที่สุดแล้วต้องพาตัวเองออกจากในช่วงหัวค่ำ เมื่อพบว่ารูมเมทที่อยู่ร่วมห้องกันมาหลายปี กำลังทำฉันสูญเสียความเป็นตัวเอง
เพียงแค่สายตาที่เขาเผลอชำเลืองมองเท่านั้น มันก็เป็นตัวทำลายได้อย่างดี เล่นเอาฉันไม่มีสมาธิ...
เอี๊ยด... เอี๊ยด...
ฉันพาตัวเองมายังสนามเด็กเล่นหลังพอพัก นั่งกลืนไปกับความมืดโดยรอบฟังเสียงโครงเหล็กชิงช้าเก่าๆ ขึ้นสนิมเสียดสีกันจนดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นจังหวะตามแรงโยกที่ฉันเป็นผู้กำหนด
แค่จูบๆ เดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ฉันสามารถเสียศูนย์แบบนี้ มันเป็นเรื่องยากสำหรับฉันซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน จะงัดหรือสรรหาวิธีใดใช้ตอบโต้กลับ มันไม่เหมือนการอ่านความคิดคนเพียงแค่การสังเกตจากสีหน้าหรือแววตา มันยากยิ่งกว่าการบำบัดอาการทางจิตหรือโรคที่ผู้จิตเวชเป็นกันเสียอีก
กึก…
“Twinkle, twinkle, little star~ How I wonder what you are~ (กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย ฉันสงสัย เจ้าคืออะไรกัน~)” แต่แล้วท่ามกล่างความมืดในบริเวณนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงฮัมเพลงเด็กหากแต่ฟังแล้วรู้สึกชวนขนลุกอย่างน่าแปลก เพราะมันฟังคล้ายเสียง ขับขานเพลงจากปีศาจมากกว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา
“Up above the world so high~ Like a diamond in the sky~ (พร่างพราวอยู่เหนือสูงขึ้นไป ดุจอัญมณีบนท้องฟ้า~)” เสียงฮัมเพลงดังกล่าวเป็นเสียงของผู้ชาย ฟังคุ้นหู พานให้สายตาเลื่อนมองไปยังมุมมืดที่สุดของบริเวณสนามเด็กเล่นแห่งนั้น ขณะเดียวกันเสียงฮัมเพลงและเสียงฝีเท้าก็ดูจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
จนกระทั่งแสงไฟจากตึกสาดส่องให้ได้เห็นร่างแท้จริงของผู้ขับขานเสียงเพลงชวนหลอนดังกล่าว
ใบหน้าเขาขาวเหมือนสีชอล์ค ริมฝีปากสีแดงลากยาวถึงใบหูราวกับถูกกรีดให้ฉีกกว้างจนเหมือนว่าเขากำลังยิ้มตลอดเวลา เขาสวมชุดสูทสีเปลือกมังคุดดูกลืนกินไปกับความมืดรอบกายเหมือนพลางตัวตัดกับเสื้อเชิ้ตสีเขียวใบเตยที่อยู่ภายใน หากแต่ในมือกำลังถือลูกโป่งสวรรค์รูปกระต่ายสีดำมีลักษณะรูปปากฉีกสีแดงสดเสมือนผู้ที่ถือเอาไว้
“Twinkle, twinkle, little star~ How I wonder what you are~ (กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย ฉันสงสัย เจ้าคืออะไรกัน~)” เขาค่อยๆ โค้งคำนับขอบคุณราวกับนักแสดงบนเวทีเมื่อเสียงฮัมเพลงสิ้นสุดลงพร้อมกับการหยุดฝีเท้าลงตรงหน้า มีเพียงอย่างเดียวที่ต่างออกไปคือนัยน์ตาดุดันซึ่งถูกแต้มสีดำจนดูน่ากลัว โดยเฉพาะกับรอยยิ้มที่ตีค่าได้ทั้งการมาเยือนที่เป็นมิตรและไม่ใช่...
“J…JOKER...”