ย้อนกลับไป 5 ปีก่อน
วันนี้เป็นวันที่ย่านการค้าคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากอีกไม่นานสำนักศึกษาก็จะเปิดให้นักเรียนรุ่นต่อไปได้สมัครเข้าเรียนกันแล้ว ดังนั้นนอกจากเครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้าอาภรณ์เองก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะสิ่งที่จะบ่งบอกฐานะของบุคคลนั้นได้ย่อมเริ่มจากสิ่งที่ตาเห็น
“คุณชาย อย่าทำหน้าไม่รับแขกสิขอรับ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะมองผู้เป็นนายที่ตนต้องปกป้อง
“ข้าจำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยอย่างนั้นหรือ” เด็กชายวัย 12 หนาวถามด้วยความสุขุมผิดกับอายุ
“ฮูหยินออกคำสั่งด้วยตนเอง ขนาดท่านเจ้ากรมยังไม่กล้าขัดเลยนะขอรับ” เหอจงทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะคุณชายเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือ ฮูหยินจึงเป็นกังวลยิ่ง
“เข้าใจแล้ว” องครักษ์คนสนิทมองอาการพูดน้อยไม่สมวัยของเจ้านายด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่เล็กอีกฝ่ายถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักและความคาดหวังของบิดามารดา จึงหล่อหลอมให้เด็กตรงหน้ามีนิสัยนิ่งขรึมรอบคอบต่อทุกการกระทำของตน
หลงเทียนเล่อ บุตรชายคนโตของตระกูลหลง มีบิดาเป็นถึงท่านเจ้ากรมคลังผู้ควบคุมเงินตราของวังหลวง อำนาจในมือไม่น้อยหน้าตระกูลใด มารดาเองก็หาใช่สตรีต่ำศักดิ์ไม่ นางเป็นถึงบุตรีแม่ทัพจากต่างแคว้นซึ่งได้รับสมรสพระราชทานเพื่อแต่งเชื่อมสัมพันธไมตรี หากคิดว่าคุณหนูต่างบ้านต่างเมืองมาเพียงลำพังจะไร้สิ้นหนทางก็คงเข้าใจผิดเสียแล้ว เพราะจูไป๋ปิงคือสตรีอันดับสองของแคว้นเป่ยผู้มากความสามารถ อีกทั้งยังได้รับความรักจากบิดาที่สามารถนำกำลังทัพเรือนแสนพร้อมประชิดชายแดน ดังนั้นแล้วไม่ว่าใครต่างก็ไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัว
นอกจากนี้หลงเทียนเล่อคือคุณชายคนโตของตระกูล ด้วยสมองอันฉลาดปราดเปรื่องที่แสดงออกมาให้เห็นตั้งแต่เล็กจึงยิ่งถูกคาดหวังจากคนรอบข้าง แต่ช่วงหลังมานี้หลงฮูหยินกลับกลุ้มใจเรื่องที่เขาเคร่งเครียดกับตำรามากเกินไป สุดท้ายจึงขับไล่ไสส่งให้บุตรชายออกมาพบเจอโลกภายนอกบ้างแม้เจ้าตัวจะไม่เต็มใจก็ตาม
“ข้าจะเอาชุดนี้!!” เสียงโวยวายของเด็กหญิงตัวน้อยดังลั่นเรียกสายตาของหลงเทียนเล่อให้หันไปมอง
ภาพตรงหน้าคือเด็กผู้หญิงสองคนที่ยืนมองหน้ากัน คนหนึ่งสีหน้าเกรี้ยวกราดจนหน้าดำหน้าแดง ส่วนอีกคนได้แต่หลุบตามองพื้น ใบหน้าจิ้มลิ้มไม่แสดงความรู้สึกใด ถึงอย่างนั้นแววตากลับทอประกายไม่ยินยอมออกมาจนสังเกตได้
“เจ้าเข้าเรียนปีหน้า เอาไว้แม่จะซื้อให้ใหม่นะหลินเอ๋อร์” เสียงหวานปลอบประโลมไม่ให้บุตรีโวยวายมากนัก
“ไม่! ข้าจะเอาชุดนี้! นังลูกนอกสมรสนี่ไม่ควรได้ใส่ชุดสวยๆ หรอกเจ้าค่ะ” คำว่าลูกนอกสมรสทำให้ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างง่ายดาย คุณหนูคุณชายบางส่วนที่คราแรกรู้สึกสงสารกลับแปรเปลี่ยนเป็นดูถูกเหยียดหยามและคิดว่าสิ่งที่เด็กน้อยคนนั้นโดนมันก็เหมาะสมแล้ว
“อย่าได้เอะอะไปนัก เจ้ามีเสื้อผ้ามากมายแล้ว อีกไม่นานถิงเอ๋อร์ต้องเข้าสถานศึกษา แม้นางจะเป็นบุตรนอกสมรสแต่เราก็ต้องจัดหาของใช้มิให้ตระกูลต้องเสื่อมเสีย” อีกหนึ่งสตรีที่มาด้วยกันกล่าวด้วยรอยยิ้มมีเมตตา ขัดกับวาจาแสลงหูที่ออกจากริมฝีปากสีแดงสดนั่นยิ่งนัก การพูดออกมาเช่นนั้นนอกจากจะทำให้ตนเองดูใจกว้างแล้ว ยังเป็นการประกาศต่อหน้าบรรดาบุตรขุนนางทั้งหลายว่านี่คือคนที่ไม่ควรหลวมตัวไปข้องเกี่ยวมากที่สุด แบบนี้ชีวิตในสถานศึกษาของนางจะเป็นเช่นไร
“ท่านแม่ใหญ่…ชุดนี้ให้หลินเอ๋อร์ไปก็ได้เจ้าค่ะ ข้าใส่ชุดไหนก็ได้ทั้งนั้น” เด็กหญิงตัวน้อยพูดจาอ้อมแอ้มทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ นางจึงไม่ได้เห็นแววตารังเกียจในยามที่ตนถูกเรียกว่าแม่ใหญ่
“ในเมื่อเจ้าว่าเช่นนั้น หลินเอ๋อร์ คราวหน้าอย่าได้ดื้อดึงอีกรู้หรือไม่” ฮูหยินเอกของตระกูลโจวหันไปกล่าวกับบุตรสาวของฮูหยินรองก่อนจะพากันเดินเข้าไปข้างใน ทิ้งร่างเล็กให้ยืนอยู่อย่างโดดเดียวท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทา
“เจ้าไปซื้อของมาให้ครบ ข้าจะรออยู่ที่ร้านน้ำชาฝั่งตรงข้าม” เด็กหนุ่มเอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วผละไปอีกทางไม่คิดฟังคำคัดค้านขององครักษ์แม้แต่น้อย
เขาเดินมาเรื่อยๆ จนถึงด้านหลังโรงน้ำชา ที่ซึ่งมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านเรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี จากนั้นจึงใช้วิชาตัวเบาที่ร่ำเรียนมากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ เพียงเท่านี้ก็หลีกหนีความวุ่นวายมาได้ ขณะที่กำลังหลับตาลงซึมซับบรรยากาศเงียบสงบก็มีเสียงสะอื้นไห้ดังเข้าหู
“ฮึก…ฮือ….ฮืออ” ร่างแน่งน้อยกอดเข่าฟุบลงตรงโขดหินใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำ
นางเดินออกมาจากที่ตรงนั้นเพราะความอึดอัดเกินทน เหตุใดทุกคนจึงทำเหมือนว่าการเกิดมาของนางและน้องชายคือเรื่องผิดบาปที่มิอาจอภัยได้ ต่อให้พยายามทำเหมือนไร้ตัวตนเพียงใดสุดท้ายพวกเขาก็ยังรังเกียจเดียดฉันท์พวกเราอยู่ดี
คิ้วเข้มเล็กๆ ขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจนัก เขาอุตส่าห์หนีความน่าเบื่อหน่ายของผู้คนเห็นแก่ตัวมาแล้ว ไฉนเลยเรื่องปวดหัวจึงตามติดเป็นเงาขนาดนี้
“มานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้เองรึ” อีกหนึ่งตัวปัญหาในสายตาหลงเทียนเล่อเดินเข้ามายังจุดที่เด็กน้อยวัยไล่เลี่ยกันนั่งอยู่
“ฮึก…เจ้ามาตามหาข้างั้นหรือ” นางคิดว่าอีกฝ่ายถูกแม่ใหญ่ใช้ให้มาเรียกตนกลับไป
“ใครจะตามหาเจ้า ถ้าเจ้าหายไปสักคนที่จวนคงมีความสุขกันมากกว่านี้!” สองแขนยกขึ้นกอดอกก่อนตอบกลับอย่างเย้ยหยันทำเอาหนุ่มน้อยเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดเลยว่าเด็กตัวเท่านี้จะสามารถพ่นคำไม่น่าฟังออกมาได้
“เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปหาท่านแม่ใหญ่สิ จะตามข้ามาด้วยเหตุใด” ความคับข้องใจมากมายที่อดกลั้นไว้เริ่มปริล้นออกมาจนสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เจ้ากล้าไล่ข้าอย่างนั้นหรือ” โจวจื้อหลินถลาเข้าไปผลักพี่สาวต่างมารดาด้วยความโมโห ตั้งแต่เกิดมาท่านแม่มักบอกกล่าวว่านางมียศศักดิ์สูงส่งกว่าอีกฝ่ายที่เป็นเพียงบุตรนอกสมรสไร้ค่า ต่อให้นางลงมือกลั่นแกล้งรังแกมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยมีใครดุด่าตักเตือนนั่นหมายความว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องแล้ว นับวันนิสัยชอบเหยียดหยามสองพี่น้องก็เพิ่มพูนมากขึ้น
“โอ้ย!” เด็กน้อยหงายหลังจนก้นกระแทกพื้น นั่นทำให้โจวถิงถิงถึงกับลุกขึ้นมาผลักอีกฝ่ายบ้าง
“โอ้ย! นังนอกคอก!” คำนี้แม่ใหญ่ของนางเคยใช้เรียกคนตรงหน้ามาแล้วหลายครั้ง เด็กน้อยวัยเพียง 9 หนาว จึงจดจำแล้วนำมาใช้
“ใช่ ข้ามันเด็กนอกคอก!” หยาดน้ำใสไหลรินลงข้างแก้มนุ่ม เด็กหนุ่มมองเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด เขาสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยได้ แต่แล้วอย่างไรเล่าในเมื่อหลังจากนั้นนางก็ยังถูกรังแกอยู่ดี
“กรี๊ด! แกมันเด็กไม่มีแม่!!” ว่าแล้วร่างเล็กก็ผุดลุกขึ้นมาก่อนวิ่งใส่อีกฝ่าย สองมือกางออกไปด้านหน้าแล้วปะทะฝั่งตรงข้ามอย่างแรง
ตูมม
ท่ามกลางความตื่นตะลึง เด็กหญิงตกลงไปในแม่น้ำกว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว โจวจื้อหลินเห็นเช่นนั้นจึงตาลีตาเหลือกวิ่งกลับไปหามารดาอย่างคนกลัวความผิดทิ้งให้อีกฝ่ายจมน้ำโดยไม่สนใจแม้แต่น้อย
“บ้าจริง!” หลงเทียนเล่อรีบกระโดดตามลงไป ต่อให้เขาไม่อยากยุ่งวุ่นวายแต่จะทิ้งคนให้ตายไปต่อหน้าคงทำไม่ได้
เพราะฝึกวรยุทธมาตั้งแต่จำความได้จึงทำให้เด็กหนุ่มแข็งแรงกว่าคุณชายจากตระกูลทั่วไปอยู่มาก แขนยาวคว้าเอาร่างเจ้าตัวเล็กที่กำลังตะเกียกตะกายขึ้นมาจนถึงฝั่งได้สำเร็จ นางสำลักน้ำออกมาก่อนจะไอโขลกจนน้ำหูน้ำตาไหล
“เป็นเช่นไรบ้าง” ฝ่ามืออุ่นคอยลูบหลังปลอบประโลมเนื้อกายสั่นเทา
“ท่าน…ฮึก….ก็อยากให้ข้าตายใช่ไหม” ดวงตาเศร้าสร้อยเงยขึ้นมาสบสายตาคมที่ทอดมองลงมาด้วยแววตาต่างไปจากยามปกติ
“ข้าไม่เคยต้องการให้เจ้าตาย” ทำไมตัวเขาถึงต้องการให้นางตายกันล่ะ
“ทุกคนรอบตัวข้า…ฮือ…ล้วนต้องการให้ข้าตายทั้งสิ้น” มือนุ่มปาดน้ำตาที่ล้นทะลักออกมา ช่างดูบอบบางและน่าสงสารมากเหลือเกิน
“เพราะพวกเขามิใช่คนสำคัญของเจ้า ข้าเชื่อว่ายังมีคนสำคัญที่วาดหวังให้เจ้ายังมีชีวิตอยู่เสมอ” คำกล่าวนั้นทำให้ประกายในแววตาของถิงถิงกลับมาวาววับอีกครั้ง ใช่แล้ว…นางยังมีน้องชายที่รักนางมาก
“ขะ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าไว้ เราจะได้พบกันอีกรึไม่” เด็กหญิงอยากตอบแทนบุญคุณที่เขาเรียกสตินางเอาไว้
“เราจะได้พบกันในสักวัน”
……………………….
……………