น้ำอิงเดินเท้ากลับมาจนถึงบ้านในสภาพที่เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ศีรษะยังมีผ้าปิดแผลพันอยู่ เนื้อตัวก็มีแต่รอยถลอก รู้สึกปวดเมื่อยขาเพราะเดินทางมาไกล พอมาถึงบ้านก็รีบทรุดกายนั่งลงทันทีด้วยความอ่อนล้า
“เชี่ย! พี่น้ำ” เหนือเมฆอุทานลั่นเมื่อเห็นสภาพพี่สาวจนต้องเรียกบิดาที่กำลังทำอาหารอยู่หลังครัว “พ่อ พ่อ! พ่อมาดูพี่น้ำหน่อยเร็วเข้า”
“น้ำ นี่แกไปโดนอะไรมา ทำไมสภาพถึงเละอย่างนี้ล่ะ” ธีระตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ รีบเข้ามาสำรวจร่างกายลูกสาวทันที “ไหนบอกไปสัมภาษณ์งาน ทำไมถึงกลับมาสภาพนี้ล่ะวะ ใครมันทำอะไรแก”
“หนูยังไม่ได้สัมภาษณ์เลยพ่อ เกิดอุบัติเหตุถูกรถชนซะก่อน”
“แล้วเจ็บตรงไหนบ้าง พ่อดูหน่อย”
“ตอนนี้หนูไม่เจ็บตรงไหนแล้วล่ะค่ะ นอกจากที่ใจ ฮือ...” หญิงสาวร้องไห้โฮออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงงานที่เธอพลาดไป
“แล้วพี่ไปทำเอาท่าไหนล่ะเนี่ย ถึงได้ถูกรถเฉี่ยวชนเอา”
“ฉันแค่เก็บเอกสาร แต่ไอ้รถบ้านั่น มันดันพุ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ ชนเสร็จขอโทษสักคำก็ไม่มี มิหนำซ้ำมันยังชูนิ้วกลางใส่หนูอีกอ่ะพ่อ” น้ำอิงหันไปฟ้องบิดาเสียชุดใหญ่ มือเรียวทุบลงบนโต๊ะเสียงดังด้วยความเจ็บใจ “ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริง ๆ หนูกำลังจะได้งานแล้วแท้ ๆ ฮือ...”
“เอาเถอะ เอาเถอะ...ถือซะว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน แกขึ้นไปพักเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ พ่อเห็นเลือดแกแล้วจะเป็นลม ไอ้เมฆ ช่วยพี่แกหน่อย”
“ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้” หญิงสาวยกมือห้ามทันทีที่เห็นเหนือเมฆทำท่าจะเข้ามาประคอง รีบหอบสังขารของตัวเองกลับขึ้นไปบนบ้าน จัดการอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนที่อาการบาดเจ็บตรงศีรษะจะพุ่งปรี๊ดขึ้นมาจนต้องรีบกินยาแก้ปวดแล้วเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกอีกทีก็ตอนที่นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบจะตีสองเพราะความหิว
“อา...เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย” มือเรียวยกขึ้นนวดตามร่างกายเพื่อบรรเทาปวดแล้วพาตัวเองลงไปรื้อตู้เย็นชั้นล่างเพื่อหาอะไรรองท้อง
ในระหว่างที่กำลังตักบะหมี่เข้าปาก อยู่ ๆ ก็ดันนึกถึงหน้าคนขับรถหรูคันนั้นขึ้นมาทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
“บ้าจริง คนอะไร ทำไมถึงแล้งน้ำใจขนาดนี้ เสียดายฉันน่าจะถ่ายป้ายทะเบียนไว้ เรียกค่าปรับเสียให้เข็ด โอ๊ย!” พูดยังไม่ทันขาดคำ อาการบาดเจ็บก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาจนต้องรีบกินแล้วรีบขึ้นไปนอนพัก
กลิ่นอาหารที่แสนคุ้นเคยลอยเข้าขึ้นมาปะทะจมูกปลุกให้คนที่กำลังนอนพลิกตัวบนเตียงตื่นขึ้นมาด้วยความหิว รีบจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเดินทางไปล้างแผลหาหมอตามนัดโดยมีเหนือเมฆอาสานั่งรถเมล์ไปเป็นเพื่อน
หญิงสาวเหลือบมองน้องชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกผิดจนต้องเอื้อมมือไปสวมกอดไหล่กว้างไว้อย่างนึกเอ็นดู
“ขอโทษนะเมฆ”
“ขอโทษเรื่องอะไร ปล่อยผม ผมขนลุก” อีกฝ่ายรีบสะบัดมือพี่สาวออกแต่น้ำอิงก็ยังกระชับกอดไว้แน่น
“แกเป็นคนป่วยแท้ ๆ แต่ต้องมาดูแลฉัน แทนที่ฉันต้องดูแลแก”
“พี่ก็ดูแลผมมาตลอดแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้เอง” เหนือเมฆตอบอย่างไม่ใส่ใจ รีบเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายเพราะเขาไม่เคยแสดงความรักอะไรแบบนี้กับน้ำอิงบ่อยนัก
“แล้วนี่เปิดเทอมวันไหนนะ”
“กลางเดือนหน้าโน่น”
“ปีนี้ก็ขึ้น มอสี่แล้วใช่ไหม ชุดยูนิฟอร์มเดิมยังใส่ได้หรือเปล่า” น้ำอิงเอ่ยถาม สีหน้าดูกังวลขึ้นมาทันที
“เสื้อยังใส่ได้ แต่กางเกงน่ะต้องเปลี่ยน”
“กว่าโรงเรียนจะเปิด ฉันก็คงหางานได้แล้ว เดี๋ยวเอาไว้เราไปหาซื้อด้วยกันนะ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่อยากเรียนต่อแล้ว อยากช่วยพ่อ พี่ก็ยังบังคับอีก” เหนือเมฆหน้าบึ้งขึ้นมาอีกครั้งในตอนที่พูดถึงโรงเรียน เขารู้ดีว่าโรคหัวใจที่เป็นอยู่ ถ้าไม่รีบผ่าตัดก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน “เรียนไปก็เท่านั้นเพราะถึงยังไงผมก็ต้องตาย”
“ไอ้เมฆ แกนี่ ชอบพูดแต่เรื่องตาย” น้ำอิงขู่เสียงเขียว “แกได้ผ่าตัดเมื่อไหร่ แกก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว”
“ก็ผม...”
“หยุดเลยไม่ต้องเถียง ยังไงแกก็ต้องผ่า จบนะ” นิ้วเรียวจรดลงบนหน้าผากของน้องชายก่อนที่เธอจะออกแรงดีดเพื่อให้ความเจ็บปวดมันดึงสติของเหนือเมฆกลับคืนมา
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะพี่”
อีกฝ่ายโอดครวญพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ ก่อนจะอมยิ้มแล้วซบลงบนอกของพี่สาวซึ่งเปรียบเสมือนอ้อมกอดของมารดาผู้ล่วงลับ
น้ำอิงตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมให้น้องชายกอดไว้ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กแผ่วเบาด้วยความรัก
เมื่อรถมาถึงหน้าโรงพยาบาล เธอจึงรีบเข้าไปหาหมอตามนัด ทำแผลเสร็จก็พาน้องชายแวะซื้อผลไม้กลับไปฝากธีระจากนั้นจึงนั่งรถเมล์ไปลงหน้าปากซอย พูดคุยหยอกล้อกันจนเลี้ยวเข้าซอยแยก เธอก็ต้องหยุดชะงักเมื่อพบกับรถหรูสีดำเงาวับจอดอยู่จากที่ไกล ๆ เห็นคนขับที่สวมชุดสูทสีดำกำลังเปิดประตูให้ผู้เป็นเจ้านายที่อายุน่าจะย่างเข้าสู่ห้าสิบต้น ๆ เดินออกมาจากในร้านแล้วเข้าไปนั่งในรถก่อนที่มันจะถูกขับออกไปจากซอย เหมือนพวกมาเฟียที่เคยเห็นในละครไม่มีผิด
“เมื่อกี้ใครมาเหรอพ่อ” เหนือเมฆเอ่ยถามทันทีที่เดินมาถึงบ้าน พอธีระหันมาเห็นน้ำอิง เขาก็คลี่ยิ้มออกมาทันที
“อิง กลับมาพอดี พ่อมีข่าวดีจะบอก”
“ข่าวดีอะไรคะพ่อ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความตกใจ อยู่ ๆ บิดาก็เข้ามาลากแขนเธอเข้าไปในร้าน
“ก็คนเมื่อกี้น่ะ เขาบอกว่าเขาตามแกมาจากบริษัทติวเตอร์ เขากำลังหาคนอยู่พอดีเลยไปที่นั่น เห็นว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทในเครือของเขา เขาเห็นประวัติแกน่าสนใจแต่แกดันไม่ได้ไปสอบสัมภาษณ์ เขาก็เลยลงทุนมาตามหาถึงบ้าน”
“นี่หมายความว่าเขารับหนูเข้าทำงานแล้วเหรอคะ”
“ก็คงงั้นแหละ ตอนแรกเขาบอกจะมาคุยรายละเอียดกับแกเอง แต่พ่อบอกว่าแกไปหาหมอเขาก็เลยฝากนามบัตรนี่ไว้ รอให้แกหายดีแล้วค่อยไปหาเขา” ว่าแล้วธีระก็หยิบนามบัตรสีบรอนซ์ส่งให้กับลูกสาว น้ำอิงยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายรีบหยิบนามบัตรตรงหน้าขึ้นมาทันที
“อภิวัฒน์ โรจนกิจสุวรรณ ดูแล้วคงจะรวยมากเลยใช่ไหมคะ”
“ต้องรวยสิ เขาเสนอเงินเดือนให้แกเดือนละห้าหมื่นเลยนะ”
“ห้าหมื่น! แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะ คงไม่ใช่พวกตาแก่หัวงูหาเด็กเลี้ยงหรอกใช่ไหมพ่อ” หญิงสาวเริ่มใจคอไม่ดีรีบวางนามบัตรลงทันที
“จะบ้าเหรอ งานแบบนั้นพ่อไม่ให้แกไปทำหรอก คุณคนนี้น่ะ เขาแค่จะมาหาครูสอนพิเศษไปดัดสันดานลูกชายเขา เฉย ๆ ”
“ดัดสันดาน ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ไม่รู้สิ ก็เขาพูดมาแบบนี้ เห็นว่าอยากให้ลูกชายเรียนต่อก็เลยจะหาครูสอนดี ๆ สักคน” พูดจบธีระก็หมุนตัวเข้าไปในครัวเพราะเห็นลูกค้าเข้ามาในร้านพอดีแต่บทสนทนาก็ยังดำเนินต่อไป
“แล้วเขาบอกไหมคะว่าลูกชายเขาอายุเท่าไหร่”
“ไม่รู้สิ...พ่อเองก็ได้ยินไม่ชัด น่าจะสิบเอ็ดขวบนี่แหละ” อีกฝ่ายตะโกนออกมาจากในครัวยิ่งทำให้น้ำอิงรู้สึกสนใจงานนี้มากขึ้น หญิงสาวจ้องมองที่อยู่ที่ปรากฏอยู่บนนามบัตรพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความหวัง
แค่ดัดสันดานสอนหนังสือเด็กสิบเอ็ดขวบ มันจะไปยากอะไร ถ้าแลกกับเงินเดือนครึ่งแสนก็ถือว่าคุ้มอยู่