ตอนที่1 ข้อเสนอ 1

1459 Words
น้ำอิงเดินเท้ากลับมาจนถึงบ้านในสภาพที่เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ศีรษะยังมีผ้าปิดแผลพันอยู่ เนื้อตัวก็มีแต่รอยถลอก รู้สึกปวดเมื่อยขาเพราะเดินทางมาไกล พอมาถึงบ้านก็รีบทรุดกายนั่งลงทันทีด้วยความอ่อนล้า “เชี่ย! พี่น้ำ” เหนือเมฆอุทานลั่นเมื่อเห็นสภาพพี่สาวจนต้องเรียกบิดาที่กำลังทำอาหารอยู่หลังครัว “พ่อ พ่อ! พ่อมาดูพี่น้ำหน่อยเร็วเข้า” “น้ำ นี่แกไปโดนอะไรมา ทำไมสภาพถึงเละอย่างนี้ล่ะ” ธีระตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ รีบเข้ามาสำรวจร่างกายลูกสาวทันที “ไหนบอกไปสัมภาษณ์งาน ทำไมถึงกลับมาสภาพนี้ล่ะวะ ใครมันทำอะไรแก” “หนูยังไม่ได้สัมภาษณ์เลยพ่อ เกิดอุบัติเหตุถูกรถชนซะก่อน” “แล้วเจ็บตรงไหนบ้าง พ่อดูหน่อย” “ตอนนี้หนูไม่เจ็บตรงไหนแล้วล่ะค่ะ นอกจากที่ใจ ฮือ...” หญิงสาวร้องไห้โฮออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงงานที่เธอพลาดไป “แล้วพี่ไปทำเอาท่าไหนล่ะเนี่ย ถึงได้ถูกรถเฉี่ยวชนเอา” “ฉันแค่เก็บเอกสาร แต่ไอ้รถบ้านั่น มันดันพุ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ ชนเสร็จขอโทษสักคำก็ไม่มี มิหนำซ้ำมันยังชูนิ้วกลางใส่หนูอีกอ่ะพ่อ” น้ำอิงหันไปฟ้องบิดาเสียชุดใหญ่ มือเรียวทุบลงบนโต๊ะเสียงดังด้วยความเจ็บใจ “ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริง ๆ หนูกำลังจะได้งานแล้วแท้ ๆ ฮือ...” “เอาเถอะ เอาเถอะ...ถือซะว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน แกขึ้นไปพักเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ พ่อเห็นเลือดแกแล้วจะเป็นลม ไอ้เมฆ ช่วยพี่แกหน่อย” “ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้” หญิงสาวยกมือห้ามทันทีที่เห็นเหนือเมฆทำท่าจะเข้ามาประคอง รีบหอบสังขารของตัวเองกลับขึ้นไปบนบ้าน จัดการอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนที่อาการบาดเจ็บตรงศีรษะจะพุ่งปรี๊ดขึ้นมาจนต้องรีบกินยาแก้ปวดแล้วเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกอีกทีก็ตอนที่นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบจะตีสองเพราะความหิว “อา...เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย” มือเรียวยกขึ้นนวดตามร่างกายเพื่อบรรเทาปวดแล้วพาตัวเองลงไปรื้อตู้เย็นชั้นล่างเพื่อหาอะไรรองท้อง ในระหว่างที่กำลังตักบะหมี่เข้าปาก อยู่ ๆ ก็ดันนึกถึงหน้าคนขับรถหรูคันนั้นขึ้นมาทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง “บ้าจริง คนอะไร ทำไมถึงแล้งน้ำใจขนาดนี้ เสียดายฉันน่าจะถ่ายป้ายทะเบียนไว้ เรียกค่าปรับเสียให้เข็ด โอ๊ย!” พูดยังไม่ทันขาดคำ อาการบาดเจ็บก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาจนต้องรีบกินแล้วรีบขึ้นไปนอนพัก กลิ่นอาหารที่แสนคุ้นเคยลอยเข้าขึ้นมาปะทะจมูกปลุกให้คนที่กำลังนอนพลิกตัวบนเตียงตื่นขึ้นมาด้วยความหิว รีบจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเดินทางไปล้างแผลหาหมอตามนัดโดยมีเหนือเมฆอาสานั่งรถเมล์ไปเป็นเพื่อน หญิงสาวเหลือบมองน้องชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกผิดจนต้องเอื้อมมือไปสวมกอดไหล่กว้างไว้อย่างนึกเอ็นดู “ขอโทษนะเมฆ” “ขอโทษเรื่องอะไร ปล่อยผม ผมขนลุก” อีกฝ่ายรีบสะบัดมือพี่สาวออกแต่น้ำอิงก็ยังกระชับกอดไว้แน่น “แกเป็นคนป่วยแท้ ๆ แต่ต้องมาดูแลฉัน แทนที่ฉันต้องดูแลแก” “พี่ก็ดูแลผมมาตลอดแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้เอง” เหนือเมฆตอบอย่างไม่ใส่ใจ รีบเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายเพราะเขาไม่เคยแสดงความรักอะไรแบบนี้กับน้ำอิงบ่อยนัก “แล้วนี่เปิดเทอมวันไหนนะ” “กลางเดือนหน้าโน่น” “ปีนี้ก็ขึ้น มอสี่แล้วใช่ไหม ชุดยูนิฟอร์มเดิมยังใส่ได้หรือเปล่า” น้ำอิงเอ่ยถาม สีหน้าดูกังวลขึ้นมาทันที “เสื้อยังใส่ได้ แต่กางเกงน่ะต้องเปลี่ยน” “กว่าโรงเรียนจะเปิด ฉันก็คงหางานได้แล้ว เดี๋ยวเอาไว้เราไปหาซื้อด้วยกันนะ” “ก็บอกแล้วว่าไม่อยากเรียนต่อแล้ว อยากช่วยพ่อ พี่ก็ยังบังคับอีก” เหนือเมฆหน้าบึ้งขึ้นมาอีกครั้งในตอนที่พูดถึงโรงเรียน เขารู้ดีว่าโรคหัวใจที่เป็นอยู่ ถ้าไม่รีบผ่าตัดก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน “เรียนไปก็เท่านั้นเพราะถึงยังไงผมก็ต้องตาย” “ไอ้เมฆ แกนี่ ชอบพูดแต่เรื่องตาย” น้ำอิงขู่เสียงเขียว “แกได้ผ่าตัดเมื่อไหร่ แกก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว” “ก็ผม...” “หยุดเลยไม่ต้องเถียง ยังไงแกก็ต้องผ่า จบนะ” นิ้วเรียวจรดลงบนหน้าผากของน้องชายก่อนที่เธอจะออกแรงดีดเพื่อให้ความเจ็บปวดมันดึงสติของเหนือเมฆกลับคืนมา “โอ๊ย! ผมเจ็บนะพี่” อีกฝ่ายโอดครวญพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ ก่อนจะอมยิ้มแล้วซบลงบนอกของพี่สาวซึ่งเปรียบเสมือนอ้อมกอดของมารดาผู้ล่วงลับ น้ำอิงตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมให้น้องชายกอดไว้ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กแผ่วเบาด้วยความรัก เมื่อรถมาถึงหน้าโรงพยาบาล เธอจึงรีบเข้าไปหาหมอตามนัด ทำแผลเสร็จก็พาน้องชายแวะซื้อผลไม้กลับไปฝากธีระจากนั้นจึงนั่งรถเมล์ไปลงหน้าปากซอย พูดคุยหยอกล้อกันจนเลี้ยวเข้าซอยแยก เธอก็ต้องหยุดชะงักเมื่อพบกับรถหรูสีดำเงาวับจอดอยู่จากที่ไกล ๆ เห็นคนขับที่สวมชุดสูทสีดำกำลังเปิดประตูให้ผู้เป็นเจ้านายที่อายุน่าจะย่างเข้าสู่ห้าสิบต้น ๆ เดินออกมาจากในร้านแล้วเข้าไปนั่งในรถก่อนที่มันจะถูกขับออกไปจากซอย เหมือนพวกมาเฟียที่เคยเห็นในละครไม่มีผิด “เมื่อกี้ใครมาเหรอพ่อ” เหนือเมฆเอ่ยถามทันทีที่เดินมาถึงบ้าน พอธีระหันมาเห็นน้ำอิง เขาก็คลี่ยิ้มออกมาทันที “อิง กลับมาพอดี พ่อมีข่าวดีจะบอก” “ข่าวดีอะไรคะพ่อ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความตกใจ อยู่ ๆ บิดาก็เข้ามาลากแขนเธอเข้าไปในร้าน “ก็คนเมื่อกี้น่ะ เขาบอกว่าเขาตามแกมาจากบริษัทติวเตอร์ เขากำลังหาคนอยู่พอดีเลยไปที่นั่น เห็นว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทในเครือของเขา เขาเห็นประวัติแกน่าสนใจแต่แกดันไม่ได้ไปสอบสัมภาษณ์ เขาก็เลยลงทุนมาตามหาถึงบ้าน” “นี่หมายความว่าเขารับหนูเข้าทำงานแล้วเหรอคะ” “ก็คงงั้นแหละ ตอนแรกเขาบอกจะมาคุยรายละเอียดกับแกเอง แต่พ่อบอกว่าแกไปหาหมอเขาก็เลยฝากนามบัตรนี่ไว้ รอให้แกหายดีแล้วค่อยไปหาเขา” ว่าแล้วธีระก็หยิบนามบัตรสีบรอนซ์ส่งให้กับลูกสาว น้ำอิงยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายรีบหยิบนามบัตรตรงหน้าขึ้นมาทันที “อภิวัฒน์ โรจนกิจสุวรรณ ดูแล้วคงจะรวยมากเลยใช่ไหมคะ” “ต้องรวยสิ เขาเสนอเงินเดือนให้แกเดือนละห้าหมื่นเลยนะ” “ห้าหมื่น! แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะ คงไม่ใช่พวกตาแก่หัวงูหาเด็กเลี้ยงหรอกใช่ไหมพ่อ” หญิงสาวเริ่มใจคอไม่ดีรีบวางนามบัตรลงทันที “จะบ้าเหรอ งานแบบนั้นพ่อไม่ให้แกไปทำหรอก คุณคนนี้น่ะ เขาแค่จะมาหาครูสอนพิเศษไปดัดสันดานลูกชายเขา เฉย ๆ ” “ดัดสันดาน ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” “ไม่รู้สิ ก็เขาพูดมาแบบนี้ เห็นว่าอยากให้ลูกชายเรียนต่อก็เลยจะหาครูสอนดี ๆ สักคน” พูดจบธีระก็หมุนตัวเข้าไปในครัวเพราะเห็นลูกค้าเข้ามาในร้านพอดีแต่บทสนทนาก็ยังดำเนินต่อไป “แล้วเขาบอกไหมคะว่าลูกชายเขาอายุเท่าไหร่” “ไม่รู้สิ...พ่อเองก็ได้ยินไม่ชัด น่าจะสิบเอ็ดขวบนี่แหละ” อีกฝ่ายตะโกนออกมาจากในครัวยิ่งทำให้น้ำอิงรู้สึกสนใจงานนี้มากขึ้น หญิงสาวจ้องมองที่อยู่ที่ปรากฏอยู่บนนามบัตรพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความหวัง แค่ดัดสันดานสอนหนังสือเด็กสิบเอ็ดขวบ มันจะไปยากอะไร ถ้าแลกกับเงินเดือนครึ่งแสนก็ถือว่าคุ้มอยู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD