ตอนที่3 ขอเป็นแฟน

1228 Words
เตยหอม ฉันได้แต่ขับรถด้วยความสงสัยเรื่องที่คุณนิกเลือกดาราหน้าใหม่ให้เล่นประกบตัวเอง ทั้งที่จริงๆเขานะเวลาทำงานเป็นคนที่เนียบมาก เรียกว่ามากที่สุดเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบคนผิดพลาดหรอกนะ เพียงแต่ถ้าจะทำงานประกบกับเขา ต้องมีความรอบคอบ ผิดพลาดให้น้อยที่สุด ให้ดีก็อย่าผิดเลย นั่นแหละ เลยทำให้ฉันสงสัยว่าทำไมเขาถึงได้เลือกผู้หญิงคนนั้น ทั้งที่ดาราแถวหน้าหลายคนที่อยู่ในวงการมานานเขากลับไม่เลือก แต่ที่ฉันไม่ถาม ก็เพราะว่าคนอย่างเขาทำอะไรมักมีเหตุผล และถ้าได้เลือกแล้วก็จะยืนยันในคำตอบนั้นจนกว่าจะไม่ได้ดั่งใจนั่นแหละ ถึงจะเปลี่ยนตัวเลือก ฟังดูเหมือนเขาไม่ค่อยน่าทำงานด้วยเท่าไหร่เลยว่าไหม แต่ไม่หรอก จริงๆนอกเหนือเวลางานของเขา เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีมุมขี้เล่น อารมณ์ดี อารมณ์เสีย เอาแต่ใจเหมือนกัน เพียงแต่เวลางานเขาจะจริงจังมากกว่าคนอื่นๆ เพราะเขามีเหตุผลหนึ่งที่น้อยคนมากจะรู้ “พรุ่งนี้ฉันว่างใช่ไหม” เขาถามขึ้นหลังจากฉันขับรถมาถึงคอนโดของเขา “ใช่ค่ะ” พรุ่งนี้เป็นวันพักผ่อนของเขานั่นเอง “อืม ขับรถดีๆล่ะ” เขาพูดขึ้นก่อนจะลงจากรถไป ฉันก็ขับออกจากคอนโดของเขาเพื่อกลับคอนโดตัวเอง ส่วนหน้าที่ผู้จัดการของฉันต้องขับรถให้เขาด้วยหรอ บอกเลยว่าส่วนมากต้องขับ ไม่ใช่ว่าคุณนิกขับรถเองไม่เป็นหรอกนะ แต่ว่าบางครั้งเขาก็ทำงานดึกตื่นเช้า ก็เลยใช้เวลาเดินทางเป็นเวลาพักผ่อน และเหตุผลหลักของเขาก็คือ ขี้เกียจ ค่ะ ฟังไม่ผิดหรอก เขาน่ะขี้เกียจขับรถมาก ตั้งแต่สมัยฉันเข้ามาทำงานใหม่ๆได้ใกล้ชิดเขามากขึ้น ตอนนั้นก็คิดว่าเขาขับรถไม่เป็นถึงต้องให้เจ๊โฟนี่ไปรับไปส่งประจำ เจ๊ก็เลยบอกฉัน ว่าคุณนิกเป็นพวกขี้เกียจขับรถ Rrrrrr เสียงโทรศัพท์ฉันดังขึ้น ฉันจึงกดรับผ่านรถทันที “สวัสดีค่ะ” ฉันกรอกเสียงไปโดยไม่รู้หรอกว่าใคร เพราะไม่ได้มอง (เตย วันนี้ว่างไหมครับ) เสียงนุ่มอบอุ่นแบบนี้มีคนเดียวเท่านั้นแหละ “ว่างค่ะ พี่คิมมีอะไรหรือเปล่า” (เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะ) พี่คิมพูดขึ้น “ได้อยู่แล้วค่ะ” ฉันจะปฏิเสธคนสำคัญได้ยังไง (ครับ งั้นเดี๋ยวพี่แชร์โลเคชั่นให้นะ) พี่คิมพูดขึ้นอีกครั้ง “ครับผม” แล้วสายก็ตัดไป ส่วนพี่คิมเป็นใครหรอ พูดแล้วก็เขิน ฉันกับเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน และเราสองคนก็ตัดสินใจดูใจกันมาได้สักพักใหญ่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นคนรู้ใจกันและกัน เพียงแต่ยังเรียกแฟนไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน แล้วถ้าจะถามว่าทำไมเขาถึงไม่มารับฉันทั้งที่เป็นคนพิเศษ อันนี้ฉันเป็นคนบอกพี่คิมเอง ว่าถ้านัดกันไม่ต้องมารับฉัน เพราะว่าที่อยู่ของฉันกับเขามันอยู่คนละฝากฝั่งกันเลย แล้วฉันก็ขับรถเองเป็น ไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลากับรถติดเพื่อมารับฉันกลับไปกลับมาอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะอยากมารับมาส่งฉันก็ตาม แต่การไปหากันและกันด้วยตัวเอง มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับฉันอยู่แล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนชั้นดาดฟ้า ที่เป็นร้านอาหารแบบเอ้าท์ดอร์ ซึ่งฉันก็แปลกใจตั้งแต่ได้รับโลเคชั่นแล้ว ว่าทำไมพี่คิมถึงต้องพาฉันมากินอาหารที่หรูหราแบบนี้ด้วย ทั้งที่ปกติเวลาเราว่างเราก็นัดกันกินข้าวประจำ ก็ร้านอาหารทั่วไป แม้แต่ร้านข้างทางยังมีเลย “โต๊ะคุณคิมหันค่ะ” ฉันเดินมาถึงก็บอกพนักงานที่ยืนต้อนรับอยู่ตรงประตูกระจกออกไป “ด้านนี้ครับ” แล้วพนักงานก็นำไปที่โต๊ะก่อนจะเดินออกไปทันที แต่พอมาถึงโต๊ะกลับไม่เห็นพี่คิม ฉันหันซ้ายหันขวาก็ไม่เห็น “หรือว่ายังมาไม่ถึงนะ” ฉันบ่นออกมากับตัวเองก่อนจะนั่งลงแล้วส่งไลน์ไปหาพี่คิมดู แต่ก็ไม่มีการอ่านหรือตอบรับใดๆ ฉันก็เลยคิดว่าเขาอาจจะขับรถอยู่ ก็เลยนั่งดูบรรยากาศรอบๆ มันสวยและโรแมนติกมาก แต่ละโต๊ะก็มีเทียนหนึ่งเล่มจุดอยู่กลางโต๊ะ รอบๆก็เห็นแสงไฟระยิบระยับสุดลูกหัวลูกตาของเมืองหลวง ถ้าจะให้พูดตรงๆ เมืองหลวงก็คงจะสวยแค่เวลาเดียว นั่นคือเวลากลางคืนแบบนี้สินะ พรึ่บ! แล้วอยู่ๆฉันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาวางตรงหน้า ทำให้ฉันดึงสายตาจากทิวทัศน์กลับมาที่หน้าตัวเอง ก่อนจะเห็นดอกกุหลาบสีขาวช่อหนึ่งที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ฉันเงยไปมองหน้าคนวางก่อนจะยิ้มออกมา “เนื่องในโอกาสอะไรคะ” ฉันถามออกไปด้วยรอยยิ้ม พี่คิมก็ส่งยิ้มกลับมาให้ฉัน ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ข้างๆฉัน “กุหลาบขาว หมายถึงความรักบริสุทธิ์ จำนวน12 ดอก แทนความหมาย ขอให้เธอเป็นคู่ฉัน” พี่คิมหันพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะดึงมือฉันไปกุมไว้ “.....” ตอนนี้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะแล้วสิ ขอให้เธอเป็นคู่ฉันหรอ เขาหมายถึงอะไรกันแน่นะ “เตย นี่ก็ปีหนึ่งแล้วที่เราดูใจกันแบบจริงจัง พี่คิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ที่เราควรจะมีสถานะที่ชัดเจนขึ้น” พี่คิมพูดขึ้น และนั่นก็เริ่มทำให้หัวใจฉันเต้นหนักกว่าเดิม “.....” ฉันได้แต่มองหน้าพี่คิมโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะฉันกำลังรอฟังคำพูดจากปากของเขาอย่างใจจดใจจ่อ “เตยหอมครับ เป็นแฟนกับพี่นะ” แล้วสิ่งที่ฉันรอฟังอยู่ มันก็เป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆ ตอนนี้ พี่คิมขอฉันเป็นแฟนแล้ว เราสองคนกำลังมีสถานะที่พูดได้เต็มปากแล้วสินะ ว่าเป็นอะไรกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน เราก็ต่างรักและดูแลกันอย่างดีมาตลอด จนต่างเริ่มมารู้ใจกันและกันว่าคิดเหมือนกัน ก่อนพี่เขาจะเป็นฝ่ายขอคบ แต่ฉันก็อยากให้แน่ใจกว่านี้ก่อน เลยขอศึกษาดูใจกันไปก่อน แล้วเราก็ศึกษากันและกันในฐานะคนรัก ไม่ใช่พี่น้องมาตลอด ซึ่งก็ถือว่ามันไปได้ดีและไปได้สวยมากๆ ถึงแม้ว่าเราไม่ได้เจอกันบ่อยเท่าที่ควรเพราะหน้าที่ แต่เราก็เข้าใจกันและกันอย่างดี ดีจนฉันคิดว่าฉันเองก็พร้อมแล้วเหมือนกัน ถ้าฉันจะเรียกเขาว่าแฟนได้อย่างเต็มปากเต็มคำ “ค่ะ เตยตกลง”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD