6
พชรดนัยเดินลงมาจากชั้นบนของบ้านในเวลาเจ็ดนาฬิกา เขาก้าวเดินไปยังห้องรับประทานอาหารที่อยู่ทางปีกขวาของบ้าน พอไปถึงห้องนั้นก็พบกับร่างของรัตเมธผู้เป็นบิดานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก่อนหน้า คนเป็นลูกยิ้มให้ผู้เป็นพ่อก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวประจำ
“วันนี้รีบไปทำงานหรือเปล่าเมฆ” รัตเมธเอ่ยถามลูกชายขณะรับประทานอาหารเช้า
“ไม่รีบครับ” คนเป็นลูกตอบ “มีเรื่องอะไรหรือครับคุณพ่อ”
“กินข้าวเสร็จไปคุยกับพ่อที่ห้องทำงานหน่อยนะ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ครับคุณพ่อ” พชรดนัยรับคำ ก่อนที่ทั้งคู่จะสนใจกับอาหารเช้าต่อไป อีกยี่สิบนาทีต่อมาสองพ่อลูกก็พากันเดินไปยังห้องทำงาน
“คุณพ่อมีอะไรครับ” คนเป็นลูกกลั่นออกเป็นคำถามด้วยความอยากรู้
“พ่อมีอะไรจะให้เมฆ” รัตเมธหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลในลิ้นชักทำงานส่งให้พชรดนัยที่เอื้อมมือไปรับซองนั้นด้วยความฉงนสงสัย
“อะไรครับคุณพ่อ” เขาถามโดยที่ยังไม่เปิดซองดูเอกสารข้างใน
“เมฆหยิบเอกสารออกมาดูก็จะรู้เองล่ะลูก” พรชดนัยเปิดซองแล้วล้วงหยิบเอกสารที่สอดใส่ไว้ออกมาดู แล้วพอรู้ว่าเอกสารฉบับนั้นคืออะไร ดวงตาของคนเป็นลูกขยายกว้างเล็กน้อยไม่คิดว่าบิดาจะให้สิ่งนี้กับตนก่อนเวลาอันควร
“หมายความว่ายังไงครับคุณพ่อ” เขาเงยหน้าเอ่ยถามบิดา หลังจากที่กวาดตาอ่านเนื้อความของเอกสาร
“ไม่ต้องตกใจหรอกเมฆ ที่พ่อยกทรัพย์สมบัติของพ่อให้เมฆเพราะพ่ออยากให้เมฆรู้ว่า ถึงพ่อจะแต่งงานใหม่กับดวงเดือน แต่ความรักที่พ่อมีต่อเมฆก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป อีกอย่างพ่อก็จะสร้างความมั่นใจให้เมฆด้วยว่า ดวงเดือนไม่ได้แต่งงานกับพ่อเพราะหวังสมบัติอย่างที่ใครๆ เข้าใจ พ่อจะใช้จ่ายด้วยเงินเดือนที่ได้จากบริษัทในตำแหน่งประธานบริษัทเท่านั้น”
สิ่งนี้คือความตั้งใจของรัตเมธ เขาไม่ต้องการให้ลูกชายเพียงคนเดียวคิดว่า ดวงเดือนแต่งงานกับเขาเพราะเงิน รัตเมธจึงตัดสินใจยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีให้กับพชรดนัย จะใช้จ่ายด้วยเงินเดือนที่ได้รับจากตำแหน่งประธานบริษัท อีกทั้งยังสร้างความมั่นใจให้กับลูกชายด้วยว่า สมบัติของเขาจะไม่ตกเป็นของคนอื่น
“คุณพ่อไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้นะครับ ผมเข้าใจเรื่องที่คุณพ่อแต่งงานใหม่ แล้วไม่ได้รังเกียจน้าเดือนด้วย ความสุขของคุณพ่อก็เหมือนกับความสุขของผมครับ”
พชรดนัยไม่คิดรังเกียจว่าที่แม่เลี้ยงของตน เขากลับคิดว่าเป็นการดีที่บิดาแต่งงานใหม่ รัตเมธจะได้ไม่เหงา มีเพื่อนคุย มีเพื่อนเที่ยวตามประสาเพราะเขาเองก็ไม่มีเวลาให้บิดามากนัก
“พ่อขอบใจที่เมฆคิดแบบนี้ แต่พ่ออยากให้เมฆจริงๆ นะ แล้วมีอีกอย่างหนึ่งที่พ่อจะให้เมฆ สิ่งนี้พ่อทำให้เมฆตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว พ่อคิดว่ามันสมควรที่จะให้เมฆจัดการต่อ ตามความชอบของเมฆเอง”
ระหว่างที่รัตเมธพูด เขาล้วงหยิบเอกสารอีกฉบับหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก ก่อนจะวางลงตรงหน้าลูกชาย พชรดนัยก้มมองดูโฉนดที่ดินและเอกสารอีกหนึ่งฉบับที่สอดอยู่ข้างใต้ แล้วเอื้อมมือไปหยิบทั้งสองสิ่งนั้นขึ้นมาดู มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อได้อ่านรายละเอียดต่างๆ ในเอกสารที่ถืออยู่ มุมปากทั้งสองข้างของพชรดนัยคลี่กว้างทีละน้อย จนกระทั่งรอยยิ้มแห่งความดีใจกระจายเต็มใบหน้าหล่อเข้ม
“อะไรกันครับคุณพ่อ คุณพ่อแอบทำรีสอร์ตให้ผมหรือครับ”
พชรดนัยเงยหน้าถามบิดา รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ตนเองได้ครอบครองที่ดินและรีสอร์ตแห่งนี้ เพราะที่ดินผืนนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับบ้านที่ตนเคยพักพิงอาศัยมานานแสนนานและรอเวลาที่จะได้กลับไป มันช่างน่าแปลกนักที่เขารู้สึกเช่นนี้ เพราะเขาไม่เคยไปเยี่ยมกรายที่ดินผืนนั้นเลยสักครั้งเดียว
“ใช่ รีสอร์ตนี้เป็นของเมฆ เมฆเข้าไปดูแลตกแต่งมันได้เต็มที่” ผู้เป็นพ่อตอบด้วยรอยยิ้ม ดีใจที่ได้มองเห็นความสุขบนใบหน้าของลูกชาย
“ขอบคุณมากครับคุณพ่อ ขอบคุณมากครับ” พชรดนัยก้มลงกราบบิดาพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณจากหัวใจ
“พ่อมีอีกเรื่องนึงที่จะขอร้องเมฆ” รัตเมธเปิดประเด็นใหม่
“เรื่องอะไรครับคุณพ่อ”
“เมฆจำได้ไหมว่า พ่อเคยบอกเมฆว่าน้าเดือนมีลูกติดคนนึง” รัตเมธเท้าความ
“จำได้ครับ คุณพ่อบอกผมเมื่อปีก่อนว่า ลูกสาวของน้าเดือนกำลังเรียนอยู่เชียงใหม่จะจบปีนี้”
พชรดนัยรู้จักลูกสาวของดวงเดือนผ่านการบอกเล่าของบิดา ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เนื่องจากอีกฝ่ายเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ค่อยได้ลงมากรุงเทพฯ คนที่เขาเห็นหน้าค่าตาบ่อยๆ คือดวงเดือน คนรักใหม่ของบิดา
“ใช่ลูก หนูกัณฑ์เรียนจบแล้ว พ่ออยากให้เมฆรับหนูกัณฑ์ไปทำงานที่รีสอร์ตด้วย หนูกัณฑ์เรียนจบการบริหารมา พ่อว่าน่าจะช่วยงานเมฆได้มากทีเดียว เมฆรับหนูกัณฑ์ไปทำงานด้วยซักคนนะลูก” รัตเมธพูดเชิงขอร้อง
“ได้ครับคุณพ่อ เรื่องแค่นี้เองหรือครับ” เขาคิดว่าเรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จึงตกปากรับคำผู้เป็นบิดา
“พ่อขอบใจเมฆมากนะสำหรับทุกอย่าง ไม่ขัดขวางเรื่องที่พ่อจะแต่งงานใหม่ ยอมรับน้าเดือนกับหนูกัณฑ์มาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเรา”
“ความสุขของคุณพ่อคือความสุขของผมครับ”
คำพูดของพชรดนัยดูเหมือนจะครอบคลุมทุกอย่าง เขาไม่เพียงแต่ไม่เข้าขวาง ยังจะเห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานของบิดาในครั้งนี้ด้วย ผู้เป็นพ่อไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากแย้มรอยยิ้ม
“แล้วเรื่องงานแต่งงานไปถึงไหนแล้วครับ ช่วงนี้ผมยุ่งๆ เรื่องเปิดบริษัทลูกที่สิงคโปร์เลยไม่ได้ลงไปช่วยคุณพ่อมากนัก”
พชรดนัยถามถึงงานสำคัญที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จะว่าไปแล้วเขาแทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทุกสิ่งอย่างรัตเมธให้บรรสันต์เลขาส่วนตัวจัดการทั้งสิ้น
“งานแต่งของพ่อไม่ได้จัดใหญ่โต แค่ทำบุญเลี้ยงพระ กินเลี้ยงในหมู่ญาติเท่านั้นเอง สันต์เขาจัดการให้พ่อเรียบร้อยแล้ว” สันต์คือ บรรสันต์เลขาส่วนตัวของเขา
“ผมเหมือนเป็นลูกที่ไม่ดีเลยนะครับ ไม่ได้ช่วยอะไรคุณพ่อเลย งานมงคลของคุณพ่อแท้ๆ”
พชรดนัยรู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่ได้เข้าไปจัดการเรื่องงานแต่งงานของบิดาอย่างที่ควรจะเป็น ปล่อยให้บรรสันต์ที่เป็นเพียงเลขาส่วนตัวจัดการ สีหน้าของผู้พูดจึงสลดไม่ต่างกับน้ำเสียง