Devil monster Pee x Puifai 03
เตียงนอนที่ยับยุ่งหยดเลือดสีแดงประปรายไปตามผ้าปูที่นอน บ่งบอกได้อย่างดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ฝันร้ายแต่มันเป็นเรื่องจริงที่ฉันรับไม่ได้ เขาทำกับฉันไม่ต่างจากผู้หญิงขายตัว เงินแบงค์สีเทาวางอยู่หัวเตียงนับสิบนั่นทำให้ฉันดูด้วยค่ามากยิ่งขึ้น ฉันเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมในตอนหกโมง พอสก็รออยู่ที่รถแล้วทันทีที่ขึ้นรถฉันก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ความน้อยใจที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้ถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา
“ฝ้าย มึงเป็นอะไรบอกกูมาสิ มึงอย่าเอาแต่ร้องไห้แบบนี้” พอสถามเสียงกังวล
“พอสกูเกลียดเขา กูเกลียดตัวเองที่ยอมเขาฮื่อ!”
“มึงร้องออกมาให้พอฝ้าย พรุ่งนี้มึงห้ามร้องไห้เพราะถ้ามึงร้องกูเชื่อได้เลยว่าไอ้อมได้ตามไปฆ่ามันแน่”
“ช่วงนี้ไปพักกับกูก่อนแล้วกัน ทำใจได้ค่อยกลับ”
ฉันร้องไห้ตั้งแต่ขึ้นรถกระทั่งถึงกรุงเทพฉันมาพักที่ห้องพอส่วนพอสก็ไปค้างกับแฟนที่อยู่ห้องตรงข้าม ฉันเล่นมือถืออยู่จู่ๆก็มีสายเข้ามา มันเป็นเบอร์ที่ไม่ได้เมมไว้ ฉันลังเลใจอยู่นานว่าจะรับดีหรือเปล่ากระทั่งสายตัดไปและโทรกลับมาใหม่ฉันเละตัดสินใจรับ
“ค่ะ”
(ฝ้ายอยู่ไหน พี่มาหาเราที่บ้านไม่เจอกลับวันนี้ไม่ใช่เหรอแล้วตอนนี้อยู่ไหน)
“โทรผิดหรือเปล่าคะ ฉันไม่รู้จักคนชื่อฝ้ายนะคะ” ฉันเอ่ยบอกปลายสาย น้ำตาก็ไหลลงมา เขามันบ้าไปแล้วเขาไม่เคยโทรหาฉันแต่ตอนนี้เขาโทรหาฉันแถมยังพูดอะไรแปลกๆอีกด้วย
(เอ่อ น่าจะใช่ขอโทษนะครับ)
ฉันตัดสายแล้วปิดเครื่องทันที เขาโทรมาทำไมกันแถมยังไปหาฉันที่บ้านอีก ฉันปิดมือถือตั้งแต่ช่วงบ่ายลากยาวมาถึงช่วงค่ำลูกอมเข้ามาค้างเป็นเพื่อนนางก็ไม่ลืมหอบเอางานมาทำด้วย หลังจากทานข้าวเสร็จฉันก็นั่งคุยกับลูกอมส่วนพอสกลับห้องไปพาแฟนแล้ว เกือบหนึ่งเดือนที่ฉันไม่ได้กลับบ้านแต่ก็ยังติดต่อกับพ่อแม่อยู่ ฉันยังไม่อยากกลับไปรับรู้อะไรแล้วตอนนี้
“ดีขึ้นหรือยัง” จู่ๆลูกอมก็ถามขึ้นมา มันมองหน้าฉันก่อนจะยื่นมือถือมันมาให้ฉันดู พอรับมาก็ต้องขอบตาร้อนอีกครั้งเมื่อสิ่งที่โชว์อยู่บนหน้าจอมือถือ เขาบอกว่ากำลังจะมีข่าวดีกับแฟนเขา หึหึ น่าสมเพชตัวเองจังเลยฉันนี่มันโง่ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้วแต่ก็ยังทำใจไม่ได้แถมยังปล่อยตัวปล่อยใจหลงละเลิงไปกับเขาอีก
“อม **เซกะ** โทรมา”
“หือ? รับให้หน่อยบอกว่าฉันไม่อยู่”
“ค่ะ”
(เอ่อ ลูกอมอยู่หรือเปล่าครับ) ปลายสายถามกลับเสียงเกรงใจ
“อยู่ค่ะ” ฉันยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เพื่อนก่อนจะยื่นมือถือให้มันไป มันมองฉันตาค้างเลยล่ะแต่ก็ยอมรับมือถือไป มันกดเปิดลำโพงแล้วคุยกับปลายสายฉันก็นอนฟังพวกเขาสองคนคุยกัน เพลินดีเหมือนกันนะทำไมฉันไม่มีโมเม้นแบบนี้บ้างนะ สงสัยต้องรับหาแฟนแล้วล่ะ
(แล้วนี่กินข้าวยัง)
“กินแล้ว”
(อยู่ห้องไหมจะเข้าไปหา)
“อยู่ข้างนอก”
(จะกลับกี่โมง)
“ไม่กลับ” พวกเขาคุยกันสั้นมากจริงๆนะ ก็พอจะรู้ว่าเพื่อนตัวเองไม่ชอบคุยโทรศัพท์แต่เหมือนอีกฝ่ายพยายามชวนคุย ส่วนเพื่อนฉันน่ะเหรอถามคำตอบคำบางคำถามมันไม่ตอบ ฉันล่ะเหนื่อยแทนผู้ชายคนนั้นจริงๆ
(ตอนนี้อยู่ไหน)
“ห้องเพื่อน”
(ก็รู้ว่าห้องเพื่อน แต่ห้องเพื่อนมันอยู่ตรงไหน)
“ถนน A32”
(เดี๋ยวเข้าไปหา เอาอะไรไหม)
“เค้ก”
(ได้ แล้วเพื่อนเอาอะไรไหม)
ลูกอมหันมามองหน้าฉันๆเลยส่ายหน้าแทนคำตอบ หลังจากทั้งวางสายลูกอมก็นั่งให้ฉันซักถามเรื่องมันกับผู้ชายคนนั้นซึ่งมันก็ไม่ได้แน่ใจหรือมั่นใจในความสัมพันธ์เท่าไหร่ ยัยลูกอมนั่งแต่งนิยายไม่สนใจโลกปล่อยให้ฉันนั่งเหงาอยู่นาน พอมีเสียงเคาะห้องมันก็ไล่ฉันไปเปิดด้วยความหมั่นไส้เพื่อนฉันเลยหยิบหมอนแล้วฟาดใส่มันแรงๆ มันก็หันมาด่าฉันด้วยถ้อยคำดอกไม้ ฮ่าๆๆ ได้แกล้งเพื่อนแบบนี้มันก็สนุกเหมือนกันนะ
“เอ่อ ลูกอมอยู่ไหมครับ” คนที่ยืนอยู่หน้าประตูถามเสียงเกรงใจ
“อยู่ค่ะ เข้ามาก่อนค่ะ”
“รบกวนด้วยนะครับ” ผู้มาเยือนถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปหายัยลูกอมที่นั่งแต่งนิยายของมันอยู่หน้าโซฟา ฉันตัดสินใจเดินเลี่ยงกลับเข้าห้องนอนเพราะไม่อยากเป็นก้างขวางคอเพื่อน ฉันเดินไปนั่งที่ระเบียงห้องก่อนจะมองไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่นี้
ทำไมมันเหงาแบบนี้นะ...
“ฝ้ายไปเดินเล่นกันไหม” ลูกอมเดินมาพิงกรอบประตูก่อนจะมองฉันด้วยสายตาเป็นห่วง ฉันยิ้มให้เพื่อนก่อนจะพยักหน้าตอบรับถึงแม้จะไม่อยากไปแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงเลยตอบตกลง เราออกมาเดินตลาดตอนกลางคืน เซกะดูแลลูกอมอย่างดีพอสก็เดินคู่กับแฟน ส่วนฉันเดินคนเดียวรั้งท้ายพวกเขาทั้งสี่คน
“เดินช้าขาสั้นเหรอเจ๊”
เสียงแซวของลูกอมดังมาฉันเลยเงยหน้ามองก็เห็นลูกอมกับพอสยืนยิ้มให้อยู่ข้างๆกันนั้นก็มีผู้ชายสองคนยืนขนาบข้างอยู่ ฉันยิ้มก่อนจะก้าวไปหาเพื่อน พวกมันสองคน เราเดินกินช็อปอยู่ทั้งคืน เซกะถ่ายรูปแล้วแท็กฉันมาด้วยล่ะรวมถึงคนอื่นๆด้วย เราทานข้าวกันอีกรอบแล้วก็เกิดสงครามขนาดย่อมเมื่อลูกอมกับพอสเถียงกันเรื่องอาหาร
“ฉันอยากกินส้มตำ!”
“ก็ฉันอยากกินปลาเผา”
“สั่งสองอย่างก็ได้ไหมละ” แฟนพอสเสนอความคิดเห็นก่อนจะลากพอสเข้าไปในร้านตามด้วยลูกอมที่ดึงมือฉันเข้าไปในร้าน
“ฝ้ายแกจะแต่งงานเหรอ” พอสหันมาถาม แต่ฉันถึงกับขมวดคิ้วด้วยความงงงวย
“ขอดูหน่อยสิ”
ฉันรับมือถือพอสมาดูก็เข้าใจว่าพอสพูดถึงอะไร ผู้ชายคนนั้นโพสรูปแหวนแล้วบอกว่าการแต่งงานที่เกิดจากการบังคับ หึ ฉันคืนมือถือให้เพื่อนแล้วนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตอนนี้ฉันควรจะใช้เงินพวกเขาไปก่อนสักครึ่งเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแต่งงาน
“ฝ้าย แกเอาเงินจากฉันไปจ่ายให้พวกเขาก่อนก็ได้นะ ฉันไม่อยากเห็นแกเป็นแบบนี้เลย” ลูกอมบอกเสียงจริงจัง
“อย่าไปกดดันเพื่อนสิลูกอม”
“นายน่ะหยุดพูดไปเลยนะ! เพราะเพื่อนนายนั่นแหละกลับไปเลยฉันไม่อยากเห็นหน้านาย”
“อ้าว ได้ไงอ่ะโกรธมันแล้วพาลมาลงที่ฉันเนี่ยนะจะบ้าหรือไง”
“ก็พวกนายเป็นเพื่อนกัน ฉันเกลียดพวกนาย!!”
“อมใจเย็นๆ กินก่อนนะเขากับผู้ชายคนนั้นคนละคนกันจะเหมารวมไม่ได้” ฉันเตือนเพื่อน เซกะก็มองแล้วยกนิ้วให้ฉันพรางยิ้มขอบคุณ ฉันยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆแต่ในหัวกลับคิดว่าฉันจะเริ่มต้นคุยกับผู้ใหญ่ยังไง ต้องหาเงินจากไหนถึงจะครบใช้หนี้พวกเขา
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านนะขอไปเคลียเรื่องงานแต่งก่อน”
“แกจะแต่งไหมฝ้าย”
“ไม่อ่ะ ฉันไม่อยากแต่งงานกับเขา”
“สุดยอดเพื่อนฉัน อย่าไปใจอ่อนกับผู้ชายเลวๆแบบนั้น” ลูกอมเน้นคำว่าเลวๆใส่หน้าเซกะก่อนจะยิ้มพริ้มให้เซกะ ร้อยทั้งร้อยถ้าให้ยัยนี่ยิ้มให้ผู้ชายเชื่อได้เลยว่าต้องมีใจสั่นบ้างล่ะ ยัยนี่น่ะยิ้มทีไรมีคนเข้ามาขอเบอร์ทุกทีแต่มันไม่ค่อยยิ้มหรอกมันชอบทำหน้าบึ้งหน้าเหวี่ยงไหนจะชอบใส่แว่นอีก
“ถอดแว่นทำไม ใส่เหมือนเดิมเลยนะ”
“อย่ามาบ้าแถวนี้นะ”
“อย่ายิ้มด้วย!!”
เอาแล้วไงลูกกับกับเซกะเริ่มทะเลาะกันอีกแล้ว กว่าเราจะกลับกันได้ก็ปาเข้าไปตีสามเราเดินทานอาหารจนอิ่มไปหลายรอบเลยล่ะ ตอนเช้าฉันกลับบ้านเพราะจะเข้าไปคุยเรื่องงานแต่งอะไรนั่น หลังจากอาบน้ำเสร็จฉันก็แต่งตัวแล้วลงมาคุยกับพ่อแม่เรื่องเงินที่จะเอาไปใช้คืนพวกเขาก่อน พ่อกับแม่ยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นท่านเลยขอไม่มาฉันขับรถจากบ้านเพื่อมาพบคุณลุงกับคุณป้า หลังคุยเสร็จฉันก็จะออกไปทำงานด้วยเลย
“เรามีเก้าล้านแล้วค่ะ หนูจะขอใช้ก่อนส่วนที่เหลือหนูจะหามาคืนให้เร็วที่สุดค่ะ”
“ฝ้าย เรื่องเงินเอาไว้ก่อนได้ไหมลูก หนูหายไปไหนมาตั้งนานป้าไม่เห็นหนูเลย” คุณป้าเข้ามากอดฉันไว้แน่น ก่อนจะมองอย่างเอ็นดู แต่ฉันแค่ยิ้มแล้ววางเช็คลงบนโต๊ะกระจกข้างหน้านี้
“ตาพีมาพอดีเลย พวกเราไปทานข้าวกันก่อนดีกว่านะลูก” คุณป้าท่านชวนฉัน
“ขอโทษนะคะ ไว้โอกาสหน้าดีกว่าส่วนเรื่องงานแต่งอะไรนั่น...”
“ว้าว เข้ามาคุยเรื่องงานแต่งเองซะด้วยใจร้อนจริงนะ” น้ำเสียงเย้ยหยันดังจากนอกห้องรับแขก ฉันพอจะรู้อยู่แล้วล่ะเลยไม่หันไปมอง
“จะไม่มีงานแต่ง ส่วนเงินที่เหลือหนูสัญญาหนูจะรีบหามาใช้”
“ฝ้าย หนูอย่าไปฟังลูกชายป้าพูดนะ”
“หนูรู้เรื่องทุกอย่างดีค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ” ฉันยกมือไหว้ท่านทั้งสองก่อนจะลุกแล้วเดินออกมาแต่ไม่คิดว่าเขาจะกระชากแขนฉันแรงๆด้วยความที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ฉันเซไปชนแจกันตกแจกหนำซ้ำฉันยังล้มทับเศษแจกันพวกนั้นอีก ตอนนี้ทั้งมือทั้งขาของฉันเต็มไปด้วยเลือด หึ คงสมใจเขาแล้วสินะ
“ตาพี! พอกันทีฉันจะไม่ยุ่งกับชีวิตแกแล้วคุณคะพยุงหนูฝ้ายแล้วไปหาหมอกันค่ะ”
ฉันไม่รู้แล้วว่ารอบข้างกำลังเกิดอะไรขึ้นแต่ฉันพยุงตัวเองให้ลุกยืนอย่างทุลักทุเล ฉันลุกขึ้นยืนได้ก็เดินออกจากที่นั่นไปที่รถตัวเองทันที ทันทีที่ปิดประตูรถร่างสูงๆของพี่พีก็วิ่งมาตามด้วยร่างของคุณลุงกับคุณป้า ฉันถอยรถแล้วขับออกจากบริเวณบ้านเขาทันที เขาไปหาหมอที่คลินิกแถบชานเมือง
“ทำไมคุณปล่อยให้เลือดออกเยอะแบบนี้” คุณหมอวัยสูงอายุดุฉันมา ตลอดเวลาที่คุณหมอทำแผลและคีบเศษแก้วออกฉันเอาแต่นั่งร้องไห้
“มาล้างแผลด้วยนะ แผลลึกอยู่เหมือนกันเดี๋ยวหมอจะเย็บให้นะ”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
“หนูท้องหรือเปล่า?” จู่ๆคุณหมอก็ถามเสียงเรียบ
“คะ? ไม่ค่ะหนูไม่ได้ท้อง”
“จริงเหรอ หมอแค่สงสัยน่ะเพราะหนูเหมือนคนท้องเลยเอ่อ จะว่าอะไรไหมถ้าหมอจะขอตรวจเลือดหนูน่ะ”
“ได้สิคะ เพราะหนูไม่ได้ท้องจริงๆสักหน่อย”
ฉันยิ้มให้คุณหมออย่างจริงใจ ระหว่างพยาบาลกำลังเจาะเลือดไปตรวจหมอก็กำลังเย็บแผลที่ขา ทั้งตั้งสองเท่าสามเท่าแต่มันก็คุ้มนะกับการได้เห็นอะไรชัดเจนยิ่งขึ้น
“พรุ่งนี้ตอนเย็นอย่าลืมมาล้างแผลนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“พรุ่งนี้มาฟังผลตรวจด้วยนะ รับยาข้างนอกได้เลยนะ”
“ค่ะ”
ฉันเดินกะเผลกออกมาจากห้องตรวจแล้วรอรับยาฉันรับยาแล้วขึ้นรถก่อนจะนั่งสงบสติอยู่นาน ฉันเลือกที่จะขับรถไปที่สวนสาธารณะใกล้ๆกับคลินิก สวนสงบๆยามบ่ายแบบนี้มันทำให้ให้ฉันได้มีเวลานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ
“พี่พีคะ พี่พีจะไปไหนเหรอ” ฉันเดินเข้าไปคล้องแขนพี่พีก่อนจะเดินไปพร้อมกับเขา
“พี่ว่าจะไปทานข้าว เราไปกับพี่ไหม” พี่พีหันมาถามอย่างอารมณ์ดี ฉันเลยยิ้มแล้วพยักหน้าตอบ
“ไปค่ะ”
“พี ยัยนี่ใคร?” ผู้หญิงคนสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาเกาะแขนพี่พี พี่พีดึงแขนออกจากการเกาะกุมของฉัน
“น้องข้างบ้านน่ะ”
“งั้นเหรอคะ เราไปทานข้าวกันเถอะค่ะ”
“เอ่อ ฝ้ายเธอกลับก่อนเลยนะพี่จะไปทานข้าวกับแฟน”
“แล้วฝ้ายล่ะ”
“ก็กลับไปก่อนไง”
“แต่ฝ้ายมาก่อนผู้หญิงคนนี้นะ”
“ฝ้าย! นี่แฟนพี่ทำไมเราพูดแบบนั้น”
“ฝ้ายชอบพี่ ได้ยินไหมฝ้ายชอบพี่!”
“พอเถอะฝ้าย พี่ต้องไปแล้ว”
เขาเดินจากไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น และวันต่อมาความสัมพันธ์เราก็ไม่เหมือนเดิมเขาเลี้ยงฉันทุกทีที่มีโอกาสบอกไม่ว่างเวลาชวนไปกินข้าวโทรหาไม่เคยรับจากนั้นเขาก็ตัดขาดจากฉันทุกช่องทาง มีเพียงฉันที่อยากเห็นเขาคอยพาตัวเองเข้าไปใกล้เขาทั้งที่รู้ว่าเขารำคาญมากแค่ไหน
“เลิกยุ่งกับพี่สักทีเถอะ พี่รำคาญพี่มีแฟนแล้วเข้าใจไหม!!”
“ให้ตายยังไง พี่ก็ไม่มีทางชอบเธอจำไว้!”