ชลธีชี้หน้าเพื่อนอย่างคาดโทษ
“มึงไม่ต้องหาเหามาใส่หัวให้กูเลยไอ้ภัทร กูเพิ่งโสดมาหมาด ๆ ในรอบสามปี มึงปล่อยให้กูใช้ชีวิตโสดของกูให้คุ้มค่าก่อน ไอ้เชี่ยนี่”
ภัทรพลหัวเราะ “ไรว้า...ไม่เอาจริง ๆ เหรอวะ น้องเจนก็สวยเอ็กซ์สเปกมึงเลยไม่ใช่เหรอ ลอง ๆ ดูก่อนก็ได้นะโว้ย คบแบบ friend with benefit ไปก่อนก็ได้”
“มึงอย่า...มึงหยุดเลยไอ้ภัทร ตอนนี้กูกำลังแฮปปีกับความโสดของกู กูยังไม่อยากปวดหัววุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ ปล่อยให้กูอยู่อย่างสงบเถอะวะเพื่อน” ชลธียกแก้วขึ้นดื่มจนน้ำสีอำพันพร่องลงไปเกือบถึงก้นแก้ว
“ทำไมวะไอ้คราม น้องทรายทำให้มึงปวดกบาลมากเลยเหรอวะ กูดูแล้วไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” รัฐภูมิถามยิ้ม ๆ
ชลธีได้ยินคำถามของเพื่อนจึงนิ่งไปพักหนึ่ง รอยยิ้มเริ่มจางลง ในหัวเริ่มครุ่นคิดเรื่องราวในอดีตระหว่างตนกับอริสาว่าเดินมาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร ทั้งที่ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้ง หรือมีเรื่องมือที่สามใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
เธอทำให้เขาปวดหัวหรือ...ก็ไม่
เธอเคยหึงหวงงี่เง่า โทรศัพท์ตามจิกเขาจนวุ่นวายเวลาเขาเที่ยวกลางคืนหรือเปล่า...ก็ไม่เช่นกัน
จะว่าไป ตั้งแต่เขาคบหากับผู้หญิงมา อริสาเป็นหญิงสาวคนแรกก็ว่าได้ที่เขาชวนมาอยู่ด้วยที่บ้าน เธอไม่ใช่คนเรื่องมาก ไม่ขี้บ่นจู้จี้จุกจิก เรื่องเซ็กซ์ก็เข้าขากับเขาได้ดี เขาอยู่กับอริสาแล้วสบายใจ จะปล่อยตัวตามสบายแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องทำตัวดูดีมาดเนี้ยบตลอดเวลาเหมือนตอนอยู่ในบริษัท เขาจึงคบหากับเธอได้นานกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ
แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนกัน หรือเพราะเกิดจากความชินชา จนก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย กระทั่งกลายเป็นหมดรักไปในที่สุด และเขาเองก็ดูออกว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่กับเขา อริสาก็เช่นกัน เธอเองก็คงหมดรักเขาแล้ว
“เฮ้ย! ไรวะ ถามแค่นี้ถึงกับเงียบไปเลยเหรอมึง” รัฐภูมิตบบ่าเขาไม่แรงนัก เขาจึงส่ายหน้าแล้วตอบไปว่า
“ไม่เลย ทรายไม่เคยทำให้กูปวดหัว ตรงกันข้าม ตั้งแต่คบผู้หญิงมา ทรายคือเดอะเบสต์แล้ว กูอยู่กับทรายแล้วแฮปปีสุด”
“อ้าว แล้วพวกมึงจะเลิกกันทำไมวะ” อรรถวิทย์มุ่นหัวคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ชลธีถอนหายใจแผ่วพลางส่ายหน้าช้า ๆ
“ไม่รู้ว่ะ กูก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้พวกมึงเข้าใจ...ก็คงประมาณว่าต่างคนต่างไม่รู้สึกอะไรแล้วนั่นแหละมั้ง”
“ไม่รู้สึกเชี่ยไรวะ อาทิตย์ที่แล้วกูยังเห็นมึงแจ้นไปซื้อเค้กซื้อของขวัญวันเกิดให้น้องเขาอยู่เลย”
ภัทรพลเอ่ยกลั้วหัวเราะ ทุกคนในโต๊ะจึงพยักหน้าเห็นด้วย เพราะวันเสาร์ที่แล้วพวกเขาชักชวนกันมาเที่ยวกลางคืนกันตามปกติ โดยนัดหมายผ่านไลน์กลุ่ม แต่ชลธีปฏิเสธไม่ไปเพราะวันอาทิตย์เป็นวันเกิดของแฟนสาว
เมื่อชลธีได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้นจึงอดนึกไปถึงค่ำคืนแสนหวาน และร้อนเร่าในคืนนั้นไม่ได้ แม้เขาจะดูออกว่าอริสาเริ่มเย็นชาใส่เขามาพักใหญ่แล้ว แต่วันนั้นเขาก็ยังพยายามทำตัวปกติ ฉลองวันเกิดกับเธอสองคนเช่นทุกปี และแน่นอนว่าต้องตบท้ายด้วยเซ็กซ์ร้อนฉ่าจนเตียงแทบไหม้เหมือนทุกครั้ง
แต่แล้วอย่างไรเล่า ต่อให้ตอนกลางคืนร่างกายแนบชิดเร่าร้อนกันมากแค่ไหน ทว่าในเวลาปกติเขากับเธอก็แทบไม่ได้เปิดปากคุยกัน ต่างคนต่างอยู่มุมใครมุมมัน ราวกับอีกฝ่ายไร้ตัวตน
ไม่ว่าเขาจะกลับดึกขนาดไหน เที่ยวกลางคืนถี่เพียงใด หรือออกทริปเที่ยวต่างจังหวัดกับก๊วนเพื่อนนานหลายวัน เธอก็ไม่เคยไถ่ถาม ส่งข้อความ หรือโทรศัพท์หาเขาก่อนเลยสักครั้ง อาการของคนหมดรักมันเป็นแบบนี้นี่เอง ฉะนั้นเขาจึงคิดว่าควรเลิกรา และแยกย้ายกันไปมีชีวิตของใครของมันดีกว่าที่ต้องมาทนอยู่ด้วยกัน ทั้งที่ความรู้สึกต่างไม่เหมือนเดิม
“เฮ้อ...เรื่องนี้กูขอไม่ออกความเห็น เพราะกูไม่นิยมกินอาหารหมา”
รัฐภูมิยกมือขึ้นไขว้กันเป็นรูปกากบาท แต่ภัทรพลดูเหมือนจะไม่อยากให้เพื่อนต้องโสดนาน จึงพยายามโน้มน้าวเรื่องสาวคนใหม่อีกครั้ง
“ถ้างั้นกูว่ามึงควรต้องรีบมีแฟนใหม่นะโว้ยไอ้คราม น้องเจนเขาบอกกูเองว่ารอมึงได้เสมอ เลิกกับแฟนเมื่อไรให้บอกเขาด้วย ไม่ลองคบน้องเขาดูหน่อยหรือวะ อาจจะเข้าขากันดีกว่าตอนที่มึงคบกับน้องทรายก็ได้”
ชลธีขยำกระดาษทิชชูใช้แล้วปาใส่ภัทรพลทันที
“มึงไม่ต้องมาชงให้กูเลย ถ้าน้องเขาดีขนาดนั้นก็เชิญมึงเอาไปแดกเองเลยครับเพื่อน กูบอกแล้วว่ากูจะใช้ชีวิตโสดให้เต็มที่”
ภัทรพลหัวเราะร่า ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“โทษทีว่ะเพื่อน เพราะถ้าให้ไล่กลับตอนนี้คงไม่ทันแล้วละ”
“อะไรของมึงวะ ไล่ใคร” อรรถวิทย์มุ่นหัวคิ้วด้วยความสงสัย
“กูไลน์บอกน้องเจนตั้งแต่เมื่อเย็นแล้วว่าไอ้ครามเพิ่งเลิกกับแฟน”
ภัทรพลบุ้ยหน้าไปยังทางเข้าหน้าผับ ทุกคนจึงพากันหันไปมองตรงนั้นอย่างพร้อมเพรียง
สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ในชุดเดรสรัดรูปสีดำ สะพายกระเป๋าแบรนด์หรู ผมดัดเป็นลอนหลวม ๆ สีน้ำตาลทองสยายเต็มแผ่นหลังกำลังเดินนวยนาดมาที่โต๊ะด้วยรอยยิ้มเย้ายวน สองตาจดจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในโต๊ะ
ชลธีหันไปมองหน้าเพื่อนอย่างคาดโทษ แววตาไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
“ไอ้ภัทร! มึงนี่แม่ง...”
ขณะเดียวกัน อริสาปิดไฟในห้องแล้วยกเก้าอี้สตูลออกมานั่งรับลมดูวิวกลางคืนที่ระเบียง น่าแปลกที่เวลานี้ในอกกลับรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก ราวกับยกหินก้อนใหญ่ออกไป คงเพราะเธอได้ร้องไห้ และระบายออกไปชุดใหญ่ให้พริมาฟัง เมื่ออีกฝ่ายฟังจบ สีหน้าแววตาของพริมามีทั้งเสียดาย และห่วงใย ก่อนพูดขึ้นว่า
“เสียดายคู่แกมาก ๆ เลย ฉันนึกว่าแกกับพี่ครามจะคบกันไปได้ตลอดรอดฝั่งซะอีก”
“อะไร ๆ มันก็ไม่แน่นอนทั้งนั้นแหละ ฉันปลงแล้ว เบื่อกับการยึดติดไล่ตาม ฉันว่าฉันเองก็คงสะสมความรู้สึกเก็บกดมาเรื่อย ๆ ด้วยแหละ สุดท้ายพอปล่อยวางได้ ฉันก็ไม่อะไรกับเขาอีกเลย”
ก่อนจะคบกับชลธี อริสารู้มาก่อนแล้วว่าเขาเป็นคนเพื่อนเยอะ และชอบการสังสรรค์ ช่วงแรกที่คบกัน เธอยอมรับว่าไม่ค่อยพอใจ และแอบหวาดระแวงอยู่เสมอว่าเขาจะมีคนอื่น หรือไปแอบกินตามรายทางแบบไม่ผูกพัน กระนั้น เธอก็ไม่เคยจู้จี้ถามเขา หรือตามติดเขาเป็นเงาตามตัวเหมือนหญิงสาวคนอื่น ๆ เธออยากโทร. ถามว่าเมื่อไรจะกลับ แต่ก็ไม่เคยกล้าโทร. ไปเพราะไม่อยากให้เขารู้สึกว่ากำลังถูกควบคุม
และอริสาต้องทนกับความรู้สึกแบบนี้อยู่สองปีกว่า จนกระทั่งในที่สุดก็เริ่มปล่อยวางเขาลงได้ ความเฉยชา ไม่ยินดียินร้ายจึงเริ่มเข้ามาแทนที่ แต่หญิงสาวกลับชอบความรู้สึกแบบนี้มากกว่า เพราะเป็นทุกข์น้อยกว่าตอนที่เธอเอาใจไปผูกไว้กับตัวเขา
“ก็ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วทำไมถึงปล่อยให้ท้องได้วะ ไหนว่ากินยาคุมอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ”
คำถามของพริมาจี้ใจดำเธอเข้าพอดี เพราะเรื่องนี้ จะว่าไปแล้วก็นับว่าเป็นความผิดพลาดของเธอเอง