ในวันที่ชินอ๋องหรือท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นจ้าวจะต้องออกเดินทางสู่ค่ายบูรพา ซึ่งเป็นค่ายทหารที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นและมีทหารในสังกัดมากมายหลายแสนนาย
จ้าวโม่หยางยืนอยู่ต่อหน้าชายารัก ทั้งสองยังคงร่ำลากันอยู่นานแต่ก็ไร้วี่แววของชายารองหลินหลาน ซึ่งจริง ๆ แล้วนางได้ถูกหวางเฟยสั่งห้ามไม่ให้ออกมาส่งท่านอ๋อง ด้วยสาเหตุที่ว่าชินอ๋องยังคงโกรธเคืองที่นางบังอาจวางยากำหนัดกับพระองค์ในคืนเข้าหอนั่นเอง
“นางช่างไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของวังแห่งนี้ ต่อให้ข้ารังเกียจนางเข้ากระดูกดำหรือแม้แต่จะอับอายในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป นางก็ต้องออกมาส่งข้ามิใช่หรือ กฎเกณฑ์และประเพณีแค่นี้ยังไม่สามารถทำได้ แล้วต่อไปนางคงจะทำให้ข้าได้อับอายขายขี้หน้าจนผู้คนต้องเอาไปติฉินนินทาเป็นแน่”
“ท่านอ๋องหม่อมฉันเป็นพี่สาวแต่กลับสั่งสอนนางมาไม่ดีคงต้องโทษหม่อมฉันแล้วเพคะ”
“ชายารักเจ้าจะยังเข้าข้างนางไปทำไม คนผิดก็ว่าไปตามผิด อย่าส่งเสริมให้นางเหิมเกริมนัก”
“ได้เวลาเสด็จแล้วเพคะอย่าทรงพิโรธนักเลย” หลินกุ้ย ฮวารีบตัดบทเพราะอยากจะให้เรื่องราวมันจบ ๆ ไป
“เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้”
โม่หยางได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับชายารักของตนที่ใจดีและใจกว้างกับผู้อื่นจนเกินไป ทุกครั้งที่มีการโต้แย้ง ไม่เคยเลยที่แม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรอย่างเขาจะเอาชนะนางได้
“หวางเย่กำลังโกรธหม่อมฉันหรือเพคะ”
พอได้ยินเสียงสั่นเคลือคล้ายจะร้องไห้ของชายารัก ชินอ๋องจึงรีบเข้าไปโอบกอดและพูดปลุกปลอบนางทันที
“กุ้ยฮวา สามีหรือจะเคยโกรธเคืองเจ้า ที่พูดเช่นนั้นแค่ไม่อยากให้เจ้าใจดีกับคนอื่นไปทั่วเท่านั้นเอง มันจะนำพาความยุ่งยากมาสู่เจ้าในภายภาคหน้า”
โม่หยางกล่าวกับชายาของตนด้วยเสียงที่นุ่มนวล จนนางอดไม่ได้ ที่จะเขย่งเท้าให้สูงขึ้นเพื่อประทับจูบที่ริมฝีปากหนาต่อหน้าทหารและข้าราชบริพารนับร้อย ทำให้อ๋องหนุ่มเผยยิ้มอย่างยินดี
“ชายารัก ข้าควรลาพักอีกสักสองสามเดือนดีหรือไม่ จะได้มั่นใจว่าข้าทำให้เจ้าตั้งครรภ์แล้วแน่ ๆ” จ้าวโม่หยางหยอกเย้าภรรยาต่อหน้าลูกน้อง ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยเห็นท่านอ๋องเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย
“รออุ้มโอรสหรือธิดาเมื่อท่านอ๋องกลับมาเถิดเพคะ”
เมื่อได้รับคำมั่นอันหนักแน่นจากชายาของตน ชินอ๋องก็ต้องออกเดินทางแล้วจริง ๆ จากนั้นก็มีเสียงถวายพระพรดังขึ้นกึกก้องไปทั่วทั้งวัง
ในเวลาเดียวกันที่ตำหนักเล็ก...
“ท่านอ๋องไปแล้วเพคะ” เสี่ยวจูวิ่งเข้ามาบอกนายของตนหลังจากไปซุ่มดูขบวนม้าศึกอยู่เป็นนาน
“ข้ารู้แล้ว เสียงก็ดังมาถึงที่นี่”
“ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือเพคะ”
“รู้สึกสิ ข้ารู้สึกโล่งใจยิ่งที่เขาไปได้เสียที” หลินหลานตอบอย่างไม่ใส่ใจกับคำถามของเสี่ยวจู จะให้นางร่ำไห้กับบุรุษที่ว่าร้ายให้นางนะหรือฝันไปเถอะ
จ้าวโม่หยางเริ่มออกเดินทางกลับสู่ฐานทัพบูรพา และกำหนดกลับคืนสู่เมืองหลวงอีกครั้งก็คือหนึ่งปีข้างหน้า ท่านแม่ทัพใหญ่เดินทางครั้งนี้ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม หากได้กลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง ชินอ๋องอย่างเขาก็จะมีโอรสหรือธิดาให้โอบอุ้มเหมือนเช่นอ๋องคนอื่นเสียที เพราะทุกครั้งที่เข้าวังมีแค่เขาคนเดียวที่โดนพี่น้องล้อเลียนว่าไร้น้ำยาเรื่องแบบนี้ใครมันจะยอม
“แต่งชายารองเข้าวังแล้วมีความสุขจริง ๆ นะขอรับ”
“อย่าได้พูดถึงนาง ที่ยิ้มได้เพราะหวางเฟยของข้ายอมปล่อยให้ตัวเองตั้งครรภ์แล้วต่างหากล่ะ” โม่หยางตอบสหายรักด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไร้อาการโกรธเคืองใด ๆ ทั้งที่ถูกพาดพิงถึงชายาอีกคนที่เขาไม่คิดจะใส่ใจ และไม่ต้องการให้ใครพูดถึงนาง
“นับว่าเป็นข่าวดียิ่งแล้ว คราวนี้ท่านแม่ทัพคงได้อุ้มบุตรสมใจแล้วสิขอรับ”
“แน่นอน ข้ามั่นใจว่านางจะต้องตั้งครรภ์และมีบุตรชายหรือบุตรสาวที่น่ารักให้ข้าได้แน่ ๆ”
หมอโจวเฉินหรือกุนซือประจำค่ายบูรพามองสหายรักด้วยความแปลกใจ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ท่านแม่ทัพจากคนรักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและมีความสุข อานุภาพของการมีบุตรมันดีขนาดนี้เลยหรือ เห็นทีหมอหนุ่มเช่นเขาคงต้องหาเมียให้ได้สักคนแล้วสินะ แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาของโจวเฉินก็ต้องสลดลงเมื่อใบหน้าของคนคนหนึ่งลอยเข้ามา
“แล้วถ้าหากชายารองของท่านตั้งครรภ์ขึ้นมาล่ะ ท่านจะรู้สึกอย่างไรกับบุตรที่เกิดจากนาง”
“ข้า...”
“ท่านแม่ทัพข้าขอพูดในฐานะสหายก้แล้วกันนะ เหตุใดหวางเฟยของท่านถึงต้องการให้ท่านเข้าหอกับน้องสาวของนางนัก ทั้งที่มันก็ไม่จำเป็นและนางยังยอมตั้งครรภ์หลังจากที่ท่านผ่านคืนเข้าหอกับชายารองแล้วอีก อันนี้ข้าแค่สงสัยเท่านั้นบางทีมันอาจจะไม่มีอะไร”
โจวเฉินกล่าวออกมาให้สหายสูงศักดิ์ได้คิด ต่อให้รักและหลงเมียแค่ไหนสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ทหารอย่างพวกเขาไม่ควรจะมองข้าม ไม่อย่างนั้นคงได้โดนข้าศึกตีค่ายแตกแล้วแตกอีกอย่างแน่นอน
สิ่งที่จวเฉินพูดมานั้นไม่ผิด เขาก็เคยคิดอยู่เหมือนกันแต่เพราะรักเมียมากจึงไม่อยากขัดใจ และไม่อยากพูดสิ่งใดที่จะทำให้นางเสียใจ เพราะเขาเองนานทีปีหนถึงจะได้กลับวังและมาอยู่กับนางฉันสามีภรรยา อาการเหงาหงอยไม่มีชีวิตชีวาของนางทำให้เขาเป็นห่วงและเป็นทุกข์ไม่น้อย สิ่งเดียวที่เขาพอจะชดเชยให้นางได้คือทำตามสิ่งที่นางปรารถนาเท่านั้นเอง
“อย่าคิดมากข้ามันคนขี้สงสัยและขี้ระแวงเจ้าก็รู้ บางทีสิ่งที่ข้าคิดมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้”
หึ ๆ โม่หยางแค่นหัวเราะอยู่ในอก ลางสังหรณ์ของโจวเฉินล้วนมองข้ามไม่ได้ทั้งสิ้น สิ่งใดที่บุรุษผู้นี้สงสัยละก็เขาย่อมไม่ปล่อยผ่าน อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของเขาเองนั่นแหละ
วี๊ดดด!!! เสียงผิวปากของโม่หยางดังขึ้น ทันทีก็ปรากฏร่างของเงาสองคนในชุดดำคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของม้าศึกตัวใหญ่
“ไปประจำที่วังและรายงานทุกอย่างกับข้าในทุก ๆ สิบวัน ทุกอย่างและทุกตำหนัก”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” รับคำสั่งแล้วเงาทั้งสองก็อันตธารหายไป
“ทีนี้...พอใจเจ้าหรือยังหมอโจว”
ฮ่า ๆ ๆ โจวเฉินหัวเราะออกมาอย่างสะใจก่อนจะกล่าว “โธ่สหายไม่ใช่ข้าคนเดียวที่สงสัยเสียหน่อย อย่าหรี่ตาให้มากนักเมื่ออยู่กับสตรีเปิดตากว้าง ๆ เข้าไว้”
จ้าวโม่หยางถอนหายใจหนักหน่วงกับคำพูดของสหาย หากไม่ใช่โจวเฉินเป็นคนพูดออกมาเขาไม่มีทางทำเช่นนี้แน่ ต่อให้ในใจยังคิดเคลือบแคลงอยู่ก็ตาม เพราะเขาไม่อยากทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อชายาที่อยู่กินกันมาแล้วถึงสามปี แต่เพราะคำพูดและลางสังหรณ์ของโจวเฉินเคยช่วยชีวิตเขาและเหล่าพี่น้องมานักต่อนักแล้วนั่นเอง อ๋องอย่างเขาจึงต้องขอขัดใจตัวเองสักครั้ง