สองจิต หนึ่งใจ 5
(ทิวา...เป็นอะไรไป) เมื่อเถียงกลับเขาถึงกับแปลกใจ น้ำเสียงอ่อนลงคล้ายกับตกใจที่ฉันมีท่าทีต่อต้านเขาแบบนี้
“ตาสว่างมั้งคะ มีอะไรอีกหรือเปล่าฉันไม่ว่างค่ะ”
(กลับมากินข้าวด้วยกัน...)
“พอดีมีนัดแล้วค่ะ เชิญคุณตามสบายเลยค่ะ ขออนุญาตวางสาย สวัสดีค่ะ”
กดวางสายแล้วขับรถออกจากลานจอด เป้าหมายคือโรงเรียนอนุบาลที่มีเด็กหญิงตัวน้อยรออยู่ ทีแรกว่าจะทำมื้อเย็นง่าย ๆ ให้หนูเทียน แต่เมื่อได้ยินว่าใครอีกคนจะชวนกินข้าว ฉันว่า...ฉันควรพาหนูเทียนไปกินข้าวข้างนอกก่อนเข้าบ้านดีไหม เพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเจอเจ้าของบ้านมากนัก มันน่าอึดอัดใจอย่างไรไม่รู้ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
“สวัสดีค่ะคุณแม่น้องเทียน” รถเคลื่อนไปจอดที่จุดรับเด็ก คุณครูก็จับมือหนูเทียนออกมาส่งตามคิวของรถผู้ปกครอง เด็กหญิงตัวเล็กนั่งที่คาร์ซิทด้านหลังโดยมีคุณครูช่วยรัดเข็มขัดให้
“ขอบคุณค่ะคุณครู สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ เจอกันพรุ่งนี้นะน้องเทียน”
“สวัสดีค่าคุณครู” เด็กหญิงตัวเล็กยกมือไหว้คุณครูเจ้าตัวอย่างน่ารักน่าชัง
“หม่าม๊าสวัสดีค่า” มือเล็กยกประกบกันเอ่ยทักทายฉันเสียงหวาน ฉันลอบมองผ่านกระจกมองหลังก็ต้องหลุดยิ้มอย่างดีใจ
“สวัสดีค่ะ วันนี้หนูเทียนเหนื่อยไหมคะ?” เอ่ยถามเด็กหญิงตัวเล็กที่ดูพลังเหลือล้นมากไม่รู้ว่าวันนี้เล่นอะไรที่โรงเรียนบ้างแต่ตอนนี้ดูแล้วยังมีแรงวิ่งเล่นต่ออยู่แน่ ๆ
“หนูเทียนไม่เหนื่อยค่ะหม่าม๊า คุณครูให้หนูเทียนวาดรูปด้วยนะคะ” และแล้วเด็กน้อยก็เริ่มเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังด้วยท่าทางที่เก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ ฉันเองก็ฟังสลับกับถามหนูเทียนกลับไปเช่นเดียวกัน ยิ่งถูกถามกลับหนูเทียนยิ่งชอบเล่าเรื่องที่เจอให้ฟังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“หม่าม๊าขา”
“ขาลูก” ขานรับมือก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยงเข้าทางเข้าหมู่บ้าน แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าจะพาลูกไปกินข้าวนอกบ้าน แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้วอีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านอยู่แล้ว เฮ้อ วันนี้กินข้าวที่บ้านแล้วกันนะหนูเทียน
“หนูอยากกินไก่ที่หม่าม๊าทอดให้อีกจังเลยค่ะ”
“เดี๋ยวหม่าม๊าทำให้นะคะ หนูหิวมากหรือเปล่า” เอ่ยถาม ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปยังที่จอดรถของบ้าน รถคันหรูสีดำที่จอดอยู่นั้นทำให้มั่นใจว่าเจ้าของบ้านยังอยู่ที่บ้าน
“หนูยังไม่หิวมากค่ะ แต่ขอกินขนมได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ แต่ม๊าต้องดูก่อนนะว่าหนูกินเยอะไหม”
“เย้! ขอบคุณค่ะหม่าม๊า รักม๊านะคะ” คนตัวเล็กเอ่ยบอกอย่างดีใจ หนูเทียนยังร้องดีใจไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนเดินออกจากบ้านมาเปิดประตูรถและช่วยปลดเข็มขัดคาร์ซิทให้ กระทั่งเห็นหน้าเจ้าของมือที่อุ้มตัวเองลงจากรถ หนูเทียนก็เริ่มดิ้นเงียบ ๆ ไม่ร้องโวยวาย แต่ดิ้นสุดแรงให้หลุดออกจากวงแขนที่อุ้มตัวเองอยู่ ท่าทีแบบนั้นน่ากลัวกว่าเด็กน้อยที่ร้องไห้โวยวายเสียอีก
“ไม่ดิ้นค่ะลูก ไม่ดิ้นนะ ใจเย็นๆ” ฉันรีบเอ่ยบอกพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้คุณคิมหันต์ที่ฝืนอุ้มหนูเทียน พอฉันเดินเข้าใกล้คุณคิมหันต์ก็มองมาด้วยสายตาที่แปลกไป แต่ฉันก็ไม่ได้พูดหรือทักทายอะไรเขา ยกมือจับแขนเล็กของหนูเทียนก่อนจะเรียกให้มาหาตัวเอง
“ฮึก” ทันทีที่ตกอยู่ในอ้อมกอดฉัน เด็กน้อยร้องสะอื้นสองแขนโอบรอบคอฉันไว้เสียแน่น ทำให้คนที่มองมานั้นถึงกับตกใจและรู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขารู้สึกผิดเรื่องไหนก็แน่
“ใจเย็น ๆ ลูก สวัสดีค่ะป๊าหรือยัง?” เอ่ยบอกอย่างเสียไม่ได้เมื่อเห็นว่าคนเป็นป๊าหนูเทียนเดินตามไม่ห่าง แม้เด็กน้อยจะมีท่าทีไม่อยากเข้าใกล้แต่เขาก็ยังเดินตาม ฉันวางหนูเทียนลงบนโซฟาพร้อมกับเอ่ยบอกให้คนตัวเล็กสวัสดีป๊าตัวเอง
“สวัสดีค่ะ” หนูเทียนยอมยกมือไหว้ คนถูกไหว้ยิ้มกว้างตั้งใจจะขยับเข้าใกล้แต่หนูเทียนกระโดดเข้ากอดฉันเต็มแรง
“โอเค ๆ ป๊าไม่เข้าใกล้แล้วลูก หนูนั่งบนโซฟาดีไหมให้ม๊าได้นั่งด้วยดีไหมลูก” หนูเทียนยังเงียบไม่ตอบ
“หนูเทียนนั่งรอม๊าก่อนนะคะ เดี๋ยวม๊าออกไปเอากระเป๋าเราก่อน”
“ม๊าจะมาไหม จะกลับมาหรือเปล่า?” มือเล็กจับมือฉันไว้แน่นพร้อมกับเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ
“กลับมาค่ะ หนูนั่งรอม๊านะคะ เดี๋ยวม๊าจะเอาขนมให้ด้วย”
“ได้ค่ะ หนูจะรอม๊า หม่าม๊ารีบกลับมานะคะ”
“ได้ค่ะ” หอมแก้มโมจิหนึ่งทีเบา ๆ แล้วเดินออกจากบ้านเพื่อไปที่รถ เอากระเป๋าทั้งของตัวเองและของหนูเทียนขึ้นไปเก็บบนห้องนอน ลงมาก็เตรียมขนมให้หนูเทียนหนึ่งห่อ เป็นขนมคุกกี้ที่พี่อาทิตย์ฝากมาให้หลาน หนูเทียนนั่งกินขนมโดยมีคนตัวโตที่พวงตำแหน่งปะป๊าของเจ้าตัวนั่งลอบมองอยู่ตลอด เข้าใกล้ไม่ได้เลยสักนิดเมื่อหนูเทียนไม่ยอมให้เข้าใกล้ แต่ดูแล้วอีกฝ่ายยังไม่ยอมละความพยายามเหมือนกัน
“หนูเทียนเย็นนี้เราไปกินข้าวนอกบ้านดีไหมลูก ให้ม๊าได้พัก”
“...”
“หรืออยากกินอะไรไหมลูก”
“...”
“หนูเทียนโกรธป๊าเหรอคะ? โกรธอะไรบอกป๊าได้ไหมลูก” คนที่พยายามง้อหนูเทียนยังไม่ลดความพยายาม ชวนคุยไม่หยุด ระหว่างที่เตรียมไก่ไว้ทอดให้หนูเทียนฉันก็เตรียมทำหมูผัดพริกแกงให้ตัวเองด้วยเลย ตู้เย็นในนี้มีกล่องใส่อาหารที่เป็นของทิวาชัดเจนเพราะทุกอย่างจะมีชื่อติดไว้ ส่วนพวกเครื่องดื่มวันแรกฉันเอาน้ำจากตู้เย็นใหญ่ไปแต่หนูเทียนรีบเล่าให้ฟังทันทีด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“หม่าม๊าขาของกินเราอยู่ที่ตู้เย็นในห้องนอนค่ะ เพราะตรงนี้คุณย่าบอกว่าหนูเทียนกับหม่าม๊ากินไม่ได้ และห้ามกินของที่คุณย่าซื้อเข้ามา หนูเทียนไม่อยากให้หม่าม๊าโดนดุ เราไม่กินของเขานะคะ”
น้ำเสียงไร้เดียงสานั้นช่างน่าสงสารเสียจริง ทำไมหนูต้องมาอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ประสาทเสียแบบนั้นนะลูก ทิวาเธอเก่งมากที่ปกป้องและดูแลลูกมาได้จนถึงตอนนี้
“ทิวาทำเผื่อด้วยสิ มื้อเย็นกินข้าวด้วยกันดีไหม?” กระทั่งได้ยินเสียงที่ดังจากด้านหลังฉันถึงกับถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ
“พอดีว่าคุณไม่ได้ซื้อของมาไว้ค่ะ และนี่เป็นของฉันกับหนูเทียน ไม่สะดวกเผื่อแผ่คนอื่นค่ะ” ฉันตอบและมองเขานิ่ง ๆ
“วา เป็นอะไรไป อย่ามาประชดแบบนี้...”
“ฉันไม่ได้ประชดค่ะ อย่าเข้าใจผิดไป แต่ที่พูดเพราะแม่คุณพูดเองค่ะหรือคุณไม่รู้ว่าในนี้ที่เป็นของสด มีของฉันแค่สามกล่องนี้ค่ะ” ฉันเปิดตู้เย็นสองประตูที่มีมาถึงสองชั้นเผยให้เจ้าของบ้านได้ดูสิ่งข้างด้านใจ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังกล่องเก็บอาหารสามกล่องที่ถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบ กล่องแรกคือเนื้อสัตว์จำพวกหมูและไก่ที่แยกออกชัดเจน กล่องที่สองเป็นผักเล็กน้อย กล่องที่สามเป็นผลไม้
“แม่คุณบอกเองว่าฉันและหนูเทียนไม่มีสิทธิ์ใช้ของในตู้เย็น อ้อ เครื่องปรุงฉันซื้อมาเองค่ะไม่ได้ใช้ของพวกคุณ เตากระทะจานฉันซื้อมาเองเหมือนกัน แค่ของฉันและหนูเทียน อย่ากังวลใจไปค่ะว่าพวกฉันจะใช้ของ ๆ คุณ” ฉันยิ้มเหยียดมองคนตรงหน้า
“แต่ดูส่วนของคุณสิคะมีอะไร? แม้แต่ไข่ใบเดียวยังไม่มีเลย”
“...”
“แต่ถ้าอยากกินก็ได้นะคะ ข้าวจานละหนึ่งพัน ฉันจะใจดีทำเผื่อแล้วกันค่ะ”
“ครับ จานละหนึ่งพัน แต่พี่ขอนั่งกินข้าวด้วยได้ไหม พร้อมกับวาและหนูเทียน”
“บวกเพิ่มอีกสองพันค่ะ สามพันสำหรับข้าวหนึ่งจานและโอกาสนั่งกินข้าวกับหนูเทียน”
“ครับ สามพัน” อีกฝ่ายยอมในท้ายที่สุด
หนูเทียนแม่มีวิธีหาเงินให้หนูกินขนมได้แล้วลูก...