“อ๋อ แบบนี้เอง” ฉันสลัดความรู้สึกที่เกิดขึ้นไปและเอ่ยปากขอดอกทิวลิปจากคนสวนที่อนุญาตให้ฉันหยิบดอกทิวลิปสีแดง,ขาว,เหลืองและชมพูมาหนึ่งกำมือ ก่อนจะยื่นมันให้กับพ่อเลี้ยงที่เลิกคิ้วขึ้น “บัวจะเอาไปใส่แจกันที่ห้องนอนพ่อเลี้ยงค่ะ”
“ก็ดีนะ ห้องฉันหม่นหมองมาก”
“อยากได้ดอกไม้เยอะๆ ไหมคะบัวจัดให้”
“ไม่ต้องเลย แค่นี้ก็พอ” พ่อเลี้ยงส่ายหน้าไปมาก่อนจะวางมือบนศีรษะฉันและโยกไปมา “สดใสขึ้นเยอะเลยนะ”
“บัวเหรอคะ?”
“ใช่ ตอนเกิดเรื่องเบญ เธอแทบจะไม่ยิ้มไม่ออกจากห้องเลยนี่นา”
“พ่อเลี้ยงสอนบัวนี่คะว่าคนมีปากสักแต่จะพูด แค่ปล่อยผ่านไปก็จบ บัวไม่อยากให้คำพูดของคนพวกนั้นมามีอิทธิพลทำให้บัวหม่นหมองเหมือนห้องพ่อเลี้ยงหรอกค่ะ”
“นี่ ได้ทีว่าฉันใหญ่เลยนะ”
“ขอโทษค่ะ แต่พ่อเลี้ยงสัญญากับบัวแล้วนะว่าจะต้มบะหมี่ให้บัวกิน”
“เธอต้มให้ฉันกินก่อน” ไม่ได้อยากจะต้มให้เขากินเลย เดี๋ยวก็อ้วกแตกท้องเสียกันพอดี ฉันต้มบะหมี่ไม่เก่งสุดๆ แต่เขาอยากจะลองกินก็ตามสบายเลย ฉันไม่รับผิดชอบหรอกนะถ้าเกิดอาการแบบนั้นขึ้นมาน่ะ เราสองคนยืนสบตากันพลางส่งยิ้มให้กันราวกับว่ามีสายตานับสิบจับจ้องมองมาแล้วก็จริง สายตาของพนักงานมองที่ฉันคนเดียวนะเป็นสายตาที่ทำเอารู้สึกเหมือนถูกจ้องด้วยความอิจฉาริษยา
“พ่อเลี้ยงคะ เพื่อนพ่อเลี้ยงมารอที่ห้องรับรองแล้วค่ะ”
“โอเค ไปกันบัว” ฉันกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามพ่อเลี้ยงเข้าไปด้านในก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เอ่อ พ่อเลี้ยงคะเดี๋ยวบัวขอไปเอากระเป๋าแปบหนึ่งนะคะ พอดีบัวมีธีมงานที่จะให้พ่อเลี้ยงดูด้วยค่ะ”
“ได้ งั้นเดี๋ยวเธอรอแล้วพาบัวไปที่ห้องรับรองด้วย” พ่อเลี้ยงสั่งพนักงานผู้หญิงคนที่เอาข้าวไปให้ในห้องทำงานเพื่อรอฉันที่วิ่งเข้าไปในห้องทำงานหยิบกระเป๋าผ้าและเดินตามผู้หญิงคนนั้นไปตามโถงทางเดินที่ตกแต่งสวยงาม
“นึกว่าแม่หนีตามชู้ไป คงจะไม่หน้าด้านอยู่กับพ่อเลี้ยง ที่ไหนได้นิสัยลูกกับแม่ก็คงจะเหมือนกัน”
“...” หล่อนหันมามองค้อนฉันพลางพูดจาไม่พอใจฉันเรื่องของพ่อเลี้ยง
“คิดจะจับพ่อเลี้ยงหรือไง อายุแค่สิบเก้า พ่อเลี้ยงเขาแก่ว่าเธอยี่สิบปีนะ”
“ฉันไม่เคยคิดอะไรกับพ่อเลี้ยงแบบนั้นนะคะ”
“แล้วที่คุยกับพ่อเลี้ยงระริกระรี้ออกหน้าออกตา คิดจะอ่อยพ่อเลี้ยงขนาดนั้น คนเขาดูออกนะยะ!” หันมาตวาดใส่ฉันและหยุดตรงหน้าห้องรับรอง “ฝันไปก่อนเถอะ เด็กกะโปโลอย่างเธอพ่อเลี้ยงเขาไม่สนใจหรอก นู้น ผู้หญิงที่เหมาะกับพ่อเลี้ยงมีอีกเยอะที่ไม่ใช่เธอ”
“รวมถึงคุณด้วยสินะ”
“แก!”
“ขอตัวก่อนนะคะ อีกอย่างแม่ฉันกับฉันก็คนละคนกัน อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับแม่” พูดจบฉันก็เปิดประตูเข้าไปในห้องรับรองใบหน้าที่บูดบึ้งจากโดนพนักงานคนนั้นก่นด่าก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเพื่อนของพ่อเลี้ยงสามคนกำลังนั่งดื่มกาแฟรอฉันอยู่ แน่นอนว่าทุกคนต่างดูหล่อเหลาสมอายุ ผู้ชายวัยเลขสามใกล้เลขสี่คือดูดีขนาดนี้เลยเหรอ แต่ละคนหล่อแบบสไตล์ไม่ซ้ำเลยล่ะ ฉันยกมือไหว้สวัสดีเพื่อนพ่อเลี้ยงที่เขาดึงเก้าอี้ข้างๆ ให้ฉันนั่ง
“หนูบัว ลูกสาวเบญ”
“ค่ะ”
“หน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารักมากเลย”
“ขอบคุณนะคะ” ฉันส่งยิ้มหวานและยกมือไหว้ขอบคุณคำชมจากปากเพื่อนของพ่อเลี้ยง
“ฉันขอแนะนำนะ นี่เพื่อนฉันคนที่ชมเธอชื่อภูฤทธิ์ เป็นเจ้าของไร่สตอร์เบอรี่อีกเมืองหนึ่ง ส่วนคนกลางชื่อเวทิต เจ้าของโรงแรมในตัวเมือง คนสุดท้ายชื่อเด่นไท เจ้าของไร่ส้มแล้วก็ฟาร์มแพะ” พ่อเลี้ยงแนะนำเสร็จสัพฉันก็ยกมือไหว้ทั้งสามท่านที่แต่ละคนคือรวยๆ ทั้งนั้นเลยแหะ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงจัดปาร์ตี้เรื่องธุรกิจกัน ธุรกิจแต่ละคนคือไม่ธรรมดาจริงๆ ฉันเอาดอกทิวลิปใส่กระเป๋าผ้าและหยิบสมุดจดที่เขียนไว้เมื่อคืนเกือบตีสามออกมากางให้พวกเขาดู
“อันนี้เป็นธีมงานที่บัวออกแบบค่ะ”
“หือ?” พ่อเลี้ยงชะโงกหน้าไปดูไม่ต่างจากคุณภูฤทธิ์ คุณเวทิตและคุณเด่นไท “หนูบัวเก่งทุกอย่างเลยไหมเนี่ย”
“บัวแค่ทำตามคำสั่งพ่อเลี้ยงค่ะ พ่อเลี้ยงอยากได้ความคิดเห็นจากบัว บัวก็ลองๆ ทำดูน่ะค่ะ เผื่อว่าพ่อเลี้ยงจะสนใจธีมงานที่บัวออกแบบ” ธีมงานที่ฉันลองทำคือเป็นธีมแบบชาวไร่เลยล่ะ ก็จะมีติดไฟประดับให้แสงสว่างรวมไปถึงใช้ผ้าสีขาวให้ปลิวไสวเวลาลมพัดจะได้ดูสวยงาม “แขกมีประมาณกี่คนเหรอคะ?”
“แค่เพื่อนกับนักธุรกิจที่ฉันร่วมลงทุนด้วยก็ประมาณยี่สิบคนได้”
“งั้นก็จัดโต๊ะแบบยาวสักสองตัวดีไหมคะ ส่วนอาหารก็เอาแบบบุฟเฟต์แบบตัก แบบนั้นแขกจะได้ตักกินและพูดคุยกันได้ด้วย”
แปะ แปะ
“โอ้โห หนูบัวความคิดสุดยอดมาก” ได้รับเสียงปรบมือจากคุณเวทิตที่ยกนิ้วโป้งให้ฉัน “ความคิดหนูดีมาก”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะคุณเวทิต”
“มึงเอาไงไอ้สิง กูชอบไอเดียหนูบัวมาก” คุณเด่นไทถามพ่อเลี้ยงที่หันมาสบตากับฉัน
“ตามนั้น”
“เรื่องอาหารกูจัดการเอง จัดที่ไร่มึงธีมงานมึงก็จัดการเอง โอเคนะ” ฉันนั่งฟังพวกเขาสี่คนพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดกันอยู่นาเกือบครึ่งชั่วโมงเนื่องจากงานปาร์ตี้ไม่ใช่แค่งานสังสรรค์ แต่เป็นงานพบปะและพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจด้วย นั่งฟังพวกเขาที่มีประสบการณ์ในการทำงานแล้วก็เพลินมากๆ เลยนะ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย เผื่อเรียนจบจะได้ช่วยพ่อเลี้ยงทำงาน ตอนนั้นฉันก็คงเก่งมากแน่นอน
“งานจะจัดขึ้นอีกหนึ่งอาทิตย์ เธอช่วยฉันได้ไหม?”
“บัวช่วยพ่อเลี้ยงได้ค่ะ” รีบตกลงรับคำสั่งอย่างเต็มใจไม่มีปฏิเสธเลยแม้แต่นิด พอพ่อเลี้ยงได้ยินแบบนี้เขาก็ส่งยิ้มมาให้พลางส่งสมุดคืนให้ฉัน
“อยากยืมตัวหนูบัวมาอยู่ที่ไร่กูสักครึ่งเดือน น่าจะดีนะ หนูบัวดูเป็นคู่คิดที่ดีมากๆ”
“กูไม่ให้ไป”
“แหม รู้แล้วน่า กูแค่แซวปะจริงจังไปได้หรือถ้ามึงให้ไป กูว่าหนูบัวก็คงไม่มา จริงไหมครับ?” สบตากับคุณภูฤทธิ์ที่อมยิ้มราวกับมันเป็นเรื่องตลก ตลกตรงไหนก่อนเนี่ย! ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้นสักหน่อย
“เอาจริงปะ นี่ถ้าหนูบัวเรียกมึงว่าพ่อเลี้ยง ก็ต้องเรียกพวกกูอีกสามว่าพ่อเลี้ยงด้วยมะ” คุณเวทิตชี้นิ้วเข้าหาตัวเองและชี้ไปหาเพื่อนอีกสองรวมถึงพ่อเลี้ยง “กลายเป็นว่าหนูบัวมีพ่อเลี้ยงสี่คน”
“บัวมีกูเป็นพ่อเลี้ยงคนเดียวก็พอ”
“กูอยากจะแหมซะจริง ใช่สิ ลูกสาวเมียเก่านี่นา”
“ไอ้เหี้ยเด่น พูดเหี้ยไร!” ชื่อของเบญเป็นชื่อต้องห้ามเลยล่ะมั้ง เพราะพอคุณเด่นไทพูดแซวก็เหมือนรู้ตัวเองรีบเอามือปิดปาก กลายเป็นว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารถูกปกคลุมด้วยความหม่นหมองทันที
“สั่งอาหารดีกว่า กูหิวละ”
เป็นคุณเวทิตทำลายบรรยากาศเรียกพนักงานมารับออร์เดอร์อาหาร ฉันหันไปสบตากับพ่อเลี้ยงที่ส่งยิ้มมาให้และให้ฉันสั่งอาหารเผื่อเขาด้วย การทานอาหารร่วมโต๊ะกับเพื่อนพ่อเลี้ยงสร้างเสียงหัวเราะให้กับฉันอย่างมาก พวกเขาทั้งสามเป็นคนดีที่สำคัญคือเอ็นดูฉันมากด้วย คงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนั่นแหละ ต้องขอบคุณนะที่อย่างน้อยฉันก็ยังมีคนดีๆ ล้อมรอบ ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวและที่สำคัญ... มีพ่อเลี้ยงสิง ผู้ชายแสนดีคนนี้ที่ทำให้ฉันเลือกที่จะเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจและก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
*---------------------------------------*