สาวใช้ตัวน้อย

2525 Words
จวนเสนาบดีจาง เมืองหลวงแคว้นเหลียว “ฟงเหมียน! เจ้ารีบไปนำรองเท้ามาให้ข้า เร็วเข้า!”            เด็กหญิงวัย 10 ปีอยู่ในชุดฮั่นฝูสีเหลืองอ่อนปักลายดอกโม่ลี่จุ๋มจิ๋มงดงาม กล่าวสั่งเด็กหญิงในวัยเดียวกัน ผิดแต่ตัวผอมบางอยู่ในชุดเก่าสีซีด ซ้ำมีรอยขาดถึงสองแห่ง            “เจ้าค่ะ คุณหนูสี่”            เด็กหญิงกล่าวรับคำก่อนเดินไปหยิบรองเท้าที่วางอยู่ในตู้ข้างประตูมาให้อย่างเร่งรีบ แต่เมื่อมาถึงกลับถูกลงโทษ            เพี้ยะ! เสียงตีดังขึ้น เด็กหญิงน้ำตาแทบร่วงลูบต้นแขนตัวเองป้อยๆ            “ข้าไม่ได้หมายถึงคู่นี้ เจ้านี่มันโง่จริงๆ ไปเอาคู่ใหม่มา!”             เด็กหญิงได้ยินคำสั่ง รีบไปหยิบมาให้อย่างรวดเร็ว ก่อนคุณหนูเบื้องหน้าจะลงมือตีนางอีกครั้ง เดินไปถึงตู้รองเท้าอันเดิม ที่นั่นมีรองเท้างดงามอยู่หลายคู่ วางเรียงรายอยู่ด้านใน คิดอยู่ชั่วครู่จึงตัดสินใจหยิบรองเท้าผ้าปักลายผีเสื้อสีชมพูเข้มกลับมา คุณหนูสี่ชอบสีนี้ที่สุด            เมื่อรองเท้าถูกวางไว้ด้านหน้า คุณหนูสี่มองนิ่งๆ ก่อนยื่นเท้าน้อยๆ ขึ้นมาให้นางใส่ให้อย่างเคย เด็กหญิงรู้หน้าที่ ขยับรองเท้าใส่เข้าที่ให้จนเรียบร้อย            “ดีมาก เอาล่ะ คราวนี้ข้าพร้อมไปตลาดแล้ว เจ้ากลับไปทำงานในครัวเถอะ เนื้อตัวสกปรก! วันหลังหากมาพบข้า เจ้าต้องสะอาดกว่านี้นะ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบ!”            เด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แต่วาจาร้ายกาจเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้คนสนิท ที่คอยพูดคุยประจบคุณหนูของนางไปตลอดทาง            เด็กหญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่เรื่องยุ่งยากจบสิ้นลง ร่างเล็กๆเดินผ่านประตูเรือนไปตามทางโรงครัว             เด็กน้อยเดินก้มหน้ามองดูเท้าน้อยๆของตนที่ใส่รองเท้าฟางสภาพเปื่อยยุ่ยใกล้ขาดเต็มที คงต้องให้ท่านแม่เย็บคู่ใหม่ให้เสียแล้ว เด็กน้อยเคยฝันถึงรองเท้าผ้าสวยๆเหล่านั้นอยู่หลายครั้ง แต่ลูกบ่าวเช่นนางต้องเจียมตนเท่านั้น เท้าน้อยๆค่อยๆก้าวไปทีละก้าวตามทางที่คุ้นชิน             ตั้งแต่เกิดนางก็รู้จักเพียงจวนแห่งนี้ สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่ ใครๆก็เรียกว่าจวนเสนาบดีฮุย ผู้ที่นางพึ่งไปรับใช้มาก็เป็นบุตรสาวคนที่ 5 ของเขา เกิดจากฮูหยิน สามชื่อ “ฮุยซีเยว่” นับไปแล้ว จวนหลังนี้มีบุตรชายบุตรสาวเยอะแยะเต็มไปหมด นับได้ยามนี้ก็ 7 คน เยอะจนนางเหนื่อยคร้านจะรับใช้ หากพวกเขาเรียกให้นางไปรับใช้นางก็ต้องรีบไป ไม่รู้เป็นอย่างไรพวกเขาถึงเรียกใช้นางแทบทุกวัน คิดเรื่อยเปื่อยไม่นาน เท้าน้อยๆนั่นก็พานางมาถึงโรงครัวในที่สุด            “ท่านแม่! ท่านหน้าซีดอีกแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ มา! ข้าจะช่วยท่านเอง”            เด็กหญิงเห็นมารดากำลังนั่งผ่าฟืนอยู่เพียงลำพัง จึงเร่งเข้าไปช่วย ใบหน้าของมารดาห่อผ้าไว้เกินครึ่ง ร่างบอบบางนั้นก็นั่งโงนเงนจนน่าเป็นห่วง แต่กระนั้นก็พยายามผ่าฟืนให้เสร็จ            “ฟงเหมียน เจ้ามาแล้วหรือ เจ้าโดนตีอีกหรือไม่”            หลิวฟางแม้นางจะรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่ความเป็นห่วงบุตรสาวมีมากกว่า หลายครั้งที่บุตรสาวของนางกลับมาพร้อมรอยฟกช้ำจากการถูกตี รอยเหล่านั้นเหมือนมีดกรีดลงไปในใจนาง แต่เมื่อไม่มีที่ไปนางก็ต้องอดทน และสอนให้ลูกอดทนด้วย            หากพวกเขาต้องการให้ทำสิ่งใดก็ให้รีบทำ ไม่ต้องอิดออดหรือต่อความกับพวกเขา นางรู้ว่าชีวิตในจวนแห่งนี้ของบุตรตัวน้อยไม่ดีเท่าไหร่ แต่เมื่อเลือกไม่ได้ ภรรยาหรือบุตร นับเป็นสมบัติของสามี ดังนั้น นางจึงต้องทนอยู่ที่นี่แม้ในยามนี้            แต่เดิม นางคือหนึ่งในอดีตอนุของจวน อนุหลิวให้กำเนิดบุตรสาวหลังจากเข้ามาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งปี แรกๆนายท่านยังโปรดปรานนาง ยังคงไปมาหาสู่ไม่ได้สร่างซา แต่ในคืนนั้นเกิดเหตุไฟไหม้เรือนของนาง เพื่อปกป้องลูกน้อยวัยแรกเกิด นางนำผ้าชุบน้ำห่อให้ดีแล้วอุ้มลูกน้อยฝ่ากองเพลิงออกมา            ผลจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น นางกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ ใบหน้าถูกไฟไหม้เป็นแผลพุพองไปครึ่งซีก ร่างกายมีร่องรอยแผลพุพองเป็นหย่อมๆเช่นกัน หลังรักษาหายก็กลายเป็นแผลเป็นน่ารังเกียจ สามีที่เคยรักเคยถนอมก็รังเกียจนาง เขาไม่มาหานางอีกนับแต่นั้น            ฮูหยินใหญ่ที่รังเกียจนางยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะคิดว่านางล่อลวงเสนาบดีให้หลงใหล จนเมินเฉยต่อตนมานานนับปี เมื่อได้โอกาสฮูหยินใหญ่จึงเหยียบสองคนแม่ลูกให้จมดิน อนุหลิวต้องทำงานแลกที่อยู่และข้าวไม่ต่างจากบ่าวและสาวใช้ อีกทั้งบุตรของนางก็ไม่ได้รับฐานะใดที่ควรได้ มีศักดิ์เช่นลูกบ่าวเท่านั้น หรืออาจจะย่ำแย่กว่าด้วยซ้ำ            “ฟงเหมียน แม่ไม่เป็นไร แม่ขอโทษเจ้า เพราะข้าไม่ดี เจ้าจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”            “ท่านแม่ ฟงเหมียนก็ไม่เป็นไร ขอเพียงมีท่านอยู่ ให้ข้าทำงานมากกว่านี้ ข้าก็ทำไหว มา! ท่านพักเถอะ ตอนนี้หน้าท่านซีดมากแล้ว ให้ข้าช่วยนะ”             เด็กหญิงตัวน้อยหยิบขวานอันใหญ่จากมือมารดา นางลงมือผ่าฟืนอย่างระมัดระวังด้วยกำลังแขนเล็กๆของนาง มารดาอยากห้ามแต่หน้ามืดไปเสียก่อน            “ท่านแม่!”            ไม่ทันไร มารดาก็ล้มลงไปกองกับพื้น เด็กน้อยตกใจร้องเสียงหลง นางเข้าไปโยกเขย่าปลุกมารดาหลายทีก็ไม่ตื่น เด็กหญิงวิ่งเข้าไปในครัว หยิบผ้ามาผืนหนึ่ง ชุบน้ำเช็ดใบหน้าให้มารดาอย่างเป็นห่วง ท่ามกลางน้ำตาที่ไหลรินจากความตื่นตระหนก            นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มารดาทำงานหนักจนเป็นลมไปแบบนี้ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไร มารดาก็ไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาเช่นทุกครั้ง เด็กน้อยจึงวิ่งไปตามแม่ครัวลู่ ที่ยามนี้พักผ่อนอยู่ในเพิงด้านหลัง            “ท่านป้าลู่! ท่านป้าช่วยท่านแม่ด้วย!”            นางวิ่งกระหืดกระหอบมาหาหญิงอ้วนที่นอนหลับสบายอยู่ในเพิงใต้ต้นสนหลังครัว            “อะไรอีก! แม่เจ้าเป็นอะไรไปอีก นางคนนี้นี่หาแต่เรื่องอู้งานจริงๆ!”            หญิงวัยกลางคนนามป้าลู่ถามออกไปอย่างรำคาญ เพราะอดีตอนุหลิวผู้นี้เป็นเช่นนี้บ่อย เจ็บป่วยออดๆแอดๆ นางมีลูกมือในครัวเพียงสองคน ทุกๆวันทำงานจนเหนื่อยล้า ยังดีที่ฮูหยินใหญ่ส่งสตรีไร้ค่าผู้นี้มาช่วยงาน บุตรสาวตัวน้อยของนางก็ทำงานดีเช่นกัน            “ท่านแม่ข้าเป็นลมไปอีกแล้ว ยามนี้ยังไม่ฟื้นเลย ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ท่านไปตามหมอให้ท่านแม่ข้าหน่อยเถอะ นะ! ท่านป้าลู่ นะ! แล้วข้าจะยอมทำงานหนัก เป็นวัวเป็นม้าให้ท่านใช้ จะไม่บ่นเลย นะ นะ”             เด็กหญิงตัวน้อยคุกเข่าลงไปอ้อนวอนพลางเขย่าชายผ้าหญิงผู้นี้ให้นางช่วยเหลือ เพราะหากป้าลู่คนนี้ไม่ช่วย ทั้งจวนก็ไม่มีใครสนใจช่วยมารดาของนางแล้ว            “เออ! เอาเถอะ ข้าจะไปตามหมอให้ แต่ค่าหมอน่ะ ข้าไม่มีหรอกนะ! เรียกมาแล้ว เจ้าก็รับผิดชอบด้วยแล้วกัน”            นี่นางกลัวไม่มีคนให้ใช้หรอกนะ! เลยจะช่วยเหลือในครานี้ก่อน ป่วยบ่อยจนน่ารำคาญ ว่าแล้วนางก็เดินอุ้ยอ้ายไปทางท้ายจวน ที่นั่นมีประตูหลัง เชื่อมไปสู่ตลาดด้านนอกได้ แต่เด็กหญิงไม่เคยไป            ไม่นานหมอผู้หนึ่งก็มาถึง เขาเข้าไปดูอาการของคนไข้ ก่อนจะเขียนเทียบยาให้ เด็กหญิงตัวน้อยรับเทียบยามาแล้วนำเงินอีแปะที่มารดาเก็บหอมรอมริบไว้อย่างยากลำบากมาจ่ายให้ท่านหมอ นั่นคือทั้งหมดที่พวกนางสองแม่ลูกมี นับรวมแล้วได้ไม่ถึง 50 อีแปะด้วยซ้ำ             หมอท่านนั้นเห็นสภาพสองแม่ลูกแล้วก็ไม่ได้กล่าวมากมาย เขารับเงินก่อนจากไปทางเดิม ไม่นานมารดาของเด็กน้อยก็ฟื้น นางรู้สึกวิงเวียนมาก เมื่อเห็นบุตรสาวร้องไห้จนตาบวมก็รู้ว่าตนเป็นลมไปครั้งนี้ นานกว่าปกติ จึงกล่าวปลอบให้คลายกังวล            “เหมียนเออร์ ลูกแม่ เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ช่วงนี้เพราะข้าทำงานหนัก จึงได้ล้มป่วย อีกไม่นานข้าก็หายแล้ว เจ้าหยุดร้องเถอะ”            นางดึงบุตรสาวเข้ามากอดไว้ในอก ลูบหัวลูบหลังปลอบโยนไม่นานเด็กน้อยก็หยุดร้องไห้ในที่สุด            “ท่านแม่ ข้ากลัว ท่านเป็นลมไปครั้งนี้นานมาก ดีที่ท่านป้าลู่ไปตามหมอมาให้ ท่านหมอบอกว่าท่านร่างกายอ่อนแอ ต้องทานยาบำรุงที่ท่านหมอให้ทุกวัน ร่างกายท่านก็จะดีขึ้น นี่! ข้าไปต้มยาให้ท่านแล้ว ท่านแม่ดื่มเถิดนะ”            เด็กน้อยประคองถ้วยยาควันกรุ่นในมือให้มารดา นางรับมาด้วยความตื้นตันใจ บุตรสาวช่างเป็นเด็กดีนัก มีความอดทน เฉลียวฉลาด หนักเอาเบาสู้ นางหวังเพียงว่าเมื่อเติบโตขึ้น บุตรของนางจะได้แต่งให้คนที่ดี และต้องไม่เป็นอนุเช่นนาง!            หลังดื่มยาเสร็จ เด็กหญิงก็ประคองมารดาล้มตัวลงนอนพักผ่อน ฟูกผืนบางในห้องนี้เป็นเครื่องเรือนหนึ่งในสามชิ้นที่มี เรือนแห่งนี้แบ่งแยกชายหญิง หากใครมีครอบครัวก็จะให้ไปอยู่เรือนรวมอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป ชีวิตในจวนแม้ลำบาก แต่พวกนางก็อบอุ่นใจที่มีกันและกัน ฟงเหมียนตัวน้อยขยันขันแข็งช่วยงานมารดาทุกอย่างมาตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่จำความได้ชีวิตนางก็เป็นอย่างนี้เสียแล้ว ไม่มีงานสิ่งใดที่ทำไม่ได้            “หลิวฟาง! หลิวฟาง! ทำไม่เจ้ายังไม่ไปให้อาหารหมูอีก เจ้าอู้งานอีกแล้วหรือ”            เสียงของอาซิงสาวใช้ในครัวผู้หนึ่งดังขึ้น นางพึ่งกลับมาจากตลาดก็เห็นว่าเล้าหมูนั้นว่างเปล่า            “พี่ซิง ท่านแม่ไม่ได้อู้ ท่านแม่ข้าหน้ามืดเป็นลม ยามนี้พึ่งฟื้น คงจะไปทำงานไม่ไหวหรอก เดี๋ยวข้าจะไปทำแทนเอง ท่านหยุดเรียกเถอะ ให้ท่านแม่ได้พักผ่อน”            เด็กหญิงตัวน้อยเปิดประตูออกมา ตาแดงๆนั่นแสดงว่าผ่านการร้องไห้มา นางไม่ได้โกหก            “เอาเถอะ แม่เจ้าก็เจ็บป่วยบ่อยเสียจริง เจ้าก็รีบไปทำเสียสิ พวกหมูหิวจนจะพังรั้วอยู่แล้ว” สาวใช้นางนั้นสั่งเสร็จก็เดินไปที่ครัวเพื่อทำงานครัวต่อ            เด็กหญิงผลุบหน้าเข้าไปดูมารดา เห็นนางหลับไปแล้วจึงได้ออกไปทำงานตามที่รับปากไว้ อดีตอนุหลินยามนี้นอนน้ำตาไหล นางรันทดชีวิตของบุตรนัก นางจะเป็นอย่างไรนางไม่สนใจ บุตรสาวตัวน้อยของนางช่างน่าสงสาร มีมารดาน่ารังเกียจเช่นนาง ผู้คนไม่คบหาให้เป็นอัปมงคล            แม้กระทั่งลูกบ่าวรับใช้ยังไม่คบหากับฟงเหมียนของนาง มายามนี้ร่างกายยังอ่อนแอเพิ่มภาระให้บุตรตัวน้อยอีก หากไม่ห่วงลูก นางคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป สวรรค์ทำไมชีวิตถึงได้รันทดนัก ไร้เสียงอุทธรณ์ ยังคงมีเพียงน้ำตาที่หลั่งไหลเท่านั้นที่บ่งบอกความรู้สึกที่มี เมื่อยาออกฤทธิ์นางจึงผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาในที่สุด            ********            เด็กหญิงเดินไปที่เล้าหมูฉวยเอาตะกร้าใบใหญ่เดินไปทางท้ายจวน ที่นั่นมีสวนต้นบอนอยู่เยอะ นางค่อยๆใช้มีดตัดเลือกเอาต้นใหญ่ๆจนเต็มตะกร้า ก่อนนำมาหั่นให้เป็นท่อนเล็กๆ เสร็จแล้วนำไปต้มให้ยุ่ย ต้นบอนพวกนี้นำไปผสมกับรำแก่สามารถนำมาเป็นอาหารหมูได้             นางมาช่วยมารดาทำบ่อยแล้ว แค่นี้นางสามารถทำได้สบาย เมื่อการให้อาหารหมูแล้วเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้อาหารค่ำ นางจึงไปเตรียมตัวรับส่วนแบ่งเพื่อนำไปให้มารดา ป่านนี้มารดาคงหิว            เมื่อไปถึงโรงครัวก็พบกับพี่อาซิงกำลังจัดส่วนแบ่งให้คนอื่นๆอยู่ นางเดินตัวลีบไปต่อท้ายเพราะเกรงสายตาของป้าลิ่ว ป้าลิ่วทำงานให้เรือนคุณหนูสาม คุณหนูสามผู้นั้นมักจะรังแกตบตีฟงเหมียนอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส              “ฟงเหมียน เดี๋ยวเจ้าไปพบคุณหนูสามด้วยนะ เร็วๆเข้าล่ะ หากชักช้ามีโทษแน่!”            เมื่อรับส่วนแบ่งของตนแล้ว นางก็เดินมาสั่งฟงเหมียนที่ยืนตัวลีบอยู่ท้ายแถว นางก็เป็นเช่นนี้ เมื่อมีโอกาสนางไม่พลาดเรื่องสนุกเช่นนี้สักครั้ง ฟงเหมียนก็เปรียบเสมือนตุ๊กตาตัวน้อย น่ารังแกเสียยิ่งกว่าอะไร เด็กหญิงรีบพยักหน้าโดยไว นางไม่กล้าชักช้าหากโดนตีมามารดาจะเสียใจ เมื่อเห็นการตอบรับที่น่าพอใจ ป้าลิ่วก็เดินจากไป            “ฟงเหมียน นี่ส่วนแบ่งของเจ้ากับแม่ แล้วก็รีบไปด้วยล่ะ ตอนนี้แม่เจ้าป่วยอยู่ หากเจ้าเจ็บตัวมาจนทำงานไม่ได้ งานครัวก็ไม่มีคนช่วยแล้ว เข้าใจมั้ย! แล้วนี่ให้อาหารหมูเสร็จรึยัง”            ฟงเหมียนได้ยินการสำทับเช่นนั้นก็พยักหน้าหงึกๆ ก่อนตอบว่า            “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”             นางจึงได้รับอาหารสองห่อเป็นการจบบทสนทนา เมื่อได้ส่วนแบ่ง เด็กน้อยก็ตรงกลับเรือนไปหามารดาทันที            “ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้านำอาหารมาให้”            นางเข้าไปหามารดา ใบหน้าที่มีริ้วรอยอัปลักษณ์จากแผลไฟไหม้นั้น บัดนี้ยังมีคราบน้ำตาเกาะอยู่ แม้ใครจะบอกว่ามารดาน่าเกลียดไม่มีใครอยากเข้าใกล้ แต่สำหรับนางรอยแผลเหล่านี้คือเครื่องย้ำเตือนถึงความรักที่มารดามีให้กับตน            เพราะเป็นห่วงชีวิตของลูกน้อย มารดาผู้นี้จึงไม่ยอมแพ้ และยังสามารถนำลูกน้อยออกมาจากกองไฟโดยไร้รอยขีดข่วนใด ส่วนผู้เป็นมารดา ร่างกายงดงามนั้นกลับยับเยินจนไม่อาจรักษาให้ดีได้ดังเดิม มือน้อยๆยื่นไปเช็ดคราบน้ำตาให้มารดา นางอยากจะเก่งกว่านี้ มีกำลังมากกว่านี้ ยามนั้น นางจะปกป้องมารดาเอง!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD