เมื่อรู้สึกถึงมือเล็กๆมาสัมผัสใบหน้า มารดาก็ลืมตาตื่น ก่อนค่อยๆลุกขึ้นนั่ง
“เจ้ากลับมาแล้ว เหนื่อยหรือไม่ ลูกแม่”
นางทอดสายตามองอย่างอาทร ตัวเท่านี้แต่ทำงานไม่น้อยกว่าผู้ใหญ่คนหนึ่ง หรือบางทีอาจมากกว่าด้วยซ้ำ
“ท่านแม่ ข้านำอาหารมาให้ท่าน ท่านรีบทานเถอะ ข้าต้องรีบไปเรือนคุณหนูสาม หากไปช้านางอาจจะโกรธได้ ข้ารีบไปก่อนนะ”
“เดี๋ยว!” เอ่ยได้เท่านั้น ลูกตัวน้อยของนางก็รีบวิ่งลิ่วออกประตูไป เพราะไม่อยากให้มารดาต้องซักไซ้ให้ปวดใจนั่นเอง หลิวฟางมองไปที่ห่อข้าวของบุตรสาว จนป่านนี้เด็กตัวเล็กเพียงนั้นยังไม่ได้ทานอะไร
บ่าวจวนนี้จะได้ทานอาหารเพียงสองเวลาคือเช้ากับเย็นเท่านั้น เช่นนี้เมื่อลูกยังไม่ได้กิน แม่อย่างนางจะกินได้อย่างไร นางยกมือเช็ดคราบน้ำตาออก ยังรู้สึกเสียใจที่หลับใหลไปก่อน จนทิ้งคราบน้ำตาไว้ให้ลูกน้อยต้องใจเสีย นางไม่อยากให้ลูกน้อยรู้สึกแย่ไปยิ่งกว่านี้
ที่เรือนคุณหนูสามยามนี้ฟงเหมียนตัวน้อยกำลังนำกระโถนของคุณหนูสามไปเทแล้วขัดชำระจนสะอาดก่อนนำไปเก็บเข้าที่ คุณหนูสามไม่ได้เรียกพบเพียงแต่ป้าลิ่วผู้นี้ชอบแอบอ้างคำสั่งเรียกนางมาใช้งานเช่นนี้เสมอ
“อืม.. เรียบร้อยดี เอาล่ะ ตักน้ำเต็มตุ่มล้างเท้านั่นเจ้าก็ไปได้แล้ว!”
“เจ้าค่ะ”
ไม่มีสีหน้าใดโต้ตอบนอกจากการพยักหน้ารับคำแล้วรีบไปทำตามคำสั่ง ชีวิตที่ผ่านมาก็เช่นนี้ เมื่อก่อนเด็กหญิงเคยไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องทำตามที่คนอื่นสั่งมากมาย และไม่เข้าใจว่าตนทำผิดอะไรจึงถูกทุบตีจากคนเหล่านั้น
ยามนี้นางก็ยังคงไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงท่านแม่ไม่ร้องไห้อีก มากกว่านี้ข้าก็ทำได้ นางรีบทำงานที่ได้รับมอบมาให้เสร็จก่อนรีบเดินกลับไปที่เรือนบ่าว ยามนี้ค่ำมืดแล้ว ท้องเล็กๆนี่ก็ร้องมาหลายรอบแล้วเช่นกัน
เมื่อไปถึง นางก็พบท่านแม่นั่งเย็บชุนเสื้อคลุมตัวเก่าของนางอยู่ ห่อข้าวสองห่อยังวางอยู่ที่เดิม
“ท่านแม่ ทำไมท่านยังไม่ทานข้าวอีก ท่านกำลังไม่สบายอยู่นะ”
“เด็กโง่ ข้าก็รอทานพร้อมเจ้านะสิ มาเถอะ หิวมากแล้วใช่หรือไม่”
มารดาวางชุดในมือลง หยิบห่อข้าวสองห่อมาวางไว้ด้านหน้าก่อนกวักมือเรียกนางไปกิน ความหิวมากล้นทำให้เด็กหญิงไม่คิดสิ่งใดอีก รีบไปนั่งลงตรงข้ามกับมารดา หยิบห่อข้าวที่แกะแล้วออก ด้านในมีเพียงหมั่นโถหนึ่งชิ้นเท่านั้น แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
“หมั่นโถก้อนนี้ ไร้รสชาติไปเลยเมื่อไม่มีเจ้า เหมียนเออร์ มีแต่ต้องกินกับเจ้าเท่านั้น อาหารทุกอย่างจึงจะอร่อยล้ำ เข้าใจหรือไม่”
รอยยิ้มอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความรักที่มารดามอบมาให้ ทำให้กายใจอันเหนื่อยล้าของเด็กหญิงหายเป็นปลิดทิ้ง มารดาบิเอาไส้ถั่วของหมั่นโถยื่นมาให้ นางงับกินจากมือมารดาก่อนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ใช่! กินข้าวกับท่านแม่ อร่อยจริงๆ กินกับอะไรก็อร่อย!
สองแม่ลูกเปลี่ยนกันกินเปลี่ยนกันป้อนไม่นานหมั่นโถลูกนั้นก็หมดลง ทั้งคู่จึงไปเช็ดหน้าตาเนื้อตัวก่อนเตรียมเข้านอน
“เหมียนเออร์ มานี่มา มารดาจะหวีผมให้เจ้า”
เด็กหญิงเดินไปนั่งลงให้มารดาสางผมให้ก่อนนอน หลิวฟางมองบุตรสาวที่ยิ่งเติบโตยิ่งมีแววงดงาม และท่าจะงามกว่านางไปหลายขุม
ยามนี้ใบหน้าสกปรกมอมแมมนั้นผุดผ่อง ผิวเนียนละเอียดขาวนวล ความงามเช่นนี้จะเป็นอันตราย นางรู้ดี นางจึงนำขี้เถ้าผสมผงถ่านพรมน้ำให้เปียกนำมาลูบไล้ผิวกายให้บุตรสาวทุกวัน และยังสอนให้เด็กน้อยทำเช่นนี้ทุกวันด้วย
ก่อนนางจะหวีผมที่ยาวสลวยงดงามดั่งแพรไหมนั่นให้เข้าที่ ก่อนมัดผมเกล้าเป็นจุกเก็บความงดงามนี้ให้ไม่เป็นที่สังเกต ความงามที่มากล้น นำมาสู่ความอิจฉาริษยาไร้ที่สิ้นสุด จนกว่าอีกฝ่ายจะพังพินาศ เช่นนาง!
“เหมียนเออร์ เจ้าจำไว้นะ ตราบใดที่เจ้ายังไม่มีกำลังจะปกป้องตนเองได้ เจ้าต้องหลบซ่อนให้ดี ความงามนี้ก็เช่นกัน ลูกของแม่งดงามมากกว่าใคร หากวันใดมันถูกเปิดเผย ยามนั้นเจ้าอาจจะถูกรังแกอย่างหนัก แม่อาจเสียเจ้าไป หากเป็นเช่นนั้น.. แม่คงทนไม่ได้”
“ท่านแม่อย่าห่วงเลย ข้าจะไม่ลืม เพื่อได้อยู่กับท่าน ให้ข้าทำลายโฉมนี้ก็ยังได้ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าต้องเสียใจหรือหวั่นเกรง ขอแค่มีท่าน ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใด”
“เด็กโง่ ไม่ได้เด็ดขาด เพราะหน้าตาเจ้าคล้ายแม่ที่สุด ข้าอยากเก็บความงดงามนี้ไว้ชื่นชมคนเดียว ไม่ได้หรือ?”
หลิวฟาง โยกหัวบุตรสาวอย่างหยอกล้อ เสียงหัวเราะเล็กๆดังขึ้นก่อนทั้งคู่จะนอนกอดกันกลมจนหลับไป
ผ่านมาได้อาทิตย์หนึ่ง อาการของหลิวฟางดีขึ้นมากแล้ว นางกลับไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเพราะไม่อาจปล่อยให้บุตรสาวทำงานเพียงคนเดียว จวนแห่งนี้ไร้คนมีน้ำใจต่อพวกนางแม่ลูก อาหารทุกมื้อต้องทำงานแลกมา ไม่มีใครอยากคบค้าเพราะหน้าตาน่าเกลียดของตน
“แค่กๆ อดีตอนุหลิวไอออกมายามนั่งผ่าฟืนในครัว”
“ท่านแม่! เลือด! ท่านมีเลือดออก!”
ช่วงนี้นางไอถี่ขึ้น นางมักบอกกับบุตรสาวว่าไม่เป็นไร แต่ยามนี้ถึงกับไอเป็นเลือด อาการเจ็บป่วยนี้คงไม่ธรรมดา และยาก็หมดลงแล้ว
“เจ้าอย่าตื่นตกใจไปเลย ร่างกายข้าอ่อนแอก็เป็นเช่นนี้ เดี๋ยวก็คงหาย”
“ท่านแม่ ท่านไปหาหมอเถอะ ข้าจำได้ว่าพู่ห้อยป้ายไม้สกุลหลิวของเรามีหยกเม็ดเล็กอยู่เม็ดหนึ่ง เรานำมันไปขายพาท่านไปหาหมอเถอะ”
“ไม่ได้ สิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวที่แม่เหลืออยู่ ท่านยายของเจ้าให้มา เจ้าต้องเก็บไว้ให้ดี เข้าใจหรือไม่”
เด็กหญิงตัวน้อยไม่กล่าวสิ่งใด นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ดื้อต่อมารดา หยกนั่นสำหรับนางก็แค่หินเม็ดหนึ่ง แต่มารดาสำหรับนางคือท้องฟ้าทั้งหมด ยังไงนางก็เลือกรักษามารดาไว้ให้ดีอยู่แล้ว
“ฟงเหมียน! คุณหนูรองเรียกพบ”
ครานี้นางสะดุ้งสุดตัว เสียงแหลมเช่นนี้เป็นเสียงของเสี่ยวชุย สาวใช้คนสำคัญของเรือนคุณหนูรอง มารดาก็มองมาอย่างกังวล สายตานางสื่อว่า ระวังตัวให้ดี แล้วรีบกลับมาหาแม่
“ทำไมยังไม่ลุกอีก หรือเจ้าสั่งสอนอะไรลูกเจ้าอีกแล้ว นี่เจ้าสอนให้บุตรสาวกระด้างกระเดื่องต่อคุณหนูรองใช่หรือไม่”
“เปล่าเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้านั่งนาน รู้สึกเหน็บกิน เลยลุกเร็วๆไม่ได้”
โยนข้อหานี้ทีไร มารดานางมักจะถูกตี บางครั้งก็ถูกโบย นางไม่กล้ารับข้อกล่าวหาเพราะไม่อยากเห็นมารดาเจ็บตัว ยิ่งนางเจ็บป่วยหากต้องรับโทษอีก คงอาการหนักจนรับไม่ไหว
“งั้นก็รีบลุกไปเร็วสิ ชักช้า ขี้เกียจสิไม่ว่า”
เด็กหญิงตัดสินใจลุกไปพบคุณหนูรองก่อนแล้วค่อยมาคุยกับมารดาทีหลัง นางเดินตามเสี่ยวซุยไปทางด้านหน้าจวน คุณหนูรองเป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ ปีนี้นางอายุ 13 ปี มีความรู้ความสามารถอย่างมากเป็นที่ยกย่องชื่นชมของคนทั่วไป
แต่อยู่ในจวนแห่งนี้ คุณหนูรองคือผู้ที่นางอยากอยู่ห่างมากที่สุด แม้มองออกว่าบุตรสาวหวาดกลัว แต่หลิวฟางทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากมองลูกน้อยเดินไปจนลับตา จึงหันกลับมาตั้งใจผ่าฟืนต่อ เพราะยังต้องไปให้อาหารหมูอีก หวังเพียงว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับลูกน้อยของนาง
ฮุยลู่เหลียน เป็นคุณหนูรองสกุลฮุย ท่านตาของนางเป็นเสนาบดีเจ้ากรมการคลัง มีเส้นสายมากมาย ตำแหน่งที่มั่นคงของบิดาทุกวันนี้ก็มาจากท่านตาของนาง นางจึงเป็นคุณหนูผู้มีความหยิ่งยโสในใจมากล้น ความอ่อนโยนที่แสดงให้คนทั่วไปได้เห็นล้วนปั้นแต่ง แต่ในใจของนางล้วนไม่ยินยอม
เช่นวันนี้ คุณหนูใหญ่จวนเสนาธิการเช่นคุณหนูสวีผู้นั้น วันนี้ถึงกับหักหน้านางด้วยการขัดขวางการลงโทษสาวใช้ที่ทำการซุ่มซ่าม นางเพียงเห็นสาวใช้ผู้นั้นน่ารังแกเช่นอดีตน้องห้าของนาง นางจึงอยากเล่นด้วยเล็กน้อย ไม่นึกว่าคุณหนูผู้นั้นจะไม่เกรงใจนาง ถึงขนาดมาช่วยคนไปจากนาง
ทำให้วันนี้คุณหนูผู้อื่นซุบซิบกัน หาว่านางเริ่มเรียนรู้การรังแกคนแล้ว นางต้องอดทนอดกลั้นเพื่อกลับมาระบายที่จวน ข้าวของหลายอย่างถูกนางจับโยนจนเสียหาย แต่โทสะในใจยังไม่ลด นางจึงให้สาวใช้ไปตามที่รองมือรองเท้ามาให้
เมื่อตอนที่เด็กนั่นเกิด นางจำได้ดี หลังจากไปว่าราชการที่ต่างเมืองบิดาได้ตุ๊กตาผ้ามาจากเมืองไกล นางคิดว่าเขาต้องนำมาให้นางแน่ ตุ๊กตาตัวนั้นฝีมือประณีตนัก ไม่นึกว่าเด็กที่พึ่งลืมตาดูโลก เล่นตุ๊กตายังไม่เป็นจะได้ครอบครองมัน เด็กนั่นยิ่งเติบโตท่านพ่อยิ่งมีของไปมอบให้ อีกทั้งมารดาอนุสี่ผู้นั้น ก็ทำให้บิดาหลงใหลจนเริ่มมีปากเสียงกับมารดาของนาง
ดีที่มีเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น ในคืนนั้นมารดาเนื้อตัวมีแต่กลิ่นน้ำมันสน กลับเข้าเรือนมายามดึกพร้อมคนสนิท เป็นคืนนั้นที่ไฟไหม้เรือนอนุหลิว อนุหลิวติดอยู่ในกองไฟพร้อมลูกน้อย พวกนางสมควรตายในกองเพลิง แต่ก็ยังอุตสาห์หนีรอดออกมาได้ ยังดีที่นับแต่นั้น บิดาก็ไม่โปรดนางสองแม่ลูกอีกเลย
“ คุณหนูเจ้าคะ ฟงเหมียนมาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงกล่าวรายงานของเสี่ยวซุยดังขึ้น นางมองไปที่พื้นหน้าเรือนพบเด็กหญิงตัวเล็กบาง หน้าตามอมแมม ก้มหน้าสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นสภาพภายในเรือน
“เข้ามานี่สิ” เสียงเยียบเย็นนั้นอำมหิตอย่างที่เด็กสาวอายุ 13 ไม่ควรจะมีได้ ฟงเหมียนตัวน้อยเริ่มมองเห็นลางร้าย แม้ตัวสั่นเทาแต่ก็ค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งอยู่ตรงหน้าคุณหนูรองผู้ออกคำสั่ง คุณหนูรองในชุดฮั่นฝูสีชมพูอ่อนปักลายดอกบัวงดงาม หน้าตาที่มีเค้าความงามนั่นแต่งแต้มสีชมพูสดใส ผิวพรรณขาวนวลค่อยๆลุกขึ้นเดินมาที่ร่างเล็กบนพื้น
สายตาลุ่มลึกอย่างคาดเดาไม่ได้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ สาวใช้รีบเดินไปปิดหน้าต่างและประตูให้มิดชิด ฟงเหมียนแม้กลัวใจจะขาดก็ไม่กล้าวิ่งหนี เพราะจวนแห่งนี้ ไม่มีที่ใดให้นางหลบซ่อน หากนางไม่ยินยอม มารดานางต้องเดือดร้อนเป็นแน่ เข็มเย็บผ้าอันเล็กเรียวถูกจิ้มลงไปที่ต้นแขนของเด็กหญิงที่ก้มหมอบอยู่กับพื้น
“โอ๊ย!”
เสียงร้องโอดโอยเปล่งออกมาสายหนึ่ง ผ้าก้อนก็ถูกนำมายัดเข้าไปในปากเด็กหญิงเพื่ออุดเสียงนั้น ไม่ให้ส่งออกมาให้รำคาญ ก่อนเข็มนั่นจะเริ่มทิ่มแทงไปที่ส่วนอื่นของร่างกายอีก เด็กหญิงตัวน้อยกัดฟันแน่น เสียงอือ อือ ที่ส่งออกมาทำให้รู้ว่านางเจ็บปวดเพียงใด
น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ไหลอาบใบหน้าเล็กๆนั้นจนเปื้อนเปรอะและเสื้อผ้าตัวเก่าจนเปียกปอน เมื่อเหยื่อของคุณหนูรองเริ่มชินต่อการเล่นสนุกของนาง นางก็ทิ้งเข็มไป ก่อนนำก้อนผ้าที่เย็บให้เป็นแท่งยาวยัดด้วยนุ่นและทรายจนแน่นแข็ง
วันนี้นางต้องการออกแรงให้มาก คุณหนูรองผู้อ่อนโยน ครานี้นำหมอนยาวขนาดพอดีมือฟาดไปที่ร่างเล็กจ้อย ที่นอนครางฮือฮือ หลับตาปี๋ ร่างกายสั่นเทา คลานหนีไปจนชิดผนังห้อง เมื่อไม่มีที่ให้หนี นางก็คู้กายเป็นก้อนกลม ยอมรับการโบยตีนั้น
เมื่อได้โบยตีคนจนเหนื่อยหอบสมใจ นางก็คล้ายจะสงบอารมณ์ลง ยามนี้ร่างเด็กน้อยสลบไสลไปแล้ว เพราะทนแรงทุบตีไม่ไหว สภาพร่างบางยับเยินเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกสะใจ อารมณ์ที่คั่งค้างมาจากด้านนอกค่อยได้รับการบำบัด นางจึงสั่งให้สาวใช้นำเด็กขยะนั่นไปทิ้งไว้นอกเรือน ไม่สนใจใยดีอีก
คล้อยบ่ายมากแล้ว ฟงเหมียนของนางยังไม่กลับมา อดีตอนุผู้อัปลักษณ์เป็นห่วงลูกน้อยยิ่งนัก แต่นางไม่สามารถออกไปยังเรือนหน้าจวนได้ อยู่ได้เพียงก้นครัวและเขตเรือนบ่าวรับใช้เท่านั้น แต่ครั้งนี้บุตรของนางหายไปนานกว่าปกติ นางรู้สึกเป็นห่วงยิ่งนัก จึงแอบด้อมๆมองๆเขตหน้าจวน เมื่อเห็นปลอดคนจึงตั้งใจออกไปตามหาลูกน้อย
นางต้องแอบซ่อนอยู่หลายครั้งกว่าจะมาถึงเขตเรือนคุณหนูรอง ร่างบุตรสาวที่ถูกทิ้งให้นอนอยู่บนพื้นนอกเรือนทำเอานางใจหาย ทันทีที่เห็นร่างนั้น นางไม่สนใจสิ่งใดอีก รีบวิ่งเข้าไปอุ้มร่างของบุตรสาวขึ้นมากอด ยามนี้ฟงเหมียนน้อยของนางหน้าตาปูดบวม ร่างกายฟกช้ำ เมื่อเปิดดูแขนหรือขาก็พบรอยแดงเล็กๆเป็นจุด นางรู้ดีว่านี่คือรอยอะไร น้ำตานางไหลพราก สวรรค์! เหตุใดเด็กตัวเล็กๆจึงโดนกระทำถึงเพียงนี้
คนพวกนี้ยังเป็นคนอยู่หรือไม่ นางค่อยๆอุ้มลูกของนางกลับไปที่เรือนพัก ตลอดทางน้ำตาไหลพรากจนแทบกลบการมองเห็น นางต้องอุ้มลูกน้อยทั้งสองมือกลับมา แม้มีคนมองเห็น แต่ก็ไร้คนสนใจ เพราะหากเข้ามาช่วย พวกตนอาจเดือดร้อน โดนเรียกไปโบยตีได้ ทุกคนจึงทำเป็นมองไม่เห็นความเป็นตายของผู้อื่น