รุ่งขึ้นหลิวฟงเหมียนตามสหายใหม่ของนางไปพบกับนายหญิงของหอโคมเขียวแห่งนี้ วันนี้นางอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ที่หงซือม่านนำมาให้ ชุดสีฟ้าอ่อนปักลายผีเสื้องดงาม นางลูบคลำอยู่หลายรอบอย่างหลงใหล ไม่เคยนึกว่าชีวิตนี้ตนจะมีโอกาสได้สวมใส่เสื้อผ้างดงามเช่นนี้มาก่อน
“ถึงแล้วล่ะ เหมียนเออร์ เจ้ารอสักครู่ ข้าจะแจ้งคนเฝ้าประตูก่อน”
เด็กสาวเดินเข้าไปกล่าวทักทายกับสาวใช้รุ่นใหญ่หน้าห้อง ห้องของนายหญิงอี๋นั้นมีการเฝ้าอย่างรัดกุมมาก หากไม่ได้รับอนุญาตผู้ใดก็เข้าพบไม่ได้ นายหญิงอี๋ไม่เคยรับแขก และนางไม่เคยออกไปพบแขก ยกเว้นแขกสำคัญเท่านั้น
“เอาล่ะ นายหญิงอนุญาตแล้ว พวกเราเข้าไปได้”
เด็กหญิงกำลังมองไปรอบๆเรือนแห่งนี้ ทุกที่ล้วนตกแต่งด้วยของดีอย่างยิ่ง และการตกแต่งยังงดงามแปลกตา นางเคยได้แต่จินตนาการว่าที่ที่งดงามจะเป็นแบบไหน วันนี้นางได้รู้แล้ว ก็คงเป็นเช่นนี้นั่นเอง
เมื่อยามก้าวพ้นประตูมาแล้ว ข้างนอกที่ว่างดงาม ยังสู้ข้างในไม่ได้ ห้องของนายหญิงอี๋ใหญ่โตกว้างขวาง ถูกจัดแบ่งได้เป็นสัดส่วนงดงามลงตัว ด้านในสุดนั้นคงเป็นห้องนอน มีประตูกั้นไว้มิดชิดไม่อาจผ่านเข้าไปได้
ด้านซ้ายเป็นโต๊ะกระจกบานใหญ่ มีตั่งขนาดใหญ่สวยงามพร้อมตู้เครื่องประดับอีกหลายตู้ ล้วนเป็นไม้เนื้อดีแกะสลักอย่างงดงามทุกหลัง ด้านขวาเป็นพรมขนาดใหญ่ปักลายงดงามหนานุ่ม ตรงกลางมีตั่งตัวใหญ่สองตัว ที่ปูด้วยฟูกหนา มีหมอนอิงสามารถนั่งนอนได้สบาย เสี่ยวม่านพานางไปนั่งลงบนพรมด้านข้างตั่งตัวใหญ่ อีกด้านหนึ่ง
ไม่นานนายหญิงอี๋ก็เดินออกมาจากส่วนของห้องนอน ประตูเลื่อนบานใหญ่ถูกสาวใช้ปิดตามหลังทันที หญิงสะคราญโฉมผู้หนึ่งเดินเยื้องย่างมาทางด้านนี้ เพียงนางเดินเท่านั้นก็ดั่งได้พบเทพธิดาแห่งการดนตรีร่ายรำมาดั่งนั้น แค่เดินก็ยังงาม
ไม่เพียงเท่านั้น ใบหน้าของสตรีวัยสาวสะพรั่ง ดูเอิบอิ่มไร้ริ้วรอยของวัยบ่งบอกอายุนั้น ยังงดงามดั่งไซซี ตั้งแต่เกิดมา นางยังไม่เคยพบผู้ใดงดงามขนาดนี้มาก่อน
“นายหญิง นี่คือหลิวฟงเหมียนเจ้าค่ะ นางคือสหายของข้าที่พึ่งมาวันก่อนนี้เจ้าค่ะ”
เสียงของเสี่ยวม่านปลุกเด็กหญิงที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความงามให้ตื่นขึ้น นี่นางจะถูกโบยหรือไม่นะ นางมองจนลืมไปเลย ว่าต้องค้อมตัวคาราวะ แต่ใบหน้ายิ้มแย้มของนายหญิงไม่ได้มีท่าทีจะโกรธเคืองสิ่งใด
“เจ้าหรือหลิวฟงเหมียน เจ้าหน้าคุ้นนัก เหมือนเคยเจอเจ้าที่ใด”
“เรียนนายหญิง ข้าน้อยไม่เคยพบท่านมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ท่านงดงามเช่นนี้ หากเคยเจอ ข้าต้องจำท่านได้แน่”
นางกล่าวออกไปตามประสาซื่อ พลอยทำให้นายหญิงหัวเราะอย่างเอ็นดู เสียงของนางดั่งระฆังแก้ว ดังกังวานเสนาะหูยิ่งนัก
“เจ้าช่างเจรจานักเสี่ยวเหมียน ข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเหมียนเหมือนอาหงได้หรือไม่ เอาล่ะ ข้าเชื่อแล้ว ว่าเราไม่เคยพบกันมาก่อน แต่ข้าก็คุ้นหน้าเจ้าอยู่ดี บิดามารดาเจ้าชื่อว่าอย่างไรล่ะ”
เมื่อนึกถึงมารดา เด็กหญิงก็มีสีหน้าเศร้าหมองลง
“เสี่ยวเหมียนไม่มีบิดา! เพราะชายผู้นั้นไม่สมควรเป็นบิดา แต่มารดาเสี่ยวเหมียนมีเจ้าค่ะ นางชื่อ หลิวฟางเซียน!”
เมื่อได้ยินชื่อหลิวฟางเซียน แก้วชาในมือก็ร่วงลงพื้นพรมทันที เนื่องจากพรมหนามาก แก้วชาราคาแพงนั่นจึงไม่แตก แต่ตอนนี้นายหญิงอี๋ตกใจจนแข็งค้างไปแล้ว นางเบิ่งตากว้างมองหลิวฟงเหมียนอีกครั้งหนึ่ง เป็นนาง! เป็นนางจริงๆ!
.
.
.
ชั่วจิบชาผ่านไป ทุกคนยังมึนงงว่านายหญิงตกใจเพราะเหตุใด
“เสี่ยวเหมียน! เจ้ากล่าวว่าไม่มีบิดา บิดาของเจ้าคือเสนาบดีฮุยใช่หรือไม่!”
สิ้นคำถาม ฟงเหมียนก็ตาโตเช่นเดียวกัน นายหญิงรู้จักบิดาของนาง เช่นนั้น! นายหญิงรู้จักมารดาของนางงั้นหรือ
“เป็นเขา.. เจ้าค่ะ นายหญิง”
ฟงเหมียนยอมรับในที่สุด แม้ไม่อยากยอมรับว่าคนผู้นั้นคือบิดา แต่ยามนี้ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง
“เช่นนั้น! มารดาของเจ้าล่ะ หลิวฟางเซียน นางเป็นอย่างไรบ้าง”
นายหญิงอี๋ถามถึงอดีตคนรู้ใจ หลิวฟางเซียนผู้นั้น เคยเป็นสาวใช้ข้างกายของนางมาหลายปี ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน นางขอแต่งออกไปเป็นอนุให้ชายที่นางรัก
แม้จะอยากรั้งไว้ แต่ที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้นางต้องห่วงหา การออกไปมีครอบครัวกับชายคนรัก จึงจะทำให้สาวใช้คนสนิทของนางมีความสุข
ไม่นึกว่าจากกันเพียงสิบปี ยามนี้บุตรสาวของนางถูกนำมาขายเสียแล้ว นางรู้จักฟางเซียนดี หากไม่เกิดอะไรขึ้น นางไม่มีทางขายบุตรสาวแน่!
“มารดาข้า..... นางสิ้นแล้วเจ้าค่ะ นายหญิง”
เมื่อพบคนรู้จักเก่าของมารดา นางก็หลั่งน้ำตาออกฟ้องความทุกข์ที่มี มีเรื่องอัดอั้นมากมายที่นางเก็บไว้ต้องการใครสักคนที่พร้อมรับฟังอย่างเข้าใจ สายตาอาทรของนายหญิงที่มองมา สื่อให้นางรู้ว่า ไม่เป็นไร กับคนผู้นี้นางสามารถไว้ใจได้
เมื่อได้ยินว่าดอกโบตั๋นขาวของนางดอกนั้นสิ้นแล้ว นางก็รู้สึกสะท้อนในอก หญิงผู้นั้นเปรียบดังน้องสาว เป็นโบตั๋นขาวของนางที่นางเฝ้าถนอม นางจำได้ถึงครั้งแรกที่รู้จักโบตั๋นดอกนั้น
เด็กหญิงผู้หนึ่ง ยืนถือห่อผ้าสีเข้มแต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงิน เป็นสีที่ไม่เหมาะกับเด็กสาวอย่างยิ่ง นางยืนเหม่อลอยอยู่ในตลาด อีกทั้งยังร้องไห้อย่างน่าสงสาร แววตาล่องลอยไม่จับจุดใดเลย ปากเรียกหาแต่ท่านแม่อยู่ตลอดเวลา
ยามนั้นใกล้ค่ำ นางและสาวใช้ออกไปทำธุระผ่านไปพบ เมื่อลงไปสอบถามก็ไม่ได้ความใด ตนในยามนั้นอายุเพียง 13 ปี เป็นนางโลมฝึกหัดของที่นี่ ด้วยหน้าตางดงามและพรสวรรค์ที่มี ทำให้นางได้รับคัดเลือกให้ฝึกฝนเพื่อเป็นหญิงงามของหอโคมเขียวแห่งนี้
แม้ไม่อยากพาเด็กน้อยคนนั้นมาที่นี่ แต่เด็กหญิงสติเลื่อนลอยพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนั้น หากปล่อยทิ้งไว้ไม่แน่ว่าอาจถูกจับไปขาย นางจึงนำเด็กหญิงกลับมาด้วย
โบตั๋นขาวดอกน้อยของนางความทรงจำเลือนหาย นางไม่รู้ว่านางเป็นใคร มาจากที่ใดและจะไปที่ใด สิ่งที่นางพร่ำเรียกมีแต่คำว่า “ท่านแม่ อย่าไป ท่านแม่..” คำพูดซ้ำๆเหล่านั้นค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา เมื่อนางได้รับการดูแลเอาใจใส่และสั่งสอนสิ่งต่างๆ
สาวงามจิ่งอี๋รับนางมาเลี้ยงไว้ในฐานะสาวใช้ส่วนตัว ไม่ได้สอนศาสตร์ของนางโลมให้ เพราะถือว่านางไม่ได้ขายตัวมา เมื่อนางเติบโตและพร้อมจะไปมีชีวิตเป็นของตนเอง นางก็ยินดี
เมื่อไม่ทราบชื่อ ทั้งตัวในห่อผ้านั้นมีเพียงป้ายไม้สลักคำว่า หลิว เพียงชิ้นเดียว นางคงจะเป็นคนสกุลหลิว จิ่งอี๋จึงมอบชื่อให้นางว่า หลิวฟางเซียน โบตั๋นขาวผู้มีกลิ่นหอมของนาง
หลายปีที่อยู่ด้วยกัน หลิวฟางเซียนเป็นหญิงที่เปรียบดั่งผ้าขาว นางไม่เคยมีจิตคิดร้ายต่อผู้ใด ยินดีช่วยงานทุกคนที่หอตงเหอแห่งนี้ วันหนึ่งนางออกไปช่วยสาวใช้ทำงานในหอตงเหอ จนได้พบกับคุณชายสกุลฮุยผู้นั้น เขาพึงพอใจนางอย่างยิ่ง และได้นัดหมายนางมาพบกันเรื่อยมา
ไม่นานเขาก็มาสู่ขอนาง ยามนั้นดอกโบตั๋นน้อยของนางอายุเพียง 15 ปี แม้ไม่ชอบที่คุณชายฮุยผู้นี้มีฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองอยู่แล้ว แต่เมื่อหัวใจของสาวน้อยมีความรัก นางจึงรับเป็นญาติฝ่ายหญิง ให้แต่งออกพร้อมสินส่วนตัวถึงสามหีบ แม้ไม่มาก แต่ก็มากสำหรับหญิงในหอโคมเขียวแห่งนี้ ไม่นึกว่า นางจะอายุสั้นเพียงนั้น....
“แล้ว.... นางอยู่ที่นั่น.. สบายดีหรือไม่”
นั่นเป็นคำถามที่นางไม่ควรถามออกมาที่สุด เพราะเมื่อถามไปแล้ว อีกสามวันต่อมา นางยังไม่คลายจากอาการเศร้า หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้.. หากรู้ว่าจะมีจุดจบเช่นนี้.. หากรู้ว่าเจ้าจะทุกข์ทนเยี่ยงนี้.. และ... หากรู้ว่าเจ้าจะทิ้งข้าไปแบบนี้.. เซียนเออร์ เจี่ยเจียผู้นี้! จะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร....
หลังจากที่ฟังเรื่องเล่าของหลิวฟงเหมียนจบ นายหญิงอี๋ก็เป็นลมไปทันที กว่าจะแก้ไขให้นางฟื้นก็นานเป็นเค่อ และเมื่อฟื้นคืนสติมาแล้ว นางก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ นางเจ็บปวดจากสิ่งที่ได้ฟัง จนล้มป่วยไปเพราะตรอมใจ
ยามนี้หงซือม่านจึงได้แต่พาเหมียนเออร์ของนางไปดูแล และสั่งสอนเรื่องราวต่างๆในหอแห่งนี้ให้นางเรียนรู้ จนวันที่สาม นายหญิงอี๋จึงเรียกพบพวกนางสองคน
ครานี้สองดรุณีตรงมาห้องของนายหญิงที่ชั้นบนอย่างว่องไว พวกนางทราบว่านายหญิงล้มป่วยและไม่ต้องการพบใครมาสามวันแล้วก็ได้แต่เป็นห่วง ยามนี้นางเรียกพบจึงรีบมาโดยไว
หลิวฟงเหมียนนั้นจิตใจสั่นไหวที่สุด นางอยู่ที่นี่มีชีวิตที่ดี นางกลัวว่านางอาจถูกส่งออกไปจากที่แห่งนี้ นางไม่รู้รายละเอียดหรือเรื่องราวของมารดามาก่อน มารดานางไม่เคยเล่าสิ่งใดให้ฟัง นางบอกเพียงว่าเป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่ที่หอโคมเขียวจนแต่งออกมาเป็นอนุให้บิดา เรื่องนอกเหนือจากนั้น นางไม่เคยกล่าวถึง!
เมื่อผ่านประตูเข้ามาคราวนี้ สาวงามอันดับหนึ่งผู้นั้นนั่งรออยู่บนตั่งอยู่แล้ว แม้ใบหน้ายังซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงงดงามเหมือนเดิม
“พวกเจ้ามาแล้วหรือ เข้ามานั่งใกล้ๆข้าสิ เหมียนเออร์ ให้ข้าได้ดูหน้าเจ้าชัดๆ”
เมื่อเป็นคำสั่ง ฟงเหมียนก็ขยับเข้าไปใกล้นายหญิงอีก คราวนี้นั่งจนชิดตั่งของนางทีเดียว
“คล้ายมากจริงๆ เจ้ามีใบหน้าคล้ายมารดาของเจ้ามาก ยามนั้นเมื่อนางอายุราว 10 ขวบ ก็มีใบหน้าเช่นนี้ อาเหมียน เจ้ารู้หรือไม่ ว่ามารดาของเจ้านั้น เปรียบดั่งน้องสาวแท้ๆของข้า”
“เมื่อก่อนเราสนิทสนมรักใคร่กันมาก นาง... คือดอกโบตั๋นขาวของข้า”
“เหตุใด.. ในยามนั้น นางถึงไม่เคยมาพบข้าเลย หากข้ารู้ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าสองแม่ลูกตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แน่!”
หญิงงามมีแววตาเจ็บแค้น แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“อาเหมียน ข้า.. ขอดูป้ายสกุลหลิวของเจ้าได้หรือไม่”
นางต้องการดูสิ่งสำคัญของน้องสาวนางอีกครั้ง สิ่งนั้นสำคัญมากเพียงใด นางย่อมรู้ดี
เด็กหญิงค่อยๆปลดเชือกที่คล้องอยู่ที่เอวด้านในออกมา ป้ายไม้อันนั้นห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวนวล ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นยังปักลายปักษาตัวเล็กที่มุมหนึ่ง ทันทีที่เห็นลายปัก นายหญิงอี๋ถึงกับตกตะลึง นี่ฟงเหมียนของนางถึงกับมีผ้าผืนนั้น
แม้อยากซักถาม แต่นางรู้ว่าไม่ถึงเวลา ในห่อผ้านั้น ปรากฏป้ายไม้สนสีดำสนิท สลักอักษรงดงาม หลิว เพียงคำเดียวที่โดดเด่นไม่ธรรมดา
นายหญิงอี๋ค่อยๆนำป้ายนั้นขึ้นมาลูบคลำอย่างถนอม หลิวฟางเซียน น้องสาวตัวน้อย ดอกโบตั๋นขาวของข้า นายหญิงอี๋นำป้ายไม้นั้นยกขึ้นมาแนบแก้ม น้ำตานางไหลลงมาเป็นสาย งดงามดั่งดอกท้อต้องฝน หญิงงาม แม้ร้องไห้ก็ยังงาม!
ฟงเหมียนและหงซือม่านได้แต่นั่งนิ่งด้วยไม่อยากรบกวนการรำลึกถึงบุคคลที่นายหญิงกล่าวว่านางเป็นน้องสาว กระทั่งผ่านไปหนึ่งเค่อ สาวงามผู้นั้น จึงคืนป้ายไม้สกุลหลิวแก่ฟงเหมียนก่อนกำชับอีกครั้ง
“ฟงเหมียน สิ่งนี้คือของต่างหน้าของท่านยายของเจ้า ยามนี้ยังเป็นของต่างหน้าของแม่เจ้าด้วย เจ้าจงรักษาไว้ให้ดี เก็บไว้ให้เป็นของสำคัญ วันหนึ่งหากพวกเขามาตามหา เจ้าอาจได้พามารดากลับสู่ครอบครัวที่แท้จริงของนาง”
นายหญิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งจึงกล่าวต่อ
“ข้าจะไปที่สุสานนอกเมือง เพื่อนำเถ้ากระดูกของนางมาทำพิธีให้เหมาะสม และนางจะได้อยู่ในสุสานของคนสกุลเหอ สกุลเดียวกับข้า”
“เหอจิ่งอี๋ผู้นี้ ขอรับมารดาของเจ้าเป็นน้องสาวบุญธรรม ให้นางใช้แซ่เหอ เป็น เหอฟางเซียน เจ้าจะว่าอย่างไร”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟงเหมียนน้ำตาคลอ หันไปรินชามาถ้วยหนึ่ง
“คาราวะท่านน้า แม้ข้าจะยังคงแซ่หลิว แต่ยามนี้ ข้าขอคาราวะนับถือท่านเป็นญาติฝ่ายมารดา นับแต่นี้ข้า หลิวฟงเหมียนจะเคารพและกตัญญูต่อท่าน ตราบสิ้นลมหายใจ”
กล่าวจบ ฟงเหมียนน้อยก็ยกน้ำชาคาราวะเต็มพิธีการ อย่างการคาราวะญาติผู้อาวุโส เมื่อสิ้นการคำนับ นายหญิงอี๋ก็โอบกอดเด็กหญิงไว้ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน
“ฟงเหมียน นับจากนี้ชีวิตเจ้าจะไม่เดียวดาย เจ้ามีอาหงเป็นสหาย และมีข้า เหอจิ่งอี๋ เป็นญาติผู้ใหญ่ ไม่ว่าใครก็จะรังแกเจ้าไม่ได้อีก!”
แม้อ้อมกอดนี้จะไม่อบอุ่นเท่าอ้อมกอดของมารดา แต่ก็อบอุ่นไม่น้อย ยามที่นางคล้ายออกมายืนอยู่ที่โล่งท่ามกลางพายุหิมะ อ้อมกอดนี้อบอุ่นและปลอดภัย นางรู้สึกโชคดีอีกครั้งที่ถูกขายมายังหอโคมเขียวแห่งนี้