ไร้เสียงตอบรับ

2239 Words
ฮุยจิ่นจงเมื่อเห็นฟงเหมียนอยู่บนต้นไม้ก็หัวเราะ เขาไม่เคยเห็นคนปีนต้นไม้ได้ตลกและรันทดได้เท่านี้มาก่อน ลูกหญิงรับใช้ผู้นี้เขาเคยกลั่นแกล้งมาหลายครั้งก็ไม่มีคนดุด่าว่ากล่าว เขาจึงสามารถแกล้งเล่นได้ยามเมื่อมีโอกาส เช่น ยามนี้ เขาเกณฑ์สมัครพรรคพวกที่เป็นลูกบ่าวไปเก็บก้อนดินก้อนหินมาช่วยกันขว้างลิงมนุษย์ผู้นี้ ยามนี้เด็กหญิงทั้งเมื่อยจากการปีนป่ายยังต้องเจ็บปวดจากการถูกเขวี้ยงก้อนดินอีก และแล้วก้อนดินลูกหนึ่งก็โดนเข้ากับหัวของนาง ตอนนี้นางรับรู้ถึงเลือดที่ไหลออกมาจากแผลนั้น นางกังวลว่ามารดาคงต้องเสียใจอีกแน่ แต่ยามนี้นางจะหลบหนีก็หลบหนีไปไม่ได้ เป็นได้เพียงเป้านิ่งให้เด็กกลุ่มนี้ได้ขว้างปาอย่างสนุกสนาน แต่แรงเด็กก็ไม่ได้มาก ตำแหน่งที่นางอยู่ก็ค่อนข้างสูง พวกเขาจึงปาไม่ค่อยโดน มีเพียงฮุยจิ่นจงเท่านั้น! ที่ปาแม่นแทบทุกลูก! “พวกเจ้าทำอะไร!” มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางหน้าจวน มีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเหนือใครผู้หนึ่งยืนอยู่กับชายชุดสีน้ำเงินเข้ม เมื่อเห็นผู้มาใหม่น่าเกรงขาม เด็กๆกลัวความผิดก็วิ่งแตกฮือ มีเพียงฮุยจิ่นจงเท่านั้นที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ “พวกข้าเปล่า! พวกข้ากำลังเล่นสนุกกันอยู่ บ่าวผู้นั้นเป็นบ่าวในเรือนข้า ข้าจะเล่นสิ่งใดกับนางก็ได้ ว่าแต่ท่านล่ะ ท่านเป็นใคร ทำไมถึงมาเดินซี้ซั้วในบ้านผู้อื่น” เมื่อได้ยินวาจาโอหังจากเด็กเกเรคนนี้ชายชุดน้ำเงินก็เดินออกมาหนึ่งก้าว แววตาเย็นชานั่นจับจ้องไปที่ฮุยจิ่นจงอย่างเอาเรื่อง เด็กชายตัวน้อยถึงกับผงะ เขาแทบจะร้องให้อยู่แล้ว “ไม่ต้องอาซาน เขายังเด็ก” เด็กหนุ่มอายุประมาณ 15 ปี กางมือออกมากั้นคนของตนไว้ ก่อนเด็กนี่จะได้ถูกสั่งสอน “เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าคือใคร แต่ข้าคือแขกของเสนาบดีฮุย เจ้าคงไม่อยากล่วงเกิน ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป ไปเสียสิ” สิ้นคำฮุยจิ่นจงก็โกยอ้าวหนีไปทันที สองคนนี้บรรยากาศรอบตัวน่ากลัว เขาก็ไม่อยากอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เด็กหนุ่มปรายสายตาไปยังต้นสนที่ยังมีลิงมนุษย์เกาะอยู่ ชายชุดน้ำเงินรับคำสั่งทางสายตาก็เหินขึ้นไปบนต้นไม้ปลดผ้าและนำคนลงมายังพื้นดินได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่ถูกวางลง เด็กหญิงก็ร่วงลงไปนั่งแหมะกองอยู่ที่พื้น ยามนี้ขานางไม่มีแรงแม้จะยืนด้วยซ้ำ นางไม่คิดว่าบนโลกนี้ยังจะมีคนใจดี ช่วยผู้ที่กำลังถูกรังแกด้วยซ้ำ ปกติมีแต่ถูกแกล้งไม่เคยถูกช่วย เด็กหญิงทำหน้าไม่ถูกจนลืมกระทั่งขอบคุณ เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรมาก เขานำผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ เช็ดคราบเลือดให้นาง ก่อนลุกขึ้นและเดินจากไปทางหน้าจวนเหมือนตอนขามา เหมือนเขาจงใจเดินมาช่วยหยุดเด็กเกเรเพียงเท่านั้น พักใหญ่ นางยกผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นมามอง ผ้าเนื้อดีสีขาวนวลปักลายปักษาสยายปีกตัวเล็กตรงมุมหนึ่งของผ้า บ่งบอกว่านี่คือผู้สูงศักดิ์หรือคุณชายคนสำคัญของจวนใดจวนหนึ่งแน่ นางเก็บผ้าผืนนั้นไว้ หากมีโอกาสนางก็อยากจะนำไปคืน ก่อนค่อยๆลุกและหอบร่างกายฟกช้ำอีกครั้งกลับเรือน เด็กหญิงรีบเช็ดเนื้อตัวและนำผ้าชุบน้ำเช็ดคราบเลือดจนสะอาด ก่อนนั่งรอมารดากลับจากทำงานในครัว ยามนี้บ่ายมากแล้ว มารดาน่าจะกำลังเช็ดถูในครัวใกล้เสร็จแล้ว ไม่นานประตูก็เปิดออก มารดาที่นางรอคอยก็กลับมา นางนำซาลาเปาชิ้นหนึ่งกลับมาด้วย นางกล่าวว่าวันนี้มีคนสำคัญมาที่จวน คุณหนูรองจึงแสดงเมตตาแจกซาลาเปาบ่าวไพร่ในจวนทุกคน นางก็ออกไปรับของแจกด้วย และนำกลับมาให้บุตรสาวของนางแทน ฟงเหมียนไม่ได้สนใจประโยคอื่น นอกจากวันนี้จวนมีแขก คงจะเป็นเขาคนนั้นกระมัง ก็ไม่แปลก เพราะชายหนุ่มผู้นั้นหล่อเหลา ทั้งยังมากเมตตาขนาดนั้นคุณหนูรองจะให้ความสำคัญถึงขั้นลุกมาลงทุนเล่นละครฉากใหญ่ก็สมควรอยู่ “ท่านแม่ ท่านดูนี่สิ” เด็กหญิงนำเงิน 10 อีแปะออกมาจากอกเสื้อให้มารดาดู หลิวฟางตกใจเหตุใดบุตรของนางจึงมีเงินได้ หรือใครให้มา “เหมียนเออร์ เงินพวกนี้เจ้าได้มาจากที่ใด” “ท่านแม่ วันนี้ข้าแอบไปช่วยงานอาแปะที่ร้านขายผัก เขาใจดีมาก ให้เงินข้ามาสิบอีแปะ เขายังบอกอีกว่า หากไปอีกเขาจะให้เงินข้าทุกวัน ท่านแม่ข้าจะมีเงินไปซื้อยาให้ท่านแล้ว!” “นี่เจ้าไปทำงานรับจ้างหาเงินมาเพื่อแม่หรือเหมียนเออร์ เจ้าไม่ต้องลำบากเพิ่มอีกแล้ว แค่งานทุกวันที่เจ้าทำอยู่ก็มากแล้ว เจ้าจะเหนื่อยเพิ่มไปทำไม” นางยินดีที่บุตรสาวทำเพื่อนาง แต่การออกนอกจวนโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่ามีความผิด อาจโดนโทษโบยได้ “ท่านแม่ ข้าไปไม่นาน ทำงานแค่วันละสองชั่วยามเท่านั้น ท่านให้ข้าไปเถอะนะ ข้าจะทำงานเก็บเงินไว้ซื้อยาให้ท่าน นะ ท่านแม่ นะ” นางทนสายตาอ้อนวอนและแวววาวอย่างภูมิใจที่ตนสามารถหาเงินมาได้ไม่ไหว จึงพยักหน้ารับปากไปก่อน หากมีเรื่องใด นางก็ค่อยรับโทษแทนบุตรสาวก็ยังไหว ยามเมื่อนางยกมือลูบหัวของบุตรนาง ฟงเหมียนน้อยที่ลืมตัวก็ครางออกมาอย่างเจ็บปวดเพราะมารดาลูบโดนแผลนางเข้าพอดี “อูยยยย” “อะไรกัน! นี่เจ้าบาดเจ็บหรือ! ไหน! ขอแม่ดูหน่อย” นางรีบแหวกผมของบุตรสาวออกก็เห็นรอยแผลที่เลือดหยุดไหลไปแล้ว นางตกใจจนยกมือกุมอก นี่บุตรของนางได้แผลอีกแล้วหรือ “เกิดอะไรขึ้น ไหนเจ้ารับปากแม่ว่า..” “ท่านแม่ฟังก่อน ข้าก็อยากวิ่งหนีกลับมาหาท่านเจ้าค่ะ แต่ว่า..” เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกถ่ายทอดให้ผู้เป็นมารดาฟัง “โชคยังดี ที่มีผู้ใจบุญมาช่วยเจ้าไว้ ไม่อย่างนั้น..” นางฟุบหน้าลงกับฝ่ามือ กี่ครั้งกี่คราที่พวกนางถูกกระทำสารพัดเพียงฝ่ายเดียว พวกนางไม่เคยทำสิ่งไม่ดีหรือรังแกผู้คน ทำไมพวกเขาจึงทำกับนางและบุตรสาวถึงเพียงนี้ ฟงเหมียนช่างน่าสงสาร มีบิดาก็คล้ายกับไม่มี คนผู้นั้นไม่นับบุตรของนางเป็นลูกด้วยซ้ำ! แต่เดิมฟงเหมียนของนางคือคุณหนูสี่ นางเกิดปีเดือนเดียวกันกับคุณหนูสาม แต่หลังจากวันไฟไหม้ นางก็ถูกปลดเป็นเพียงบ่าวในจวน สองปีถัดมาจวนแห่งหนี้ก็มีคุณหนูเกิดมา และถูกตั้งให้เป็นคุณหนูสี่แทนที่บุตรของนาง และพวกนางต้องทนรับเคราะห์กรรมต่างๆนาๆ จนฟงเหมียนของนางอายุ 10 ขวบแล้ว ก็ยังถูกรังแกไม่เสื่อมคลายและเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตของพวกเขาทั้งหลาย ********* วันเวลาผ่านมาถึงสี่วัน ยามนี้ฟงเหมียนตัวน้อยได้รวบรวมเงินไปซื้อยามาให้มารดาได้สำเร็จ เมื่อนำห่อยาไปเก็บนางก็รีบไปพบมารดาที่โรงครัว ไปถึงก็พบมารดากำลังขัดหม้อและเครื่องครัวอยู่เพียงลำพัง พวกเขาก็เช่นนี้ พอมีคนทำให้พวกเขาก็อู้งานกัน ไม่เคยคิดมาช่วยมารดาของนางเลย นางจึงเข้าไปช่วยมารดาถูพื้นครัวจนสะอาดเอี่ยม “ท่านแม่ วันนี้ข้าซื้อยามาให้ท่านแล้วนะ ข้าใช้เทียบยาที่ท่านหมอเคยให้มา ท่านต้องอาการดีขึ้นแน่” เด็กหญิงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ที่หาทางช่วยมารดาได้ “จริงหรือ เจ้าเก่งมาก งานเสร็จแล้วเรากลับเรือนกันเถอะ” “เจ้าค่ะท่านแม่ เรากลับเรือนกัน” เด็กหญิงต้องการกลับเรือนไปจุดเตาเล็กเพื่อต้มยาให้มารดาตามที่หวัง สองแม่ลูกเดินพูดคุยหยอกล้อไปตลอดทาง ค่ำคืนนั้น ทั้งคู่นอนกอดกันหลับใหลไปด้วยใจที่เป็นสุข อาทิตย์ต่อมาหิมะเริ่มโปรยปรายลงมา อาการของมารดาดีขึ้นมากแล้ว พักนี้นางไม่ค่อยมีอาการไอ เด็กหญิงยังคงแอบออกไปทำงานเพื่อนำเงินมาซื้อยารักษามารดาเช่นเคย วันนี้ก็เช่นเดียวกัน สองเท้าน้อยๆที่ย่ำลงไปบนหิมะแรกของปี ทำให้เกิดรอยบุ๋มกระจุ๋มกระจิ๋มไปตลอดทาง เสื้อคลุมที่ใส่มาถึงสองตัววันนี้แทบไม่ช่วยอะไร ความหนาวเย็นแทรกเข้ามาด้านในตัวเสื้อ รองเท้าของนางก็เปียกแฉะ อากาศที่หนาวเหน็บทำให้ลมหายใจเกิดควันกรุ่นยามหายใจออก นางกอดตัวเองให้แน่นขึ้นด้วยหวังว่าจะช่วยปัดเป่าความหนาวเย็นได้แม้สักเล็กน้อย แต่กระนั้นความพยายามก็ไม่สูญเปล่า ในที่สุดเด็กหญิงก็มาถึงร้านค้าขายผักของอาแปะ ยามหน้าหนาวผักมีน้อย ร้านขายผักของอาแปะที่เคยมีผักกองโต บัดนี้เหลือเพียงผักกาดและหัวไชเท้าไม่กี่กอง เขาให้นางนั่งพักก่อนเริ่มจัดการผักให้อยู่ในสภาพดีที่สุด ผักพวกนี้หัวเล็กจ้อยดูไม่สมบูรณ์ หากดึงทิ้งไปมากก็คงไม่เหลืออะไรให้กินแล้ว นางต้องนำผักลงไปล้างในกะละมังน้ำเย็นจัด จนบัดนี้ผักกองขนาดย่อมแล้วเสร็จ มือนางก็แข็งไม่ต่างจากน้ำแข็งก้อนหนึ่ง นางรีบนำมือซุกลงไปในพุงของตนเพื่อให้มันอบอุ่นขึ้น ช่วงนี้ราคาผักแพงมาก คนก็ออกมาซื้อหาน้อยลง รายได้จากการขายผักก็น้อยลงตาม แต่กระนั้นอาแปะก็ยังจ่ายให้นางวันละสิบอีแปะอยู่ดี เขาชื่นชมในความขยันและอดทนของเด็กหญิงผู้นี้ เมื่อได้รับค่าแรงแสนมีค่าแล้ว นางก็โค้งคำนับขอตัวจากมาเช่นทุกวัน เมื่อกลับมาถึงจวนก็พบกับอาซินยืนกระวนกระวายอยู่ “ฟงเหมียนเจ้ามาแล้ว! เจ้าหายไปไหนมา มารดาเจ้าเกิดเรื่องแล้ว!” คราแรกนางคิดว่าอาซินคงมาเรียกไปใช้งานเช่นเคย แต่พอได้ยินว่ามารดาเกิดเรื่องห่อยาที่อุตสาห์เดินฝ่าลมหนาวไปซื้อมาจากร้านอีกสองถนนก็ร่วงหล่นจากมือ มือที่เย็นอยู่แล้วรู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมาอีก “ท่านแม่! ท่านแม่อยู่ไหน! เกิดอะไรขึ้นหรือพี่อาซิน!” “อย่าพึ่งถามเลย เจ้าไปดูเองเถอะ ตอนนี้อยู่ที่โรงครัวแหนะ” นางรีบวิ่งออกไปโดยไม่สนว่าหิมะกำลังตกลงมาอีกแล้ว ถนนที่ปกคลุมหิมะนั้นลื่น แม้นางจะลื่นล้มไปหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สามารถค่อยๆเดินอย่างระวังได้อีก เด็กหญิงยังพยางยามลุกขึ้นวิ่งต่อไป นางต้องการพบมารดาให้เร็วที่สุด เกิดอะไรขึ้น! นี่นางมัวแต่ค่อยๆเดินอย่างระมัดระวังไปซื้อยาเลยกลับมาช้าใช่หรือไม่ นางรีบวิ่งมาถึงโรงครัวก็พบกับบ่าวสี่ห้าคนยืนล้อมวงดูบางสิ่งอยู่ ตรงนั้น! ร่างเปียกโชกของมารดานอนอยู่บนพื้นเย็นๆ ใบหน้านางขาวซีด ริมฝีปากเขียวช้ำ ฟงเหมียนรีบวิ่งไปฟุบหน้าลงกับอกของมารดา นางเรียกมารดาอย่างตื่นตระหนก เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ “ท่านแม่! ข้ากลับมาแล้ว! ฟงเหมียนกลับมาแล้ว! ท่านเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น!” “พวกท่าน! ป้าลิ่ว ท่านลุงห้าว! พวกท่านตามหมอมาหรือยัง ข้อขอร้อง ตามหมอมาให้ข้าด้วย! ข้ามีเงินนะ ขอร้อง! ตามหมอให้ข้าที ฮือ... ท่านแม่ ฮือ.. ท่านตื่นก่อน ท่านแม่..” แม้นางจะปลุกเรียกอย่างไร มารดานางก็ไม่ตื่นหรือมีวี่แววว่าจะรู้สึกตัวเลย มือเท้าของมารดาเย็นซืดไปหมด เด็กหญิงทั้งร้องไห้ ทั้งตะโกนให้ทุกคนตามหมอ.. แต่พวกเขาก็เอาแต่ยืนนิ่ง.. ไม่มีสิ่งใดไหวติงเพื่อตอบสนองความต้องการของเด็กตัวน้อย แม้กระทั่งลมหายใจของอดีตอนุหลิวฟางผู้นั้นก็เช่นกัน มันไม่ขยับมาได้พักใหญ่แล้ว... พวกเขาได้แต่ยืนนิ่งมองเด็กน้อยร้องไห้เรียกหามารดาอย่างรันทดใจ หิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก คล้ายจะร้องไห้เป็นเพื่อนหลิวฟงเหมียน เด็กน้อยผู้อาภัพที่กำลังกอดมารดาครั้งสุดท้ายในครัว ท้ายจวนสกุลฮุย! **********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD