การหลงไปในมิติคู่ขนานหรือที่เขาเรียกว่าเมืองลับแลแบบไม่ได้ตั้งตัวนั้น ทำเอาภูผาประสาทเสียกว่าเดิมเป็นเท่าตัวทีเดียว วันนี้ไม่ใช่วันของเขาเลย เจอแต่เรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ ผู้หญิงคนนั้นก็กระหน่ำโทรมาไม่หยุดจนเขาต้องปิดโทรศัพท์มือถือไป ไม่อย่างนั้นไม่ได้พักแน่
ภูผาเริ่มตั้งสติได้หลังจากเลือกหนังสือในกองดองที่มีเล่มแล้วเล่มเล่า แล้วเลือกไม่ได้สักทีจนสุดท้ายตัดสินใจที่จะนอนพักผ่อน
นอนนี่ละที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
เขาทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆ เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไม่หลับหรอก เขารู้ แค่หลับตานอนเฉยๆ ทว่านั่นน่าจะทำให้เขาสงบสติอารมณ์ลงได้ หากแต่เมื่อกำลังจะหลับตา พลันนึกขึ้นได้ว่าตอนเดินเข้าบ้าน เขาหยิบหนังสือจากร้านหนังสือเก่าในมิติคู่ขนานติดมาด้วย พลันลุกขึ้นไปคว้าหนังสือเล่มนั้นที่อยู่บนโต๊ะกลับมาที่เตียง
ก่อนจะนอนเอกเขนก็ขอเปิดดูสักหน่อยเถอะว่าหนังสือเมืองลับแลมันเป็นอย่างไร
หากแต่เมื่อเปิดออกดู นอกจากหน้าแรกที่เป็นรูปวาดของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดไทยสีแดงเลือดนกพร้อมเครื่องประดับ
สีทองแวววาวทั้งตัวแล้ว หน้าอื่นๆ กลับเป็นกระดาษว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยจารึกตัวหนังสือเลยสักนิด
“หนังสือหรือสมุดวะ”
เขาพึมพำ มันควรเป็นสมุดมากกว่า ก่อนเขาจะเข้าใจได้ว่าทำไมเจ้าของร้านถึงได้บอกว่าให้เขาฟรีๆ ที่แท้เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง
ภูผาไม่ได้อารมณ์เสีย มีแต่ความคิดวกวนตอกย้ำในหัวว่าวันนี้ไม่ใช่ของเขาจริงๆ ทีนี้นอนต่อไม่ลงละ ลุกขึ้นมาจัดการกับหนังสือ...ไม่สิ สมุดนี้ให้สาแก่ใจก่อน เขาคว้ากรรไกรจากลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง ตัดเอารูปวาดนั้นออกมา พลันเดินไปหากรอบรูปพลาสติกที่ซื้อมาเก็บไว้นมนามตาปีเอามาใส่รูปนั้นวางไว้ข้างหัวเตียง
ไม่มีเหตุผลว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น แค่รู้สึกว่าอยากทำ ทำแล้วรู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด
คนคุยคนล่าสุดของเขาสวยนะ แต่สู้ความสดสวยของผู้หญิงในรูปวาดนี้ไม่ได้เลย เธอห่างไกลคำว่าสเปกเขาอยู่โข
แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามีเสน่ห์ชวนมองอย่างน่าประหลาด ขนาดรูปวาดแท้ๆ ถ้าเป็นตัวจริง เขาคงหลงละเมอได้ไม่ยาก
“ถ้ามีตัวตนจริงๆ กากีคงสวยแบบนี้แหละ ไม่งั้นผู้ชายคงไม่แย่งกันหูดับตับไหม้”
ชายหนุ่มพึมพำ นึกถึงเนื้อเรื่องวรรณคดีเรื่องกากีขึ้นมา เขาไม่รู้รายละเอียดเนื้อหาลึกๆ แต่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเธอแต่งงานกับกษัตริย์เมืองหนึ่ง จากนั้นก็ถูกพญาครุฑจำแลงกายเป็นมาณพหนุ่มที่มาเล่นสกากับพระสวามีของเธอเป็นประจำลักพาตัวไป เนื้อเรื่องต่อจากนั้นเหมือนกับว่าเธอจะถูกผู้ชายอีกหลายคนแย่งตัวกัน จนสุดท้ายเธอได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้หญิงเจ้าชู้
เรื่องนั้นภูผาไม่สนใจหรอก เขาเป็นจิตรกร สนใจแต่เรื่องวาดรูปไปวันๆ ถึงวรรณคดีจะเป็นอีกแขนงของงานศิลปะ แล้วเขาก็ชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสนใจศึกษาอย่างลึกซึ้ง แค่ตอนโดนบังคับเรียนสมัยเด็กก็เต็มกลืนแล้ว
เขาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ตั้งใจจะทำสมาธิ ทำไปทำมา ผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ตัวทั้งนั้น รู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนที่ถูกวัตถุบางอย่างมาวางพาดบนลำตัว เขาสะลึมสะลือลืมตาตื่น ดวงหน้าผุดผาดของหญิงสาวผู้หนึ่งประจักษ์สู่สายตา แวบแรกเขาคิดว่าความฝัน เพราะเธอมีหน้าตาเหมือนกับนางกากีใน
รูปวาดที่เขาเห็นเลย และพอเธอกระชับกอดร่างกายเขา เขากลับโอบกอดเธอกลับด้วย ราวกับว่าต่างฝ่ายต่างเป็นหมอนข้างนุ่มนิ่มให้แก่กัน หากทว่าลมหายใจอุ่นร้อนที่คลอเคลียผ่านใบหน้าก็ทำให้เขารู้สึกตัว
ไม่! ไม่ใช่ความฝัน ความฝันไม่น่าจะมีลมหายใจอุ่นๆ แบบนี้!
ถึงกับเด้งตัวลุกผึง ทำเอาหญิงสาวที่นอนอุตุอยู่กระจัดกระจายไปคนละทาง เธอเองก็สะดุ้งตื่นเหมือนกัน ดวงตาหลุกหลิก ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นว่าตรงหน้ามีผู้ชายอยู่
“คุณ...!”
“นี่ข้าโดนลักพาตัวมาอีกแล้วรึ!?”
ต่างคนต่างร้องเสียงดังใส่กัน หญิงสาวพรั่งพรูออกมาไวกว่าจึงมีคำถามหลุดมาทั้งประโยค ขณะที่ภูผายังงุนงง
ลักพาตัว? ลักพาตัวอะไรกัน!
“เจ้า...เจ้า...ผู้ชายไร้ยางอาย ดีแต่ลักพาตัวอิสตรี!” พลันฟาดงวงฟาดงาขึ้นมา คว้าหมอนมาขว้างปาใส่คนตรงหน้าเป็นการใหญ่ ทำเอาภูผาต้องหลบเป็นพัลวัน
“ผมไม่ได้...โอ๊ย! ผมไม่ได้ลักพาตัวคุณมา เข้าใจผิดแล้ว!”
ไม่ทันจะได้ปฏิเสธ หมอนที่ถูกปาอัดหน้าทำให้ภูผาเสียจังหวะ ร้องโอดโอยออกมาคำรบหนึ่ง ก่อนจะปัดป้องข้าวของอื่นๆ ใกล้มือที่เธอขว้างใส่อีกระลอก
“ไม่ได้ลักพาตัวข้ามา แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร!” เธอยังไม่หยุด ทั้งปาของใส่ ทั้งโวยวาย
ภูผาหลบหลีกไม่หยุด เขาตัดสินใจคว้าเอาข้อมือเล็กที่กำลังแกว่งไปมาไว้มั่น ไม่อย่างนั้นเขาได้ถูกปาของใส่อีกแน่
“ผมจะไปรู้เหรอ นี่บ้านผม นอนอยู่ดีๆ คุณก็โผล่มานอนข้างๆ แล้ว!”
คราวนี้หญิงสาวหยุดได้ หากแต่ดวงตาฉายตวาม
เกรี้ยวกราดไม่เลิก
“แล้วที่แห่งนี้คือที่ใด” เธอคาดคั้น
ภูผารู้สึกแปลกอยู่หรอกกับสำนวนการพูดที่ฟังดู
โบร่ำโบราณ ทว่าไม่ได้สนใจอะไรมากก่อนใช้มืออีกข้างที่ว่างชี้ไปรอบๆ ห้อง
“บ้านผม”
“บ้าน?”
“ดูสิ มันคุ้นตาว่าเหมือนบ้านคุณหรือเปล่า ถ้าไม่คุ้นก็บ้านผม”
หญิงสาวมองตามปลายนิ้ว นั่นสิ ไม่คุ้นเลย ไม่ใช่ไม่คุ้นแค่การตกแต่งภายในด้วยนะ ไม่คุ้นบรรยากาศ ไม่คุ้นกับสิ่งก่อสร้างรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ผิดแผกไปจากที่เธออยู่แต่เดิมเป็นอย่างมาก
“วิมานรึ เจ้าเป็นตัวอะไร”
ภูริย่นคิ้วหนัก วิมานว่าต้องแปลไทยเป็นไทยแล้วนะ
ได้ยินคำถามว่าเขาเป็นตัวอะไร เขาแทบกุมหัว
“เป็นคนนี่แหละคุณ ไม่ใช่คนแล้วจะให้เป็นตัวอะไร”
“ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นเจ้าครุฑทราม มาฉุดคร่าข้าไปอีก
น่ะสิ”
ภูผาชะงัก “ครุฑทราม?”
“พระยาเวรตะไล”
งงไปอีกชั่วครู่ ก่อนร้องอ๋อ “พญาเวนไตย” แล้วตระหนักขึ้นมาได้ “อย่าบอกนะว่าคุณคือนางกากี?”
หันไปมองรูปที่วางอยู่ข้างเตียง หน้าตาของหญิงสาวในรูปเหมือนกันกับคนตรงหน้าอย่างกับแกะ ไม่ใช่นางกากีแล้วจะเป็นใครล่ะ!?
“รู้นามข้าได้เยี่ยงไร” อีกฝ่ายแลงุนงง
ภูผาถึงกับตบหน้าตัวเองเปาะแปะ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ตื่นแน่หรือยังไอ้ผา”
เขาคิดว่าตัวเองฝันแน่ๆ แต่เมื่อครู่ที่โดนหมอนปาอัดหน้า ความรู้สึกมันสมจริงมากเลยนะ เขาไม่คิดว่ามันคือความฝันหรอก ความฝันต้องไม่สมจริงขนาดนี้
“ว่าแต่ข้ามาอยู่ที่แห่งนี้ได้เช่นไร” กากีเหลือบมองซ้ายขวา สายตาหวาดระแวงระคนหวาดหวั่นไม่น้อย
“ผมก็ไม่รู้” ภูผาหัวแทบระเบิด คิดอะไรไม่ออกเลย
“รังพวกครุฑนรก”
ยังจะหาว่าเขาเป็นครุฑอีก ภูผาลูบใบหน้าตัวเองหลายครั้งซ้ำไปซ้ำมา พลันตระหนักขึ้นมาได้
ในเมื่อคนตรงหน้าคือนางกากี งั้นก็แสดงว่า...หลุดออกมาจากหนังสือน่ะสิ!?
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด ทว่าในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
เขาต้องแก้ปัญหา แต่การแก้ปัญหาอันดับแรกคือเอาปัญหาไปให้คนที่โยนปัญหามาให้เขาแก้นั่นล่ะ
เท่านั้นชายหนุ่มลุกพรึ่บจากเตียงนอน ร้องเรียกหญิงสาวที่ยังหันมองซ้ายขวาสำรวจสถานที่แปลกตาอยู่ทันที
“ไปคุณ ลุก”
“ไปไหน”
“ไปส่งคุณกลับไง”
“กลับที่ใด อย่าบอกนะว่าวังของพญาเวน...อะ...อะไร”
ไม่ทันได้พูดจบ ภูผาเดินตรงเข้ามาหา ยกมือไหว้ไปหนึ่งดอกแล้วพูดเร็วๆ
“ขออนุญาตนะครับ”
กากีงงไปชั่วขณะ พลันเข้าใจได้ว่าที่โดนยกมือไหว้นั้นเป็นเพราะอะไรเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาฉุดข้อมือเธอเอาไว้
“ว้าย เจ้าจะทำกระไร!”
“ไม่ได้ทำอะไร”
“ฉะ...ฉุดคร่า! ฉุดคร่าแน่ๆ! ช่วยด้วย! มีผู้ใดอยู่บ้างไหม ช่วยข้าด้วย!”
บอกว่าไม่ได้ทำอะไรไงเล่า!
หงุดหงิดจนเส้นประสาทในสมองเต้นเป็นจังหวะสามช่า หากแต่เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ได้แต่ลากถูลู่ถูกังพร้อมคว้าหนังสือมาที่หน้าบ้าน จับหญิงสาวยัดเข้าไปในรถอย่างทุลักทุเล เสียงดังโวยวายชนิดชาวบ้านชาวช่องออกมามองคอยืดยาวเป็นทิวแถว
“ญาติน่ะครับ สติไม่ค่อยดี อาการกำเริบเลยรีบพาไป
โรง’บาล”
“ปล่อยข้านะ ปล่อย! ช่วยด้วย! ครุฑนรกผู้นี้จะฉุดคร่าข้า!”
ปัง!
ดีที่หญิงสาวแต่งองค์ทรงเครื่องเสมือนเสียสติจริงๆ ซ้ำยังพูดไม่รู้เรื่องอีก เลยเชื่อคำภูผาได้ไม่ยาก แม้ว่ายังจะเฝ้ามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ไม่เลิกก็ตาม
ภูผาไม่สนใจอะไรแล้ว เรื่องคนข้างบ้าน ไว้เขากลับมา
ปั้นเรื่องอธิบายได้ เอาให้หญิงสาวหายไปจากข้างๆ เขาก่อน