บทนำ

2308 Words
บทนำ “ถ้าคุณคุยกับผมคนเดียวไม่ได้ เราก็ไม่ต้องคุยกันหรอก” น้ำเสียงนิ่งเรียบกรอกผ่านโทรศัพท์ หากทว่าสีหน้านั้นกลับดูยุ่งเหยิงยิ่งเสียกว่าหน้าของสุนัขพันธุ์หน้าย่น เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะเขาขับรถออกมาที่ซูเปอร์มาเก็ตใกล้บ้าน แล้วบังเอิญเจอหญิงสาวซึ่งเป็นคนคุยของเขากำลังเดตกับผู้ชายอื่นอยู่ เขาไม่เสียมารยาทเข้าไปทักหรอก มันเป็นเรื่องของเธอ ได้แต่ส่งข้อความไปบอกว่าเขาเห็นอะไร แล้วตัดสินใจอะไร ขณะที่เธอเห็นข้อความพลันรีบโทรกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน ซึ่งแน่ละว่าตกลงกันไม่ได้ จนเขาต้องยื่นคำขาดอย่างนั้น [แต่เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ มิลค์จะคุยกับคนอื่นไปด้วยมันก็ไม่ผิด] ใช่ ไม่ผิด ภูผารู้ ต่างคนต่างโสด เพียงแต่มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน และเพราะความรู้สึกดีนั่นล่ะที่เขาให้เกียรติเธอ ไม่ยอมคุยกับใครนอกจากนี้ เพื่อที่จะได้ดูใจกันและกันอย่างเต็มที่ ความจริงแล้วเขาถูกใจเธอมากทีเดียว ทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตา ประวัติการศึกษา หน้าที่การงาน ฐานะทางบ้าน มีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เขาไม่ยอมให้ใจไปหมด นั่นคือการกระทำของเธอที่ดูจะ แพรวพราวไปกับผู้ชายทุกคนที่เข้ามาในชีวิต อย่างว่า เธอเป็นคนสวยนี่นะ จะมีผู้ชายเข้ามาเป็นตัวเลือกมากมายย่อมไม่แปลก ที่แปลกคือเขานั่นล่ะ “อืม ไม่ผิด แต่ถ้ามิลค์อยากคุยกับคนอื่นนอกเหนือจากผมด้วยก็ไม่เป็นไร ผมก็จะเลิกคุยกับคุณแค่นั้น” [ไม่มีเหตุผลซะเลย!] ปลายสายโวยวาย ประหนึ่งยอมไม่ได้ที่เป็นฝ่ายถูกเท แต่ภูผาไม่ยี่หระ เขาไม่ยอมรับคำกล่าวหานั้นหรอก ถ้าไม่มีเหตุผล เขาจะตัดสินใจอย่างนี้ทำไม “ผมมีเหตุผลของผม แต่ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คุณฟังเพราะผมเคยพูดไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ผมวางนะ” [เดี๋ยวสิผา! มิลค์...] ติ๊ด! ตัดสายไปอย่างไม่ไยดี เขาเป็นคนอย่างนี้ละ บอกว่าไม่มีอะไรต้องพูดแล้วมันหมายความตามนั้น ภูผาถอนหายใจยาว ยอมรับว่าอาลัยอาวรณ์หญิงสาวอยู่ไม่น้อย ทว่าเขาเคยบอกกับเธอแล้วว่าเขารับไม่ได้ที่จะคบหากับผู้หญิงที่มีผู้ชายหลายๆ คนไว้เผื่อเลือก เขาเข้าใจสิทธิในการเลือกของเธอ หากแต่เขาไม่อยากเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น ที่สำคัญ... ในตอนที่ยังเป็นคนคุยกัน ต่อให้สถานะไม่ชัดเจ แต่มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน และถ้าต้องการจะสานสัมพันธ์จริงจัง มันก็ควรที่จะคุยแค่คนเดียวสิ! จะว่าเขาเป็นพวกยึดติดก็ได้ เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ อันที่จริงเป็นปมในวัยเด็กด้วยที่พ่อนอกใจแม่มาโดยตลอด แม่มักร้องไห้ให้เขาเห็น ซึ่งปัญหานี้เรื้อรังกระทั่งเขาเรียนจบมหาวิทยาลัย ตอนนั้นละที่พ่อกับแม่หย่ากันอย่างเป็นทางการด้วยหมดห่วงแล้ว ต่อให้โตแค่ไหน เขาก็เจ็บปวดกับความไม่อบอุ่นของครอบครัวอยู่ดี และถ้าเขาจะมีครอบครัวของตัวเอง เขาจะไม่ยอมให้เรื่องการนอกใจมาเป็นบาดแผลทิ่มแทงเขาซ้ำเดิมอีกเด็ดขาด การที่ยุติความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ชื่อมิลค์ไปนั้นเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ตอนยังเป็นแค่คนคุยกันยังปวดหัวขนาดนี้ ถ้าคบกับแล้วจะปวดหัวขนาดไหน ภูผาวาดภาพอนาคตออกได้เลย “ไม่เป็นไร ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว ไว้หาใหม่ก็ได้ แม่นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่ใช่ซะเมื่อไร” ปลอบใจตัวเองไปอย่างนั้น ฝืนกับความรู้สึกภายในพอประมาณ อย่างว่าล่ะ เขาถูกใจปัจจัยต่างๆ ของหญิงสาวนี่นา ไม่แปลกที่จะอดเสียดายไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย ทั้งที่คนอย่างเขาไม่ค่อยใส่ใจอะไรใครเลยก็ตามที ไม่ได้การละ ขืนปล่อยให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ต่อไป มีหวังกระทบกับเรื่องอื่นๆ จนทำให้ปรับสมดุลชีวิตไม่ได้แน่ เขาต้องรีบจัดการปัญหานี้ก่อน มันคือการทำให้ตัวเองผ่อนคลาย งานอดิเรกของภูผามีไม่กี่อย่าง...อยู่บ้าน นอนเอกเขนก ดูหนังดูซีรีส์ ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ อย่างหลังนี่ชื่นชอบเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงหมายที่จะไปห้างสรรพสินค้า ซื้อหนังสือเพิ่มกองดองที่บ้านสักหน่อย แค่ได้ซื้อก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว ทว่าระหว่างที่ออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถกลางแจ้งที่อยู่ห่างออกไปจากตัวอาคาร เขากลับเหลือบเห็นร้านบางอย่างที่ลักษณะคล้ายเพิง ร้านอะไรน่ะ? เขาหยุดยืน หยีตาสู้แสงแดดร้อนระอุมอง ก่อนประจักษ์ได้ว่ามันคือร้านหนังสือเก่า มาเปิดตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ข้างลานจอดรถที่อยู่ในจุดอับเสียด้วย ที่สำคัญ ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยเห็นละแวกนี้สร้างตึกหรืออาคารบ้านช่องใดๆ เลยสักนิด จู่ๆ มามีเพิง...ไม่สิ ร้านหนังสือเก่าที่เป็นตึกชั้นเดียวซอมซ่ออย่างนี้ มันอดสงสัยไม่ได้ เขาเป็นคนช่างสังเกตน่ะ เอาเถอะ เขาไม่อยากคิดอะไรมาก มีให้เข้าไปดูอะไรให้ผ่อนคลายก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องขับรถไปห้าง ภูผาตรงเข้าไปในนั้น หนังสือที่วางเรียงรายเป็นตั้ง แม้จะเก่าทว่ากลับถูกใจเขามากทีเดียว ชายหนุ่มใช้เวลานานร่วมชั่วโมงในการเลือกดูหนังสือเล่มนั้นที เล่มนี้ที รู้ตัวอีกครั้งก็เห็นหนังสือตั้งใหญ่ที่เขาเลือกมาวางๆ ไว้เตรียมพร้อมพากลับบ้านเสียแล้ว มันเยอะเกินไป เขารู้ตัว ตั้งขนาดนั้น เอากลับบ้านไปก็ไม่รู้ว่าชาติไหนจะอ่านหมด เผลอๆ จะไม่ได้อ่าน ทิ้งไว้ให้ปลวกกิน หรือไม่ก็กลายเป็นขยะรกบ้านด้วย หนังสือพวกนี้เก่ามากแล้ว อีกต่างหาก อายุการคงทนสภาพไม่นานนัก คงต้องคัดออก คิดดังนั้น มือพลันเริ่มคว้าหนังสือจากกองมาอ่านปกหลังทีละเล่ม พิจารณาว่าเล่มไหนมีเนื้อหาซ้ำซ้อนกันบ้าง ถ้าเล่มไหนเนื้อหาใกล้เคียงกัน เขาจะได้เลือกเล่มที่ถูกใจที่สุด เสียเวลาไปอีกร่วมชั่วโมงในการทำอย่างนั้น ดีที่เจ้าของร้านไม่ว่าอะไร เลยได้ใช้เวลาตามลำพังอย่างเต็มที่ ภูผาไม่ว่าตัวเองหรอกว่ามันเป็นนิสัยไม่ดีที่เวลาเครียดแล้วจะใช้เงินเยอะ บางทีซื้อของไม่รู้ด้วยว่าจำเป็นหรือไม่ ต้องมาคัดกรองอีกทีตอนได้สติอย่างนี้ละ ในที่สุดก็ได้หนังสือในปริมาณเล่มที่พอเหมาะ เขาหอบกองหนังสือมาที่โต๊ะซึ่งใช้เป็นเคาน์เตอร์ มีชายชราร่างเล็กเปลือยอก นุ่งเพียงผ้าลายเสือช่วงล่างโผล่ที่นั่งประจำอยู่ตรงนั้นนานแล้วหันมามอง “เลือกได้แล้วเรอะ” ออกปากถาม เห็นภูผาเข้ามาเลือกหนังสือตั้งแต่ก้าวเข้าร้านมาแล้ว “ครับ เอาเท่านี้ละ” “หอบกลับยังไงไหวน่ะพ่อหนุ่ม นี่ตั้ง...หนึ่ง...สอง...” ใช้ปลายนิ้วไล่นับตามสันหนังสือไปครู่ “ยี่สิบแปดเล่ม” หอบกลับน่ะไม่ใช่ปัญหา เขาเอารถมา แต่ละเล่มก็ไม่ได้หนามากด้วย ปัญหาคือจะอ่านหมดเมื่อไรต่างหาก นี่ขนาดคัดออกไปบ้างแล้วนะ ยังเกินสองโหล “ต้องให้ข้าช่วยหอบไปไหม” ภูผาส่ายหน้าพรืด “ไม่รบกวนดีกว่าครับ คุณตาคิดเงินเถอะ” “คุณตา?” น้ำเสียงผันเปลี่ยน เจือความไม่ชอบใจกลายๆ “คุณลุงครับ” ภูผาฉลาดพอที่จะรีบเปลี่ยนคำพูด พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้แทนตัวด้วยสรรพนามนั้น “ก่อนหน้านี้มีคนเรียกข้าตา ข้าฟันหัวมันแบะเลยเทียว” ชายชราฮึดฮัด ภูผาไม่รู้สึกเสียวหัว แต่คิดว่าอยู่ที่นี่ต่อไปนานๆ คงไม่ดีหรอก ดูท่าคนตรงหน้าจะเป็นพวกเลอะเทอะไม่น้อย “คิดเงินเลยครับ” เขาย้ำอีกครั้ง เจ้าของร้านพึมพำอะไรบางอย่าง ระหว่างที่กำลังรอยอดจ่ายเงินอยู่นั้น สายตาพลันเหลือบมองไปเห็นหน้งสือบนชั้น สันหนังสือที่บุด้วยปกหนังวัวสีน้ำตาล ลงรักตัวหนังสือไทยๆ สีทองอะร้าอร่ามชวนให้ภูผาสนใจขึ้นมาทันใด “นั่นหนังสืออะไรเหรอครับ” ชี้นิ้วพลางพยักพเยิดไป ชายชราหันไปมอง “อ้อ หนังสือวรรณคดีน่ะ” “ขอดูได้ไหมครับ” “สนใจเหรอ” ไม่สนใจแล้วจะถามหรือ? “ครับ” สิ่งที่ตอบกลับเป็นทางตรงกันข้ามกับที่คิด “เลือกดูสิ” พอได้รับอนุญาต ภูผาก็จัดการไล่สายตาดูตามสันปกหนังสือ เขาพบว่ามันเป็นหนังสือวรรณคดี ซึ่งโดยปกติแล้ว เขาไม่อ่านงานประเภทนี้สักเท่าไรนัก แต่เขาไม่ใช่คนเลือกอ่าน อะไรก็อ่านได้ทั้งนั้น นานๆ ทีได้อ่านหนังสือแบบนี้บ้างก็ดีเหมือนกัน อีกอย่าง เขาเป็นคนชอบสะสมหนังสือ ซื้อมาแล้วไม่อ่านก็ช่าง ถือเสียว่าเก็บเป็นสมบัติให้ลูกให้หลานที่ไม่รู้ว่าจะมีดำรง วงศ์ตระกูลตัวเองต่อไหม “เลือกได้หรือยัง” เห็นใช้เวลานานทีเดียว เสียงทุ้มต่ำจึงดังขึ้น ภูผายกมือขึ้นลูบปลายคาง “ผมเลือกไม่ถูก” ลังเลอยู่หลายเล่มเลยทีเดียวว่าจะเอาเล่มไหน เล่มนั้นก็ดูน่าอ่าน เล่มนี้ก็สวยน่าเก็บ อยากได้ทั้งหมดเลย “อย่าหลายใจ ใจโลเล เลือกเอาสักเล่ม ไม่งั้นไม่ขายให้นะ” ได้ยินอย่างนั้น เรียวคิ้วเข้มพลันกระตุก “ถ้าผมเหมาหมดเลยล่ะครับ” มีเหลืออยู่ราวห้าหกเล่ม หนังสือพวกนี้จะราคาเล่มละเท่าไรกันเชียว ร้านหนังสือเก่าย่อมอยากขายของออกไปอยู่แล้ว “เหมาหมดไม่ขาย” ความฉงนประดังประเดเข้ามา คิ้วที่ย่นยู่ขมวดหนักเข้าไปอีก “ไม่ขายเหรอ” “ถ้าเอ็งจะเอา ก็ซื้อได้แค่เล่มเดียวเท่านั้น ข้าไม่ให้เหมา” “แล้วถ้าไม่เหมา เอาสองสามเล่มล่ะ?” “นั่นก็ไม่ขาย” ตาแก่นี่สติไม่ดีล่ะมั้ง!? ไม่เข้าใจระบบความคิดของคนตรงหน้าเท่าไร ค้าขายอย่างไรกัน เดี๋ยวขายเดี๋ยวไม่ขาย อย่างกับเล่นขายของ “ตกลงเลือกได้หรือยัง” ชายชราถามมาอีก ภูผาถอนหายใจยาว “ผมยังเลือกไม่ได้ครับ” เท่านั้นคนถามก็พ่นลมหายใจแรงๆ สวน “มา! ข้าเลือกให้ ฮึบ!” จัดแจงปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ เปิดตู้คว้าเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมายื่นให้รับอีก ภูผาจำต้องรับเอาไว้ ไม่มีทางเลือกเพราะตอนที่เห็นอีกฝ่ายปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ เขาก็ระแวงว่าตาแก่จะตกลงมา เลยไม่ทันตั้งรับตอนที่ถูกยื่นหนังสือใส่มือ “อะ ทีนี้ก็จ่ายเงินแล้วไปได้แล้ว” เร่งเร้ามาอีก ภูผาไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ แค่เจอคนคุยนิสัยไม่ดี เขาก็หัวเสียจะแย่อยู่แล้ว มาเจอคนสติไม่ดีอีก ระบบประสาทในสมองเขาได้พังกันพอดี “เท่าไรครับ” “กองนี้เอาใบเทาๆ มาใบนึง” ชี้ไปที่กองหนังสือบนโต๊ะ ก่อนพยักพเยิดปลายคางมาที่หนังสือในมือของชายหนุ่ม “ส่วนเล่มนี้ ข้าให้” “ให้ฟรีเหรอครับ” “เออ เอาไปเถอะ ถือว่าแถม” บอกเสริมก่อนที่จะถูกถามซ้ำ ภูผาพยักหน้า เข้าใจได้ เขาซื้อเยอะขนาดนี้ ไม่แถมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ทั้งหนังสือตั้งเยอะ คิดเงินแค่แบงก์เทาแค่ใบเดียว ถือว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม “ขอบคุณครับ ไว้วันหลังผมมาอุดหนุนใหม่” ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากอีกฝ่าย ภูผาวางแผนการขนหนังสือมากมายไปที่รถ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าขับรถมาจอดเทียบหน้าร้านแล้วขนขึ้นจะง่ายกว่า แม้ว่าการจอดหน้าร้านมันจะไม่ถูกต้องเพราะไม่ใช่ที่จอดรถก็เถอะ แต่แค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไร “เดี๋ยวผมมานะครับ ขอไปเอารถก่อน จะได้ขนหนังสือขึ้นง่ายๆ” บอกไว้ก่อน ชายชราพยักหน้า โบกมือไล่เป็นเชิงว่าอยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ ภูผาเดินออกมานอกร้านพร้อมหนังสือเล่มสวยในมือ ตรงไปที่รถตัวเอง หากทว่าพอขับกลับมา เขากลับต้องงงเป็น ไก่ตาแตกเมื่อเห็นว่าร้านหนังสือที่ตั้งตระหง่านอยู่หายวับไป ไม่เหลือแม้ซากปรักหักพัง เป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งก่อสร้างเกิดขึ้นตรงนี้ ทำเอาเขาเบิกตาโตทันใด “หายไปไหนวะ” ใช่ หายไปไหน ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครให้คำตอบได้ มีแต่เสียงเครื่องปรับอากาศในรถยนต์เท่านั้นที่ดังหึ่งๆ มาให้ได้ยิน ภูผารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล พลันคิดจะรีบไปจากที่นี่ หายไปอย่างนี้ ผีหลอกกลางวันแสกๆ ไม่ก็หลงไปในเมืองลับแลไม่รู้ตัวแน่นอน ทว่า...หนังสือที่วางอยู่บนเบาะข้างๆ กลับทำให้เขาต้องหยิบมันขึ้นมาเพิ่งพินิจ “กากี...” เขาอ่านชื่อบนสันหนังสือ จากนั้นวางมันลงไป แล้วเหยียบคันเร่งพาตัวเองออกไปจากตรงนั้นโดยไว ไม่ใช่ความฝัน เป็นเรื่องจริง หนังสือนี่เป็นหลักฐานได้ หลงไปในเมืองลับแลมาแน่นอน!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD