ตอนที่ 4 สำนึกผิด

1243 Words
ตอนที่ 4 สำนึกผิด “แค่เรื่องพี่น้องมีปากเสียงกัน ไหนเลยจะต้องให้พี่ใหญ่ออกหน้า” เพ่ยอิงยังคงก้าวเท้าเดินต่อไปไม่หยุด นางจะหยุดต่อเมื่อถึงหน้าห้องป้ายบรรพชนเท่านั้น อีกทั้งยังเอ่ยกับ อาจินเรื่องนี้ไม่เหมาะให้พี่ชายร้อนใจหรือมีความวิตกกังวล หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากเอาความวุ่นวายไปเพิ่มให้พี่ชายได้คิดหนัก หากนางยังดูแลตัวเองไม่ได้ พี่ชายจะเบาใจได้อย่างไร จนป่านนี้ก็ยังไม่มีพี่สะใภ้ หนึ่งเพราะห่วงนางและมารดา สองยังไม่เจอสตรีที่ต้องตาต้องใจ “แต่ว่า” อาจินเสียงอ่อน ก้มหน้ามองปลายเท้ายามเดิน สีหน้าของนางก็คงจะไม่ต่างจากเจ้านายสักเท่าไหร่ “ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร” เพ่ยอิงฝืนยิ้มเล็กน้อย เพื่อให้สาวใช้ได้สบายใจ พวกนางผูกพันกันเหมือนพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แม้จะต่างชนชั้นก็หาได้รังเกียจหรือดูแคลนอีกฝ่ายไม่ “เจ้าค่ะ” อาจินตอบรับ ลี่ถิงเดินตามมา หากจะถามว่า สีหน้าของนางนั้นเป็นเช่นไร คงจะต้องได้คำเดียว คือนางมารร้ายชัด ๆ ทั้งเบะปาก ทั้งเท้าเอว กระฟัดกระเฟียดแทบจะควันออกหู เมื่อได้ยินเสียงของสตรีสองนางพูดคุยกัน จนอดที่จะพ่นคำด่าออกมาไม่ได้ ‘โอ๊ย แม่คนแสนดีศรีสังคม แม่โพธิสัตว์ แม่นางฟ้า แม่เทพธิดา ไม่รู้ว่าฉันจะหาอะไรมาด่าเธอแล้ว โง่มากเลยนะ เป็นฉันหน่อยไม่ได้ แต่จะตบให้คว่ำ ขย้ำให้คามือจริง ๆ’ ขณะที่เพ่ยอิงนั่งคุกเข่าสำนึกผิด อีกด้านผู้เป็นบิดา ขุนนางเถียนหย่งคัง นำภรรยาและลูกเข้ามายังเรือนอีกหลังหนึ่ง ขนาดนั้นก็ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนเรือนด้านหน้า แต่ทว่าไม่ได้เล็กจนเกินไป สองแม่ลูกยิ้มแฉ่งอย่างดีอกดีใจที่เห็นเรือนหลังนี้  อีกหน่อยเรือนด้านหน้าจะเป็นของนางสองแม่ลูก ฮูหยินนางนั้นกับนางลูกเลี้ยง จะจัดการย้ายที่ซุกหัวนอนให้มานอนเรือนเล็กท้ายจวนให้ได้ ความคิดชั่วช้านี้ไม่มีใครนอกเสียจากจะเป็น ซูหลิว แม่เลี้ยงคนใหม่ หรือก็คือฮูหยินรอง ที่เพ่ยอิง จำใจจะต้องเรียกว่า ‘แม่รอง’ แต่นางก็มิได้เอ่ยปากพูดในสิ่งที่บิดาต้องการ นั่นจึงเป็นเหตุของการลงโทษในครั้งนี้ “ท่านพี่ ปล่อยให้พวกเราพักที่เรือนคนใช้ก็ได้เจ้าค่ะ” ซูหลิวปากอย่างใจอย่าง แสร้งพูดจารื่นหูให้อีกฝ่ายรักและเอ็นดู เพิ่มความห่วงใยในตัวของพวกนาง มารยาเช่นนี้ใคร ๆ ก็ทำกัน แต่นางเป็นภรรยารองที่เขารักยิ่ง มิเคยคิดว่านางจะเป็นคนเช่นนั้น ด้วยเพราะรักและสงสาร กว่าจะพานางสองคนแม่ลูกออกมาอยู่อย่างเปิดเผยไม่ใช่เรื่องง่าย “ไม่ได้ เจ้าเป็นภรรยาของข้า ไหนเลยจะปล่อยให้ไปอยู่เรือนคนใช้ได้เล่า” น้ำเสียงดุ ๆ พร้อมกับสีหน้าไม่พอใจของสามี ส่งผลให้ภรรยารองที่แสนดี อ่อนปวกเปียกลง ลูกสาวคนเล็กจึงได้พูดขึ้นแทนมารดา ที่เห็นสีหน้าพออกพอใจเข้าให้เป็นอย่างมาก “ท่านพ่อ แม่ใหญ่ก็ล้มป่วย ท่านรีบไปดูแลท่านแม่ใหญ่เถิดเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานไพเราะดุจกระดิ่ง ดังเบาและเล็กชวนหลงใหลน่าฟังเป็นที่สุด คำพูดที่เห็นอกเห็นใจในฮูหยินเอกทำเอาคนเป็นพ่อต้องรีบมานั่งโอบกอด มือหนายกขึ้นมาลูบเส้นผมสลวยของ ลูกสาว ด้วยความรักและเอ็นดู ในน้ำใจของนางที่มีต่อภรรยาเอกของเขา พวกนางช่างมีจิตใจที่ดีงามเหลือเกิน “ลูกพ่อ เจ้าช่างจิตใจดีมีเมตตานัก รู้กตัญญูต่อแม่ใหญ่ หากเจ้าถึงวัยออกเรือนเมื่อใด พ่อจะหาชายหนุ่มที่ทั้งรูปทรัพย์ให้เจ้า จะไม่ได้น้อยหน้าใคร” คำพูดของเถียนหย่งคังย่อมจะต้องทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ บุตรสาวที่แสนดีเช่นนี้เหมาะที่จะให้ออกเรือน เป็นฮูหยินเอกเท่านั้น เขาจะต้องหาชายหนุ่มที่คู่ควรให้นาง เหมาะสมไม่ว่าชาติตระกูลจะต้องสูงส่งคู่ควรกับนาง “ลูกไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากดูแลท่านพ่อ ท่านแม่และก็แม่ใหญ่เจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นอีกครั้ง แววตายิ้มปริ่มเป็นประกายแวววาว มารดาสอนสั่งมาดียิ่ง บุรุษใด ๆ ก็ล้วนแล้วแต่ชอบให้สตรีพูดจาหวาน และเอาอกเอาใจ มิใช่แต่จะจ้องจะจับผิดและเอาแต่ใจ “ลูกแม่ เจ้ารีบขอบคุณท่านพ่อสิ” มารดาได้โอกาสรีบเอ่ยกับลูกสาวที่นางรักและหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ว่าที่ลูกเขยย่อมต้องมากด้วยรูปทรัพย์และตำแหน่งหน้าที่ “ขอบคุณท่านพ่อที่เมตตาลูกและรักลูกนะเจ้าคะ” ไป๋จูกอดเอวสอบของบิดาแนบแก้มเข้าถูไถออดอ้อนราวกับลูกแมวน้อยที่อ้อนเจ้าของมัน ทำให้อีกฝ่ายยิ่งรักและเอ็นดูมากขึ้น แววตานั้นดูเหมือนแต่จะมีความสุข สามคนพ่อแม่ลูก “พ่อรักเจ้าย่อมมอบในสิ่งที่มีค่าและคู่ควรกับเจ้าเท่านั้น” รอยยิ้มของเขาทำให้ไป๋จูดูจะมีความสุขมากมายนัก ทุกอย่างจะเป็นของนางในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง และเครื่องประดับล้ำค่า หากนางได้มันมาจะได้โอ้อวดใครต่อใคร ซูหลิวยังไม่เลิกริษยาสหายของนางเองนั่นคือหลีม่าน สหายรักในวัยเยาว์ ที่เติบโตขึ้นมา นางมีอะไรที่เหนือกว่า ซูหลิวผู้นี้ย่อมมี หากจะเป็นสามีของหลีม่าน ซูหลิวก็จะแย่งมาและครอบครอง ทำให้เขารักเขาหลงในตัวของนาง และในที่สุด ซูหลิวก็ได้ครอบครองเขาสมใจ เถียนหย่งคัง เป็นสามีของนาง และบิดา บุตรสาวของนางเช่นเดียวกัน เพ่ยอิงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้น ตั้งแต่เช้าจรดเย็นของวันเดียวกัน นางได้ดื่มแต่น้ำชาเพื่อดับกระหายหิว แม้ว่าอาจินสาวใช้ของนางจะนำเอาแป้งทอดไส้หมูมาให้ก็ตาม สักครึ่งคำนางก็มิได้แตะต้อง ความมุ่งมั่นแรงกล้า สองสายตาจดจ้องที่ป้ายวิญญาณของบรรพชน ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว นางกำลังเอ่ยขออธิษฐานให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น มิอ่อนแอปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ อยากให้ตนเองเข้มแข็ง พร้อมจะต่อกรและรับมือกับเรื่องต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้มารดาที่ป่วยไข้ให้ทุเลาเบาบางลงบ้าง เข่าทั้งสองข้างยามนี้กำลังชาไปหมด แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวดทรมานมากเท่าไหร่นางก็มิได้เอ่ยปากร้องโอดโอยให้สาวใช้ได้เห็น ความอ่อนแอของนาง มารดาที่กำลังล้มป่วยอยู่ในห้องนั้น ข้างกายยังมีสาวใช้อย่างเสี่ยวชิงคอยเช็ดใบหน้าที่ซีดเซียว มือเรียวของคนป่วยไม่ได้ขยับเขยื้อนตั้งแต่ช่วงเช้าที่นายท่านได้นำฮูหยินรองและคุณหนูสามเข้ามา ในจวนนี้วุ่นวายพอสมอควรเพราะมีเจ้านายเพิ่มมาอีกสองคน ดังนั้นจะต้องทำอาหารเพิ่ม และมีสำหรับอีกหนึ่งชุด แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้ยินดีกับผู้ที่เข้ามาใหม่  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD