แคว้นหลวงหยาง รัชสมัยราชวงศ์โจว ที่ 20 ประชาชนทั่วแคว้นอยู่อย่างปกติสุข อุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร พร้อมเจริญด้านวัฒนธรรม ภายในตำหนักฝูฮ่าว ในยามดึกสงัด มีชายรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ แก้มเต่งตึง พุงโล นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ที่โต๊ะทรงพระอักษรอยู่ ดวงตาใสกระจ่างที่มองภาพวาดรูปสีสันสดใส ซึ่งในภาพมีรูปอิสตรีมากมายพร้อมแนบรายละเอียดข้อมูลของหญิงในภาพอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อป้องกันการถูกถามในภายหน้า
" ดึกมากแล้วนะพะยะคะ องค์ชายเก้าไว้ค่อยเลือกพรุ่งนี้เช้าก็ได้นะพะยะค่ะ " ขันทีคนสนิทที่คอยดูแลเตือนด้วยสีหน้ากังวล
" ข้าขอเวลาอีก 1 เค่อนะ หวังเฟิง ส่วนเจ้าไปพักเถิดไม่ต้องดูแลเราหรอก "
" แต่ว่า องค์ชายเก้า "
" ไม่เอาน่าหวังเฟิง พรุ่งนี้เจ้าก็ต้องมาดูแลเราอีก ไปได้แล้วอย่าให้ข้าต้องไล่นะ "
" ก็ได้พะยะค่ะองค์ชาย " ขันทีคนสนิทคารวะแล้วค่อยๆ ถอยหลังแล้วเดินออกไป โดยไม่ลืมปิดประตูห้องพระบรรทมอย่างเบามือ
พ้นจากสายตาของหวังเฟิง องค์ชายเก้า หรือ หวงเจียวหลุน ก็วางมือจากสมุดภาพลงบนโต๊ะ พร้อมสายตาก็มองไปยังคันฉ่องที่วางตั้งไว้ในเรือนและเอ่ยกับตัวเองอย่างแผ่วเบา
" ข้าจะมีโอกาสได้เลือกหญิงให้กับตัวเองหรือไม่นะ หรือถ้ามีนางผู้นั้นจะยินยอมหรือ ในเมื่อข้ารูปร่างอัปลักษณ์เช่นนี้ จริงไหม หวงเจียวหลุน " สายตาที่หม่นหมองเศร้าด้วยเพราะเวทนากับรูปร่างที่สมบูรณ์เกินพี่น้อง เขาพยายามที่จะกินให้น้อย และพยายามที่จะฝึกยุทธ แต่จนแล้วจนรอด เขากลับรู้สึกยิ่งทำยิ่งไม่ได้ผล เพราะยิ่งเหนื่อยเขาก็ยิ่งกิน ความเศร้าถูกเก็บเข้าไปในหีบและตรึงด้วยโซ่ตรวนขนาดใหญ่อีกครั้ง เมื่อเขาลุกขึ้นเพื่อที่จะถอดเสื้อคลุมไปแขวนข้างๆ คันฉ่องเรือนงามที่ได้จากแคว้นเหยานำมาบรรณาการให้เมื่อปีที่แล้ว สายตาของเขาก็พลันมองเห็นบางสิ่งสะท้อนออกมาจากกระจก เป็นร่างผู้หญิงคนหนึ่ง สูงประมาณหนึ่ง แต่ดูจะเตี้ยกว่าเขา สัดส่วนได้รูป วงหน้างดงาม แต่ที่ทำให้เขาเลือดกำเดาไหลและกลืนน้ำลายเหนียวคอคือ นางมีผ้าคลุมตัวปกปิดเพียงหน้าอกและยาวถึงแค่ขาอ่อน นางขาเรียวยาว ผิวขาวผ่องและดูใส เนื้อตัวชุ่มน้ำเพราะเขาและเห็นมีเม็ดน้ำติดตามเนินไหล่ของนาง พร้อมผมที่เปียกชุ่มสยายกลางแผ่นหลัง นางเดินหันหลังให้เขาเพื่อตรงไปยังวัตถุสิ่งหนึ่งขนาดใหญ่ทำจากไม้และสูงเลยศีรษะนาง นางเปิดมันออกและหยิบบางสิ่งขึ้นมาสวม จังหวะที่นางโน้มตัวก้มสวมบางสิ่ง เขาแทบจะปิดตาพร้อมกับเลือดกำเดาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว จนต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาอุดจมูกของตน ใบหน้าของเขาเห่อร้อน อย่างไม่มีสาเหตุ พร้อมกับใจที่เต้นรัวเร็วกับภาพสตรีที่สะท้อนออกมาจากคันฉ่องส่องมาถึงสายตาคู่นี้ของชายผู้ที่ทั่วทั้งแคว้นต่างรู้จักเขาในนาม องค์ชายเก้า หวงเจียวหลุน แน่นอนเขาไม่เคยเห็นหญิงใดเปลือยเปล่ามานานมาก ครั้งล่าสุดก็เมื่อ 4 ปีที่แล้วเมื่อเขาอายุได้ 20 ปี องค์ชายสามกับองค์ชายสี่เป็นผู้จัดหามาให้เขา เพื่อให้ปลดปล่อยความต้องการของบุรุษเพศ แต่นางพวกนั้นก็ไม่งดงามเท่านางในภาพสะท้อนบนคันฉ่อง เขาถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตะหนก เมื่อหญิงสาวผู้นั้นก้าวมายืนต่อหน้าและยืนส่งยิ้มให้เขาสักพักจากนั้นนางก็หันหลังเดินไป
" ข้า..ข้าต้องตาฝาด ตาฝาดแน่ๆ คงเพราะดูภาพหญิงสาวให้องค์ชายสิบสามเป็นแน่ ไม่ใช่อย่างที่คิด" เขารีบเดินไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว และรีบหลับตาภาวนาว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความจริง
ยามเซิน (15.00-16.59 น.) หวงเจียวหลุนเดินเข้ามายังตำหนักในของตนเอง ตามด้วยหวังเฟิงขันทีคนสนิท เมื่อมาถึงยังด้านในที่เป็นห้องนอนของตน หวงเจียวหลุนไปนั่งยังเก้าอี้ทรงงานซึ่งไม่ไกลจากเตียงตั่งเท่าไหร่นัก หวังเฟิงนำน้ำชามาถวาย
" ชาอู่หลงพะยะค่ะ "
" ขอบใจเจ้ามาก " หวงเจียวหลุน หันไปขอบคุณขันทีคนสนิทของตนเอง สายตาของเขาก็พลันมองไปทางคันฉ่องสะท้อนภาพหญิงคนเดิม เขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เพราะวันนี้เขาย่อมรู้ตัวเองว่าวันนี้ และนาทีนี้สติของเขาแจ่มแจ้งดีมาก สายตาโพรงโตจดจ้องที่คันฉ่องไม่กะพริบ ขันทีคนสนิทก็มองตามสายตาผู้เป็นนายของตน
" องค์ชายเก้า มีอะไรหรือไม่พะยะค่ะ " หวังเฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
" หวังเฟิง.จะ..เจ้าเห็นอะไรบนคันฉ่องนั่นหรือไม่ " หวงเจียวหลุนเอ่ยถาม เหงื่อเริ่มผุดตามไรผม สีหน้าแสดงถึงความตะหนกตกใจ
" เห็น.. เห็นอะไรพะยะค่ะ กระหม่อมเห็นเพียงเงาสะท้อนขององค์ชายเท่านั้นพะยะค่ะ " ขันทีหนุ่มตอบน้ำเสียงจริงจัง
" เจ้าไม่เห็นหรือโป้ปดข้า "
" กระหม่อมมิบังอาจพะยะค่ะ " หวังเฟิง คุกเข่าโขกศีรษะเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตน หวงเจียวหลุนมองขันทีที่นั่งคุกเข่าโขกศีรษะอย่างไม่ยอมหยุด จึงเอ่ย
" ช่างเถิด พอได้แล้ว เจ้าออกไปได้แล้ว " เขาใช้มือปัดไล่ หวังเฟิงขันทีสนิทรีบลุกขึ้นคารวะแล้วออกไป ทำให้หวงเจียวหลุนอยู่เพียงลำพัง สายตายังคงมองไปยังคันฉ่องตรงหน้าอย่างจดจ่อ
" ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่หรือไม่ สิ่งที่ข้าเห็นคือเรื่องจริง " หวงเจียวหลุน พูดกับตนเองอย่างแผ่วเบา อยู่ๆ เขาก็คิดถึงเหตุการณ์หนึ่งวันที่เขาได้คันฉ่องนี้มาเมื่อแปดเดือนก่อน องค์ชายสามได้เครื่องบรรณาการมาจากแคว้นอื่น
" เสด็จพี่สาม คันฉ่องนี้นำมาให้ข้าทำไม ตำหนักนี้มีอยู่แล้ว.. หรือว่า..เอ่อ.."
" เจ้าอย่าคิดมาสิเจ้าเก้า ที่ข้าให้คันฉ่องเรือนนี้หาได้ดูถูกเจ้าไม่ แต่นี่เป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นต้าที่ท่านแม่ทัพเหยี่ยงตีมาได้ คันฉ่องเรือนนี้อยู่ในตำหนักชินอ๋องและดูว่าเขาจะหวงมากเสียด้วย "
" หวงคันฉ่องเรือนนี้นี่หรือ "
" ใช่ สาเหตุไม่แน่ชัด ข้าได้ยินมาว่าชินอ๋องมักจะหมกมุ่นอยู่กับคันฉ่องเรือนนี้ เพื่อหาความลับอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พบ และข้าคิดว่าเจ้าเหมาะสมที่จะได้มัน "
" เสด็จพี่สามเห็นว่าข้าเหมาะ? "
" ใช่ "
" เพราะ? "
" เจ้ารู้ว่าข้าหมายความถึงสิ่งใด " องค์ชายสามยกคิ้วเป็นเชิง เพื่อให้คู่สนทนานึก
" ข้ารู้แล้ว เสด็จพี่สามไว้ที่นี่ก็ได้ "
" ขอบใจเจ้ามาก ข้าไปก่อนหล่ะ " กล่าวจบองค์ชายสามก็หมุนกายเดินออกไป ทิ้งความหนักใจให้เจ้าของตำหนัก
" นี่หล่ะสินะ ความลับที่ชินอ๋องแคว้นต้าต้องการอยากรู้ คันฉ่องส่องนาง ก็แค่สะท้อนให้เห็น จับต้องมิได้ไยต้องดิ้นรนด้วย " เขาเอ่ยขึ้นหลังจากนึกถึงเรื่องราวว่าคันฉ่องนี้ ว่าเหตุใดถึงได้มาอยู่กับตน
" อ๊ะ! นั่นนาง .. นางจะเปลื้องผ้าหรือนั่น อย่านะ เจ้าไม่มียางอายเลยหรือไง " หวงเจียวหลุนพูดเสียงดังใส่ไปยังคันฉ่อง เพื่อให้นางผู้นั้นหยุดการกระทำแต่ก็หามีเสียงตอบหรือหยุดการกระทำ บัดนี้ใบหน้าเขาเริ่มแดง ใจเต้นรัวเร็วกับภาพที่จะได้เห็น เขาภาวนาออกมา... ไม่ ไม่นะ
.........