บทที่13 รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ

2228 Words
[ช่วยอธิบายมากกว่านั้นได้มั้ยคะพระเจ้า] เหม่ยเสี้ยวเดินเงียบๆไปตามฟางอ๋อง เนื่องจากเขาเห็นสีหน้าดูไม่ดีของนางเลยไม่ได้เซ้าซี้อะไร คิดว่านางคงอยากอยู่เงียบๆสักพัก และเป็นอย่างนั้นจริงๆ [โลกใบนี้ แต่ก่อนก็คือโลกมนุษย์ธรรมดานั่นล่ะ แต่ถูกทำลายลงด้วยระบบของมันเอง สมัยนั้นข้าก็ดึงคนจากโลกเจ้ามาเป็นผู้กล้าเหมือนกัน เลยมีเศษซากวัฒนธรรมที่เป็นของโลกนั้นอยู่ที่นี่ด้วย] เหม่ยเสี้ยวพยักหน้าเข้าใจ เสียงพระเจ้าเงียบไปเพราะตัวเธอเองก็ไม่ได้อยากจะถามต่อ ตอนแรกคิดว่าจะมีสักคนที่มาจากโลกเหมือนกัน แต่ถ้าผ่านมาเป็น10000ปีอย่างนั้น พวกเขาคงจะตายไปหมดแล้วแน่ๆ “แม่นางเหมยเจ้ารับอะไรเพิ่มรึไม่” เหม่ยเสี้ยวออกจากความคิดของตัวเองเมื่อเห็นว่าหานตงกำลังชี้ไปยังอาหารของโต๊ะอื่นราวกับอยากกิน และเหมือนฟางอ๋องจะใจดีสั่งให้หมดแล้ว “เท่านั้นก็เพียงพอแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เธอกินข้าวในร้านอย่างนี้ โรงเตี้ยมที่ไม่อยากจะต้อนรับพวกคนจรอย่างพวกเธอสักเท่าไร ถ้าไม่ใช่เพราะมากับคุณชายต้า มีหวังพวกเขาคงไม่ให้เข้า “รับน้ำจินดองหน่อยไหม ข้าได้ยินว่ากลิ่นของมันช่วยบำบัดความเครียด” ฟางอ๋องพูดอย่างเอาใจ เขาเห็นนางเงียบมาตลอดทางแล้วใจหาย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังร่าเริงอยู่เลย “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านชายที่เห็นอกเห็นใจข้า” เหม่ยเสี้ยวยิ้มนิดๆ แม้แววตายังติดเศร้า เพราะเสียใจที่ไม่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมให้ได้ดีใจเก้อไป “ตอนนี้เราร่วมหุ้นกันแล้ว เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก เรียกข้าว่าพี่จินฟางก็ได้” เขายิ้มยิงเขี้ยวให้นาง ก่อนจะหันไปสั่งน้ำจินให้หญิงสาว “รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยขอรับ”เสียงเสี่ยวเออร์เอ่ยถาม ราวกับจังหวะมุก3ช่าส์ ทำเอาเหม่ยเสี้ยวหลุดหัวเราะ เพราะนึกถึงโลกก่อนที่มีมุกเหมือนๆกันอยู่ “เอ๋” ฟางอ๋องกลับสงสัยว่าเหตุใดนางจึงหัวเราะกับมุกดาษดื่นเช่นนั้น ทั้งๆที่เสี่ยวเออร์ก็มักจะถามทุกครั้งที่ชายหนุ่มและหญิงสาวมีท่าทีเหมือนจีบกันอยู่ “รับขนมจีบเจ้าค่ะ” เหม่ยเสี้ยวพูดพร้อมกับชายตาขึ้นมองฟางอ๋อง พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ทำเอาเขาหน้าขึ้นสีรีบหันหนีไปทางอื่นเพื่อไม่ให้นางเห็น แต่เหมือนคนที่ไม่อยากให้เห็นจะกำลังหัวเราะอยู่ เหม่ยเสี้ยวรู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนกับยายแก่ที่นั่งมองเด็กหนุ่มจีบตัวเอง ให้ความรู้สึกแปลกสุดๆ “แล้วร้านเจ้าจะเอาอย่างไรต่อ เหมยเอ๋อร์” ฟางอ๋องดึงประเด็นกลับมาเรื่องนี้ เนื่องจากเขาค่อนข้างอายที่ตัวเองดันเผยไต๋ว่าชอบหญิงสาวออกมาเสียก่อน “คงต้องหาช่างไม้มาเตรียมร้านเจ้าค่ะ แล้วก็พนักงานสัก2คน มาช่วยหานตง แต่เพราะวิธีการทำของพวกนั้น ข้าน้อยไม่อยากให้หลุดไปอยู่ในมือคนอื่นง่ายๆ จึงอยากปรึกษากับท่านว่าทำอย่างไรได้บ้างเจ้าคะ” “ไม่ยากเท่าไหร่ หากแค่2คนข้าแบ่งคนรับใช้ในจวนที่ไว้ใจได้ให้มาช่วยได้ พวกเขามีตรวนตระกูลผูกกับตระกูลข้าอยู่แล้ว ไม่มีทางทรยศกันได้ เรื่องค่าแรงและค่าจ้างช่างเล่า” “ข้าพอมีเหลืออยู่ แต่คงต้องขอให้ท่านช่วยหาช่างให้ด้วย ...กลายเป็นข้าต้องพึ่งคุณชายต้าหมดเลย ขออภัยคุณชายต้าด้วย” “คิดมาก คิดมาก เจ้าไม่ต้องคิดมากไปหรอก ถึงอย่างไรก็คนกันเอง” ต่อไปนางก็จะกลายเป็นหวังเฟยของเขา ฟางอ๋องคิด “เหตุใดจึงไม่เรียกข้าว่า พี่... เล่า หืม?” เหม่ยเสี้ยวหลบตา ก็หล่อนแก่กว่าเขาตั้งหลายรอบนี่นา จะให้เรียกเขาว่าพี่จินฟาง หวาย แค่คิดก็กระดากความรู้สึกแทบบ้า “พะ... พี่” เหม่ยเสี่ยวรู้สึกเหมือนกลั่นคำออกมายากเหลือเกิน แต่แค่นั้นฟางอ๋องก็พอใจแล้วล่ะ “ดีมาก เรียกเช่นนั้นล่ะ พอใจข้านัก” ว่าแล้วฟางอ๋องก็หัวเราะซะลั่น ก่อนจะยื่นมือไปยีผมหญิงสาวอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะรีบชักกลับเนื่องจากกลัวว่านางจะถูกครหาเพราะเขาแตะต้องตัวนาง “เหม่ยเสี้ยว!... โอ้ คุณพระคุณเจ้า... เจ้าหลี่เหม่ยเสี้ยวจริงๆด้วย” เสียงร้องเรียกจากไกลๆ ก่อนที่หญิงสาวมีอายุนิดหน่อยจะเดินปรี่เข้ามา “...” ทุกคนหันความสนใจไปที่นาง จากเสื้อผ้านั้นเหมือนจะเป็นชาวบ้านธรรมดา นางทำความเคารพคุณชายฝั่งตรงข้าม ก่อนจะหันไปทางเหม่ยเสี้ยวอีกครั้ง ‘เอ๋? แล้วฉันไปรู้จักกับหล่อนตอนไหนกันยะ หรือเป็นพวกคนรู้จักของเหม่ยเสี้ยวก่อนที่เธอจะมาเข้าร่างนี้งั้นหรอ’ “ท่านน้าเป็นใครกันหรือ ข้าไม่เห็นจำได้ว่าเคยเจอะกัน” เหม่ยเสี้ยวยิ้มให้นางก่อนจะพูดออกไป ท่าทางและวิธีการพูดทำให้หญิงสาวสูงวัยชะงัก ก่อนจะเพ่งมองหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้น ไม่ผิดแน่ๆ นี่ล่ะเหม่ยเสี้ยว ที่น่าแปลกคือกริยาและผิวพรรณเกลี้ยงเกลา “หากเจ้าอาย ข้าจะรอเจ้าหลังร้าน” นางเลือกอย่างนั้น เพราะเหมือนหญิงสาวจะกำลังจะได้ดี ชายที่นั่งตรงข้ามดูเหมือนคนมีเงิน ดังนั้นนางอาจจะหาคู่ได้แล้วก็ได้ เหม่ยเสี้ยวทำหน้างง ก่อนจะหันไปมองฟางอ๋องที่มองเธอด้วยสายตาสงสัยเช่นกัน “ข้าคิดว่าคงจะเป็นญาติๆของข้า ข้าขอไปคุยกับนางสักครู่นะเจ้าคะ” เหม่ยเสี้ยวเลือกจะลบความสงสัยของเขาไป แต่มันกลับทำให้ฟางอ๋องสงสัยมากขึ้นซะอีก เนื่องจากหลายวันมานี้เขาก็เห็นเธออยู่ในป่ากับหานตง หาได้มีญาติพี่น้องไม่ เหม่ยเสี้ยวเดินตามหญิงสูงวัยไปหลังร้าน ก่อนที่จะเริ่มสนทนากันเพื่อสอบความ ในเนื้อเรื่อง เหม่ยเสี้ยวเป็นหญิงอัปลักษณ์ก็จริง แต่นางไม่ได้มีครอบครัว เป็นเด็กกำพร้า เป็นไปไม่ได้แน่ๆที่จะมีญาติๆมาตามตัว “ข้าเป็นเจ้าของซ่อง แต่ก่อนเจ้าเป็นเด็กในซ่อง ไม่เห็นจะปากกล้าขาแข็งพูดจาอย่างกับหญิงสูงศักดิ์เช่นนี้เลย หรือเจ้าได้ดีไปแล้วรึ” หญิงสูงวัยเปิดประเด็นทันที เหม่ยเสี้ยวเก็บสีหน้า เริ่มคิดออกแล้ว นางคนนี้คือ1ในตัวละครลับไร้ชื่อ ตัวประกอบที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไร แค่เป็นตัวช่วยทำลายเหม่ยเสี้ยวเท่านั้น เพราะถึงจะบอกว่าเธอเคยอยู่ซ่อง แต่เพราะความอัปลักษณ์ล่มเมือง เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเสียความบริสุทธิ์เด็ดขาด แถมนั่นก็ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่เธอเป็นเด็กกำพร้าแรกๆ ก่อนที่จะหนีออกมาจากที่นั่นได้ “ข้าคิดว่าท่านคงตามผิดคนแล้วล่ะ ข้าก็เคยได้ยินเหมือนกันว่าเมืองนี้มีเหม่ยเสี้ยวอยู่หลายนาง ไม่คิดว่าจะถูกหาว่าเป็นเหมยเสี้ยวจากซ่องเช่นนี้…. หยาบคายเหลือเกิน” เหม่ยเสี้ยวทำเป็นบีบน้ำตา ทำหน้าใสซื่อ ก่อนจะหันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับ “เจ้าไม่รู้จักข้าจริงๆรึ เหอะๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนตั้งชื่อลูกไอ้อัปลักษณ์เช่นพ่อแม่ของนางอีก” หญิงสูงวัยทำเพียงหัวเราะ ก่อนจะโค้งตัวให้เธอและเดินจากไป แม้จะยังไม่ปักใจ แต่ก็เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่เหม่ยเสี้ยวเด็กอัปลักษณ์นั้น จะกลายเป็นหญิงงามและเพียบพร้อมเช่นนี้ เหม่ยเสี้ยวเดินกลับเข้าไปในร้าน หว้าอูเองรีบเร้นกายออกไปหลังจากกระซิบบางอย่างกับฟางอ๋องแล้ว บ่งบอกว่าเขาอาจจะตามไปแอบฟังบทสนทนาของเธอกับแม่เฒ่านั่น และแน่นอนว่า ฟางอ๋องต้องมีสงสัยบ้างล่ะ เนื่องจากตอนนี้เธอเองก็ไร้หัวนอนปลายเท้า เขาต้องมีการสืบค้นแน่นอน แล้วเรื่องก็จะแดงขึ้นมาแน่ๆ นี่มันกรรมที่เธอก่อไว้กับเหม่ยเสี้ยวทั้งนั้น แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เธอคงต้องพยายามทำเควสให้จบก่อน และคนงานเอง เธอก็คงต้องหาเองเช่นกัน เนื่องจากไม่อยากให้คนที่ดูอันตรายต่อเหม่ยเสี้ยวในอนาคตอย่างฟางอ๋อง ได้สูตรของเธอไป “ทานข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ ชืดหมดแล้ว ขออภัยที่วันนี้มีแต่เรื่องยุ่งยากให้ท่านช่วยจัดการ”เหม่ยเสี้ยวพูดอย่างนอบน้อม บ่งบอกว่าข่าวของเขาอาจจะเป็นจริงหลายส่วน ทำให้ฟางอ๋องหน้าเข้มขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เหม่ยเสี้ยวไม่คิดจะปิดบังอะไร หากธงจะหลุดก็คงต้องปล่อยไป เพราะประเด็นและเควสหลักของเธอ คือการทำให้เหม่ยเสี้ยวกลายเป็นยอดหญิงของเมือง ไม่ใช่ยอดหญิงงามเมือง!! หลังจากเอาของไปเก็บไว้บนชั้น3ของตึกเสร็จแล้ว และฟางอ๋องกลับไปแล้ว เหม่ยเสี้ยวก็รีบพาหานตงไปเก็บของย้ายมาที่บ้านใหม่ ก่อนที่เธอจะแยกไปคนเดียว เนื่องจากอยากจะหาคนไร้บ้านอีกสัก2คน ที่น่าจะหัวอ่อน และในที่นั้นต้องเป็นเด็กกำพร้าหรือคนที่กำลังประสบภัย แน่นอนว่าการแสดงตัวเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ จะทำให้คนมีความภักดีมากขึ้น เพราะเธอยังไม่ได้ฝึกปราณ การจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงช่วยคนจากอันธพาลก็ไม่ใช่เรื่อง เลยมองหาเป้าหมายที่ใกล้อดตาย เหมือนกับหานตง ไม่นานหลังจากเดินผ่านตลาด ก็เห็นร่างสองร่างกำลังนอนขดอยู่ในซอกตึก พวกเขาตัวสั่นงั่กๆ เนื่องจากอากาศตอนเย็นที่เริ่มเย็นลง เหม่ยเสี้ยวไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปดู ก่อนจะพบว่าสองร่างนั้นเป็นแค่เด็กหญิงชาย ท่าทางยังไม่พ้นวัย10ขวบด้วยซ้ำ ตามตัวมีรอยช้ำเป็นจ้ำ ใบหน้าบวมช้ำและมีเลือดเกรอะกรัง เดาว่าอาจจะไปขโมยของกินและถูกจับได้ เธออุ้มคนหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะเอาผ้าคลุมร่างนั้นไว้แล้วรีบเดินลัดเลาะไปตามเงาตึกเพื่อกลับไปยังตึกของตัวเองบริเวณท้ายตลาด ไม่กี่อึดใจก็มาถึงตึกท้ายตลาด เหม่ยเสี้ยวเรียกให้หานตงรับร่างเด็กหญิงไปไว้ด้านบน ก่อนจะวิ่งไปอุ้มร่างเด็กชายมาด้วยอีกคน เมื่อวางพวกเขาไว้ข้างกัน บนเตียงไม้ไผ่ บนชั้นที่2แล้ว ทำให้รู้ว่าพวกเขาเป็นฝาแฝดกัน “ไข้ขึ้นสูง ตัวสั่น หานตง ไปหยิบน้ำใส่ถังมา พร้อมกับผ้าสะอาด” โชคดีที่เธอซื้อของหลายๆอย่างแล้วเมื่อกลางวัน เลยพอจะมีอุปกรณ์อะไรบ้าง แต่เนื่องจากโลกนี้ยังไม่มีโรงพยาบาลหรืออะไรที่เทียบเคียงกัน ทำให้ชาวบ้านเวลาล้มป่วยก็มีแต่นอนซมและตายไป อย่างมากก็แค่หาสมุนไพรมาต้มกินเองได้ “อ่อก อ้วก!” เด็กน้อยลุกขึ้นมาอ้วก2รอบแล้วตั้งแต่ที่เหม่ยเสี้ยวเริ่มเช็ดตัวให้ก่อนจะเดินลงไปด้านล่าง โชคดีที่เธอเก็บสมุนไพรหลายๆอย่างมาตากไว้ เนื่องจากอยู่ในป่า อากาศเย็น การเป็นไข้นั้นเป็นได้ง่าย เหม่ยเสี้ยวหยิบใบธงซึ่งมีกลิ่นและรสชาติเหมือนกับฟ้าทะลายโจร รากจินซึ่งมีกลิ่นเหมือนขิง เปลือกไม้เฮ ซึ่งเธอได้มาจากการใช้สกิลตรวจสอบ ตอนที่กลับไปขนของจากป่า ตัวยาสำคัญที่สุดคือเปลือกไม้เฮ เนื่องจากเป็นยาของโลกนี้มีรสฝาก และแก้โรคได้หลายโรค ที่น่าสนใจที่สุดคือมะเร็ง ทั้งๆที่โลกนี้ยังไม่มีการวินิจฉัยโรค แต่คิดว่าน่าจะเป็นข้อมูลจากโลกก่อนของเธอแน่ๆ สกิลวิเคราะห์นั้นใช้งานได้ดีจริงๆ เหม่ยเสี้ยวตั้งหม้อไว้ ก่อนจะเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อดูเด็กๆ หานตงนั้นหลับไปแล้วเนื่องจากเขาเป็นคนนอนตรงเวลา แต่เพราะเหม่ยเสี้ยวต้องให้ยาเด็กๆก่อนเลยยังไม่ได้นอน เธอเดินลงไปด้านล่างอีกครั้งหลังจากคิดว่าผ่านไป 1เค่อดีแล้ว ก่อนจะเทยาออกจากหม้อใส่สองถ้วยแล้วยกขึ้นมาให้เด็กๆค่อยๆจิบ เหม่ยเสี้ยวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยกันกับเด็กๆ ก่อนจะหลับลงทันที ถึงแม้จะไม่มีเสียงเตือน “พี่สาว”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD